ตอนที่ 199 คนหรือพระพุทธองค์?

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

อวี๋กว่างเจ๋อขมวดคิ้วเหมือนกัน เขาอยากตะโกนให้หยุดมาก แต่พวกหลี่เสวี่ยอิงแสดงได้ดีมากๆ! คนไม่กี่คนดึงนักแสดงทุกคนให้อินในเรื่องราว เขาไม่ได้เห็นภาพแบบนี้มาหลายปีแล้ว ฉากแบบนี้มักจะเกิดขึ้นระหว่างนักแสดงมากฝีมือกลุ่มหนึ่ง เกิดการแสดงร่วมกันถึงมีปรากฏการณ์แบบนี้ หรือไม่ก็มียอดนักแสดงที่มีศักยภาพต่อส่วนรวมจริงๆ คนไม่กี่คนจะดึงคนหน้าใหม่จ๋ากลุ่มหนึ่งและไม่มีความคิดซับซ้อนอะไรให้อินไปได้ในพริบตา

ตอนนี้คือสถานการณ์อย่างหลัง หลี่เสวี่ยอิงกับนักแสดงรุ่นเก๋าไม่กี่คนดึงคนหน้าใหม่ทั้งหมดให้อินกับฉากได้ในทันที!

ดังนั้นอวี๋กว่างเจ๋อเลยทำใจตะโกนหยุดไม่ได้ ได้แค่ให้ดำเนินต่อไป แต่ด่าทอในใจยกใหญ่ ‘ฟางเจิ้งนี่จะทำอะไรกันแน่? บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าทุกอย่างให้รอประกาศ? หลินตงสือทำอะไรอยู่? ทำไมไม่ห้าม? เวรจริงๆ เลย!’

ขณะนี้อวี๋กว่างเจ๋อแทบจะด่าทอยกใหญ่ แต่ทันใดนั้นเอง ต๊อกๆๆ…

เสียงมู่อวี๋ดังขึ้น เสียงต่ำประหนึ่งเคาะในใจทุกคน

เสียงด่าแม่ของอวี๋กว่างเจ๋อหายไปในฉับพลัน ตอนที่มองฟางเจิ้งดวงตาเขาตะลึงค้าง!

หูเซี่ยวกับจ้าวหงเสียงซึ่งอยู่ไกลออกไปเตรียมจะเข้าไปก้าวก่าย แต่ก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเลยหยุดลง เงยหน้าขึ้นดวงตาสองคนนี้ค้างเหมือนกัน!

เดิมทีคิดว่าฟางเจิ้งอายุน้อยแบบนี้ คงจะแสดงหนังฟอร์มยักษ์ภาระหนักแบบนี้ไม่ได้ แถมยังรับฉากที่จริงจังและหนักหน่วงนี้ไม่ไหวแน่ เขาที่ขาวสะอาดแบบนี้ปรากฏกายขึ้นจะต้องไม่เข้ากับฉากแน่นอน!

ทว่าวินาทีที่พวกเขามองฟางเจิ้งกลับตาค้างกันหมด

เห็นฟางเจิ้งหน้าเศร้าโศก ส่วนลึกในแววตามีความเจ็บปวดที่ยากจะสะกดไว้ ในความเศร้ากลับแฝงไว้ด้วยความเวทนา ในความโศกมีเสียงถอนหายใจ เดินทีละก้าวจะสั่นๆ เหมือนกับแบกรับความเจ็บปวดอย่างยิ่งไว้! เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ทุกคนมองไปที่แววตาเขาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกปวดใจตามๆ กันไป แทบจะร้องไห้!

“โคตรอิน พระเจ้า…” อวี๋กว่างเจ๋อเหมือนเห็นสัตว์ประหลาด

เขาจะรู้ได้ยังไงว่าฟางเจิ้งศึกษาพระธรรมทุกคืนวัน กินข้าวผลึกทุกวัน ดื่มน้ำบริสุทธิ์ทุกวัน กลิ่นอายพุทธค่อยๆ กล่อมเกลา การตระหนักสูงสุด คนอื่นเข้าฉากยาก แต่สำหรับเขาแล้วง่ายมาก ที่สำคัญที่สุดคือการขยายผลจากจีวรขาวจันทร์ มันเสริมจุดอ่อนที่เขามีทักษะการแสดงไม่พอไว้ทั้งหมด แถมยังขยายอารมณ์ความรู้สึกเขาออกมา ส่งผลให้ทุกคนอินไปด้วย

ฟางเจิ้งเคาะมู่อวี๋ด้วยมือสั่นๆ เสียงมู่อวี๋ก็สั่นเช่นกัน สั่นจนจิตใจทุกคนสั่นไหวตาม

ตอนนี้เองฟางเจิ้งเอ่ยขึ้น เขาลืมบทไปนานแล้ว ในแววตามีเพียงวิญญาณวีรชนบนผืนดิน “อาตมาจะส่งทุกท่าน จะได้ไม่เหงาบนเส้นทางแดนสุขาวดี อมิตาพุทธ!”

“ผู้กำกับเขาเพิ่มบท…” เหล่าเถาจะเตือนอวี๋กว่างเจ๋อ

อวี๋กว่างเจ๋อถอดหมวกออก ปิดปากเหล่าเถาไว้โดยไม่มองให้เขาหุบปาก ฉากยอดเยี่ยมแบบนี้ เขาไม่อยากละสายตาแม้แต่นิดเดียว!

ฮวามู่หลันที่นอนตายตาไม่หลับอยู่บนพื้นเห็นฟางเจิ้งเดินมาทีละก้าว เดินไปพลางสวดมนต์ไปพลาง จากนั้นวางมู่อวี๋ลง พลิกศพทหารทีละคน จัดระเบียบเสื้อผ้าอย่างจริงจัง ในใจเธอเต็มไปด้วยความตกใจ ‘ตัวประหลาดจริงๆ! แสดงครั้งแรกก็ดีขนาดนี้…เขาไม่ควรเป็นนักบวชจริงๆ…’

ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าทุกคนรู้สึกยังไง เขาปวดใจแทนคนที่ตายไปจริงๆ ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเคารพทหารมากที่สุด ทุกครั้งที่เห็นข่าวอัคคีภัย เห็นข่าวพนักงานดับเพลิงลุยเข้าไปในไฟแล้วกอดถังแก๊สพ่นไฟออกมา ทุกครั้งที่เห็นตำรวจใช้ร่างกายหลอมรวมกันเป็นกำแพงเมืองจีนอุดน้ำในอุทกภัยครั้งใหญ่ ทุกครั้งที่เห็นแผ่นดินไหวแล้วตำรวจขุดหินมือเปล่ากันจนเลือดเต็มมือ เหนื่อยจนนอนแผ่บนพื้นนั้น เขาจะไม่ไหว อยากจะร้องไห้

น่าเสียดายเขาไม่มีโอกาสได้เห็นวีรบุรุษในใจ แต่ก็ได้เห็นในการถ่ายหนังครั้งนี้ เขาไม่สนใจว่าทุกอย่างตรงหน้าเป็นของจริงหรือปลอม เขารู้เพียงว่าคนเหล่านี้ตายเพื่อปกป้องชาวบ้าน คนเหล่านี้คือวีรบุรุษ วีรบุรุษเหล่านี้จะฝังกระดูกต่างถิ่นด้วยเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยแบบนี้ไม่ได้ แบบนี้จะถือว่าเป็นคนชั่ว! เขาต้องให้พวกเขาเดินบนเส้นทางอย่างมีเกียรติ ต้องส่งพวกเขาไปยังแดนสุขาวดี ไม่ต้องเจ็บปวดอีก!

ในใจฟางเจิ้งกำลังหลั่งน้ำตา คนกำลังร้องไห้ แต่ยังสวดมนต์กษิติครรภ์โพธิสัตว์สูตรไม่แม่น ทุกตัวอักษร ทุกเสียงยากมาก นี่คือการส่งคนจากใจจริง สวดมนต์จะพลาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะไปถึงแดนสุขาวดียาก เมื่อฟางเจิ้งสวด ทุกคนต่างถูกฟางเจิ้งชักนำ ยากจะสะกดความเจ็บปวดไม่ให้พรั่งพรูออกมา ทุกคนต่างร้องไห้เงียบๆ

จนเมื่อฟางเจิ้งจัดระเบียบให้ฮวามู่หลันเป็นคนสุดท้ายแล้วถึงยืนขึ้น ประนมสองมือ เงยหน้ามองฟ้าเหมือนกำลังตะโกนอย่างไร้เสียงว่า ‘ไฉนต้องมีสงคราม?!’

ขณะเดียวกันกาสาวะเก่าๆ ที่คลุมอยู่ข้างนอกพลันหลุดร่วงลง เผยจีวรสีขาวจันทร์ เปล่งแสงวาววับภายใต้แสงตะวันดูเด่นตายิ่ง!

บนพื้นเป็นนักรบสวมหมวกเหล็กกับเสื้อเกราะอึมครึม ภายใต้ฉากหลังที่มืดครึ้มอย่างโลหิต เขม่าควันปืนและซากศพ หลวงจีนจีวรขาวบริสุทธิ์ที่ยืนอยู่ประหนึ่งพระพุทธองค์ เกิดเป็นการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน เสริมให้ฟางเจิ้งโดดเด่นในฉับพลัน! พริบตานั้น ทุกคนอึ้งค้าง! นี่คนหรือว่าพระพุทธองค์กันแน่?!

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ซ่งเอ้อโก่วร้องโวยขึ้นเป็นคนแรก “ผู้กำกับ จบยัง? พื้นมันหนาวนะโว้ย”

สิ้นสุดเสียงตะโกน ทุกคนได้สติกลับมา หวังโอ้วกุ้ยด่าไปก่อน “ซ่งเอ้อโก่วแกหุบปาก! ให้ขยับแล้วแกค่อยขยับ! ฟังผู้กำกับสิ”

ซ่งเอ้อโก่วตอบด้วยเสียงสะอื้น “ไข่แข็งแล้ว…”

“หยุดๆๆ!” อวี๋กว่างเจ๋อได้สติกลับมาจึงรีบสั่งหยุด

หวังโอ้วกุ้ยว่า “ผู้กำกับครับ เจ้านี่มันพูดจาไม่เหมาะไม่ควร คุณอย่าถือสาเลยนะครับ”

“เขาเปล่าหรอก แต่ผมต่างหาก ถ่ายเสร็จแล้ว ดีมาก พวกชาวบ้านยอดเยี่ยมมาก!” อวี๋กว่างเจ๋อหัวเราะเสียงดัง ไม่มีใครดีใจไปกว่าเขาแล้ว ฉากที่ไม่หวังอะไรเลยกลับออกมาสมบูรณ์แบบ เขาอยากจะเงยหน้าหัวเราะสักสามวัน!

เมื่ออวี๋กว่างเจ๋อสั่ง ทุกคนถอนหายใจโล่งอก ฟางเจิ้งพ่นลมหายใจขุ่นๆ ยาว แต่ในใจก็ยังอึดอัดนิดๆ ความอึดอัดนี้เหมือนว่าเขายังอยู่ในยุคสงครามนั้นอยู่ เลือดและเปลวไฟยังไม่จากไป ตอนนี้ไม่สนใจอะไรแล้ว อาศัยจังหวะที่ทุกคนเฉลิมฉลองพูดคุยจากใจกันส่ายหน้าแล้วหมุนตัวเดินกลับวัดไป เป็นครั้งแรกที่วัดเอกดรรชนีปิดประตูใหญ่ตอนกลางวัน

เห็นเงาแผ่นหลังฟางเจิ้งเดินจากไป หลี่เสวี่ยอิงก็รู้ว่าเณรรูปนี้อินมากเกินไป เธอรู้ดีว่าถ้าอินมากไปจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก เลยจะตามไปโดยจิตใต้สำนึก แต่ถูกกลุ่มคนล้อมไว้จึงตามไปไม่ได้ ได้แต่ปล่อยไว้ก่อนแล้วค่อยหาเวลาไป

ส่วนหูเซี่ยวกับจ้าวหงเสียงมองตากัน ต่างเห็นความตกตะลึงในแววตากัน เดิมทีคิดว่าเป็นละครตลก แต่กลับแสดงเป็นหนังใหญ่ ความต่างกันขนาดนี้ทำให้สองคนงงจริงๆ

เป็นตอนนี้เองอวี๋กว่างเจ๋อหัวเราะเสียงดัง “รองหู รองจ้าว ไต้ซือที่ผมเชิญมาเป็นยังไงบ้าง?”