ตอนที่ 219 หากมีครั้งที่หนึ่งก็ย่อมมีครั้งที่สอง

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

รุ่งเช้าวันถัดมา ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ยอมทนปวดใจให้คนมาทำความสะอาดปะการังห้าฉื่อในห้องนางอย่างสะอาดสะอ้าน ก่อนจะนำไปใส่กล่องอย่างระมัดระวัง ให้แม่นมหนิงควบคุมคนไปส่งที่บ้านใหม่ของอวี่ไข่ด้วยตัวเอง สองแม่ลูกเห็นห้องโถงนั้นหรูหราตระการตาขึ้นมาเพราะปะการัง ก็ยิ้มจนแทบมองไม่เห็นดวงตา

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? เหตุใดฮูหยินใหญ่จึงตัดใจยอมเอาของชิ้นนี้ให้เจ้าได้?” อนุภรรยาหนิงคิดไม่ตกจริงๆ นี่เป็นของล้ำค่าที่ฮูหยินใหญ่รักมากที่สุด ไฉนนางจึงตัดใจส่งของสิ่งนี้ให้คนอื่นกัน? มีของสิ่งนี้แล้ว นางก็แทบจะลืมเรื่องไม่กี่วันก่อนที่ตัวเองก่นว่าอวี่ไข่ เรื่องที่เขายอมละทิ้งเงินหมื่นที่อาจจะได้มาง่ายๆ เสียสิ้น

ของที่ไม่รู้ว่าได้มองไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ทั้งตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่กล้าคาดหวังมาโดยตลอด อนุภรรยาหนิงแทบจะเอาหน้าฝังเข้าไปในนั้น ปะการังชิ้นนี้เป็นหนึ่งในของขวัญที่ฉลองครบรอบวันเกิดห้าสิบปีของฮูหยินใหญ่ เหมือนว่าจะเป็นตระกูลหวงฝู่ที่ส่งมา ตระกูลหวงฝู่อยู่ติดกับทะเล ทั้งมีจำนวนเรือประมงและเรือสินค้ามากมาย และแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ การได้ปะการังที่งดงามสมบูรณ์เช่นนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายอยู่เช่นกัน

“เมื่อวานฮูหยินใหญ่ไปดูเรือนของอวี่ฮ่าว พบว่าในนั้นมีปะการังสามฉื่ออยู่ ทั้งยังมีหินอ่อนกั้นผนังห้องด้วย หากอยาก จะดูมีฐานะก็ต้องมีของหรูหราให้มากหน่อย รู้สึกว่าในเรือนของข้านี้ดูคล้ายซอมซ่อไปอยู่บ้าง จึงวิ่งโร่ไปโหวกเหวกโวยวายกับนายท่าน” อวี่ไข่นำเรื่องของเมื่อวานเล่าออกมาอย่างละเอียด กล่าวอย่างโกรธแค้น “อวี่ฮ่าว เด็กคนนั้นวาสนาดี เด็ดดอกฟ้าอย่างมู่หรงชิงหวั่นได้ แต่ข้ากลับต้องมาเจอทั่วป๋าฉินซิน ผู้หญิงนิสัยเสียคนนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ!”

“เจ้าก็รู้จักพอเถิด!” อนุภรรยาหนิงกลอกตาใส่เขาไปที ลูบปะการังทั้งยิ้มเริงร่า “หญิงสาวชาติตระกูลดีเดิมทีก็มีไม่มาก สามารถแต่งมาได้หนึ่งคนก็นับว่ามีวาสนาแล้ว ถึงทั่วป๋าฉินซินจะไม่ดีอย่างไร แต่ก็ยังเป็นคุณหนูลูกภรรยาเอก ฐานะก็วางอยู่ตรงนั้นแล้ว สามารถแต่งกับนางได้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสียทีเดียว!”

“หากนางไม่ได้ก่อเรื่องก่อนหน้านี้ออกมามากมายก็คงจะเป็นเช่นนั้นอยู่ แต่ยามนี้เล่า? ท่านแม่ ท่านอย่าลืมว่า นางในยามนี้ไม่ใช่คุณหนูที่ถือไว้ในมือก็กลัวตกแตก อมไว้ในปากก็กลัวละลาย[1] ของตระกูลทั่วป๋าอีกต่อไปแล้ว แต่กลับมีชื่อเสียงเสื่อมเสียอย่าง ‘นางมาร’ แทน!” เดิมทีอวี่ไข่ก็คิดไม่ได้ว่า เขาเองก็มีส่วนทำให้ทั่วป๋าฉินซินล่วงลงมาถึงทุกวันนี้เช่นกัน

“นางมารแล้วอย่างไร? ข้าจะบอกเจ้าให้ อูฐที่ผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า[2] ทั่วป๋าฉินซินไม่ว่าจะพูดอย่างไร นางก็เป็นคุณหนูลูกภรรยาเอกตระกูลทั่วป๋า ทั้งจะแต่งเข้ามาวันเดียวกับมู่หรงชิงหวั่น สินเดิมของนางแม้จะน้อย นางก็สามารถปล่อยผ่านได้ แต่ตระกูลทั่วป๋าก็ไม่แน่ว่าจะยอมปล่อยผ่านได้เสมอไป ดังนั้น เจ้าแต่งกับนางก็นับว่าไม่เลวแล้ว อีกอย่าง สิ่งที่เจ้าต้องการก็เป็นเพียงภรรยาที่ชาติตระกูลดีเท่านั้น หากนางดี พวกเจ้าสองคนก็ใช้ชีวิตกันไปอย่างราบรื่นดีๆ หากนางไม่เชื่อฟัง ยังคงวางมาดเป็นคุณหนูตระกูลสูงส่ง ใช้สายตาราวกับสูงค้ำฟ้ามองเจ้า เจ้าก็แทบจะสามารถจัดการนางจนลุกจากเตียงไม่ขึ้น ออกห้องไม่ไหวได้โดยสิ้นเชิง หลังจากครั้งสองครั้งแล้วนางก็ย่อมยอมเชื่อฟังแต่โดยดี!” อนุภรรยาหนิงกลับไม่สนใจว่าชื่อเสียงของทั่วป๋าฉินซินจะเป็นอย่างไรสักนิด ชื่อเสียงของนางจะเสื่อมเสียอย่างไรก็ไม่อาจกระทบกับชาติกำเนิดสูงส่งของนางได้หรอก!

“ท่านคิดว่าฮูหยินใหญ่จะทนมองดูข้าจัดการนางอย่างนั้นหรือ?” อวี่ไข่ไม่สงสัยแม้แต่น้อย หากมีวันนั้น ทั่วป๋าซู่เยวี่ย ย่อมต้องเข้าข้างทั่วป๋าฉินซินอยู่แล้ว ทั้งเขายังเข้าใจดี หากไม่ใช่เพราะว่าต้องการเชิดหน้าชูตาให้ทั่วป๋าฉินซิน ปะการังชิ้นนั้นก็คงไม่อาจจะตกมาอยู่ในมือของเขาได้หรอก

“ฮูหยินใหญ่ย่อมไม่อาจจับจ้องเราทั้งสิบสองชั่วยามหรอกกระมัง? อีกอย่าง หลังจากที่เจ้าแต่งงานแล้วก็ต้องย้ายออกไปอยู่ข้างนอก ถึงเวลานั้นเมื่ออยู่ไกลอำนาจก็ย่อมเข้าไม่ถึง แล้วฮูหยินใหญ่จะรู้ได้หรือ?” อนุภรรยาหนิงมองเขาอย่างไม่เห็นด้วย จากนั้นจู่ๆ ก็คล้ายกับคิดอะไรขึ้นมาได้ ร้องขึ้นมา “หรือเจ้าคิดจะเชิญให้ฮูหยินใหญ่ไปอยู่ยาวๆ? นั่นไม่ได้เชียว นิสัยของนางนั้น ยามที่ดีๆ ก็เห็นพวกเราเป็นของสำคัญ แทบอยากจะอมพวกเราไว้ในปาก เป็นแก้วตาดวงใจอย่างแท้จริง แต่หากยามที่มีอะไรไม่ถูกใจขึ้นมาแม้แต่น้อย นางก็สามารถจัดการเจ้าได้อย่างโหดเหี้ยม หากเจ้ารับนางเข้ามา การใช้ชีวิตอย่างสงบสุขก็คงต้องหมดสิ้นแล้ว อีกอย่าง เชิญเทพมาอยู่นั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การส่งกลับไปย่อมเป็นเรื่องยาก นางมาแล้วก็ไม่อยากจะกลับไปจะทำอย่างไร? ไม่อาจจะเลี้ยงนางให้แก่เฒ่าไปจนตายเช่นนี้ได้กระมัง!”

“ท่านแม่ เลี้ยงดูแก่เฒ่าจนตายก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร!” อวี่ไข่กลับไม่สนใจจุดนี้ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากข้าสามารถรับนางเข้ามาอยู่ได้ ให้นางใช้ชีวิตยามแก่เฒ่าอย่างสงบที่นี่ ท่านพ่อย่อมต้องดีใจจนแยกทิศทางแทบไม่ออกเป็นแน่ และถึงเวลานั้นหากต้องการของสิ่งใดก็คงไม่ใช่เรื่องที่พูดแค่ประโยคเดียวจบ! อีกอย่าง ดูแลนางยามแก่เฒ่า นั่นเป็นสิ่งที่ท่านพ่อต้องทำเพื่อกตัญญูอยู่แล้ว แม้นางจะอยู่กับข้าแล้วอย่างไร? ค่าใช้จ่ายต่างๆ นานาของนางก็จะหลั่งไหลเข้ามาดั่งสายน้ำไม่ใช่หรือ? ใครจะกล้าปล่อยให้ขาดเหลือ? มีนางอยู่เสียคน ข้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลปัญหาหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้ครอบครัว ไม่จบเพียงแค่นั้น ฮูหยินใหญ่ผู้นี้ยังเก็บทรัพย์สินส่วนตัวไว้มากมาย ท่านลองดูของในห้องของนาง นอกจากปะการังห้าฉื่อ กระถางดอกไม้ที่ทำมาจากแก้ว หยกประดับ เครื่องเคลือบลายครามโบราณ ของพวกนั้นนับเป็นของที่หายาก หากสามารถเอาของพวกนั้นมาอยู่ในมือได้ พวกเรายังต้องกังวลอะไรอีกหรือ?”

“เจ้าคิดที่จะ…” อนุภรรยาหนิงเดาแผนการของอวี่ไข่ออก ใจสั่นไหวเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “ทางที่ดีเจ้าอย่าได้มีความคิดเช่นนี้เลยดีกว่า หากฮูหยินใหญ่รู้เข้า ชั่วพริบตาเดียวนางก็สามารถจัดการเจ้าอย่างราบคาบ! ข้าขอเตือนเจ้า ชั่วชีวิตนี้ของนาง ก็มีเพียงยามที่เป็นคุณหนูซึ่งนับว่าโชติช่วงที่สุด ถูกเลี้ยงดูประคบประหงมจนเติบใหญ่ แต่หลังจากแต่งเข้าตระกูลซั่งกวนก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ได้ดั่งใจอีกแล้ว มักจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวจืดจางลงเรื่อยๆ ให้กำเนิดลูกชายก็ยังเทียบไม่ได้กับของล้ำค่าข้างกาย ของที่อยู่ในมือนางไม่อาจจะดึงมันออกมาได้หรอก เจอนางในอารมณ์ที่ดี หรือยามที่อยากจะเอาหน้าก็ยังสามารถฉกชิงผลประโยชน์ได้อยู่ แต่หากพบนางในยามที่อารมณ์ไม่ดี ก็ย่อมไม่ได้ประโยชน์อะไร ทั้งอาจจะถูกต่อว่าสั่งสอนด้วยซ้ำไป อย่างไรเจ้าก็เพลาลงหน่อยเถิด!”

“ท่านแม่ ของของนางไม่ให้ข้าแล้วจะให้ใครได้อีก?” อวี่ไข่กล่าวทั้งหัวเราะร่า “ซั่งกวนเจวี๋ยเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลซั่งกวน เป็นผู้นำตระกูลในอนาคต หากขาดเหลืออันใด ก็คงไม่ตาต่ำมองอะไรอย่างตื้นเขิน จับจ้องสายตาไว้ที่ฮูหยินใหญ่หรอก สายตาของคนอื่นนั้นมองข้ามของพวกนี้อยู่แล้ว ซั่งกวนอิงน่ะหรือ ก็เป็นลูกภรรยาเอกของตระกูลซั่งกวน หากต้อง การอะไร มารดาที่ชาติกำเนิดสูงส่งของเขาผู้นั้นก็ย่อมจะเตรียมให้อย่างเอาอกเอาใจอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องมาแย่งชิงกับข้าหรอก ส่วนอวี่ฮ่าว เด็กคนนั้นอาจจะวาสนาดี แต่น่าเสียดายที่ไม่เข้าตาฮูหยินใหญ่แม้แต่น้อย นางจะยกให้เขาอย่างนั้นหรือ? ย่อมต้องเหลือไว้ให้ข้าเพียงคนเดียว!”

“แม้ว่านางจะมีความคิดเช่นนี้ก็ไม่อยากให้เจ้าใจกล้าเช่นนี้อยู่ดี อีกอย่าง ถึงแม้นางจะให้ก็คงต้องรอหลังจากนางตายแล้วจึงจะให้ ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ย่อมทิ้งของล้ำค่าพวกนั้นไว้อยู่แล้ว!” อนุภรรยาหนิงก็คิดว่าทรัพย์สินของทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็คงจะเหลือไว้ให้อวี่ไข่เช่นกัน แต่นางกลับกระจ่างใจดีว่าความตระหนี่ของทั่วป๋าซู่เยวี่ยนั้นมีถึงขนาดไหน วันนี้นางคงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับตั้งแต่เช้าจรดเย็นเลยกระมัง!

“นางมีความคิดเช่นนี้ก็ดีแล้ว ส่วนอย่างอื่นก็ต้องดูฝีมือของข้าแล้ว!” อวี่ไข่เผยยิ้มอย่างสุขใจ “อีกอย่าง ในเมื่อของพวกนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องเป็นของข้าอยู่แล้ว ให้ช้ามิสู้ให้เร็ว หากให้เร็วข้าก็ยังจะซาบซึ้งความเมตตาในยามที่นางมีชีวิตอยู่ ให้นางใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย แต่หากให้ช้า นางก็รั้งตัวอยู่ในจวนดูคนอื่นสนุกสนานอิ่มเอมใจกัน ส่วนตัวเองก็อยู่เหงาหงอยไปคนเดียวเถิด!”

“ความหมายของเจ้าคือ…” อนุภรรยาเดาถึงแผนการของลูกชายออกอยู่บ้าง จึงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา

“ท่านแม่ ท่านก็รอเช็ดทำความสะอาดของล้ำค่าให้ข้าเถิด!” อวี่ไข่ยิ้มอย่างเป็นสุข จากนั้นก็ชี้ที่ปะการังนั้นยิ้มๆ “นี่เป็นชิ้นแรก มีชิ้นแรกก็ย่อมต้องมีชิ้นที่สอง จากนั้นของล้ำค่าพวกนั้นของนางก็จะค่อยๆ เปลี่ยนเจ้านาย ถึงเวลานั้นท่านชอบชิ้นไหน ก็ย้ายของชิ้นนั้นไปไว้ห้องของท่านเถิด ไม่ต้องสนใจสีหน้าผู้ใดแล้ว!”

“เช่นนั้นข้าก็คงต้องรอดูความสามารถของเจ้าแล้ว” อนุภรรยาหนิงชำเลืองมองลูกชาย หากสามารถเอาของพวกนั้นมาอยู่ในมือได้…อนุภรรยาหนิงลองคิดเล่นๆ หากจะให้อยู่ในความเป็นจริงเสียหน่อย นางก็คงจะดีใจจนแทบบ้าคลั่งน่ะสิ

————————————————–

[1] ถือไว้ในมือก็กลัวตกแตก อมไว้ในปากก็กลัวละลาย อุปมาว่า เห็นเป็นสิ่งสำคัญหรือมีค่ามากๆ

[2] อูฐที่ผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า อุปมา คนมีฐานะสูงส่ง หากเผชิญความยากเข็ญก็ยังคงดีกว่าคนที่ยากจนเป็นทุนเดิม