ตอนที่ 389 คาดการณ์! + ตอนที่ 390 ติดกับ

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า

ตอนที่ 389 คาดการณ์!

หลัวอวี่หัวเราะขึ้นมาเบาๆ เข้าไปใกล้ข้างกายพวกเขา “ฮี่ๆ ข้าบอกพวกเจ้าแล้ว หากพวกเจ้าไม่ยอมรับจะต้องเสียใจครั้งใหญ่จริงๆ” พูดจบเขาก็เบี่ยงตัวหลบพวกเขา มาเบื้องหน้าอาจารย์ของตน

“ท่านอาจารย์ สิ่งนี้ศิษย์ขอมอบให้ด้วยความเคารพ เป็นของดีเชียวนะขอรับ” เขาหยิบขวดเล็กๆ ออกมาจากถุงฟ้าดินและยื่นไปให้ด้วยสองมือ

อาจารย์ของเขาตกใจ มองสิ่งของในมือเขา “นี่คือ…” คงไม่ใช่ยาที่คุณหนูใหญ่ปรุงหรอกกระมัง? คิดอยู่ในใจเช่นนี้ กลับยื่นมือไปรับมาเปิดออกดมแล้ว

“แหะๆ นี่คือยาน้ำ ซ้ำยังเป็นยาที่สามารถยกระดับพลังได้ วรยุทธ์ของท่านอาจารย์ติดอยู่ระดับเดิมมาหลายปี ขอแค่ดื่มยาขวดนี้ ไม่ถึงครึ่งเดือนก็จะบรรลุขั้นได้ขอรับ”

ได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาชายวัยกลางคนเจ็ดคนด้านข้างต่างจ้องเขม็ง มองอาจารย์ของหลัวอวี่ที่ถือยาน้ำพลางหัวเราะปลาบปลื้มอย่างอิจฉาริษยา ก่อนจะถีบไปทางลูกศิษย์พวกตนทันที

“ใครใช้ให้เด็กไม่รู้ความอย่างพวกเจ้าไม่ยอมรับนายกัน!”

“เฮือก!”

พวกเขาไม่ทันระวัง จึงถูกเตะก้นไปทีหนึ่ง รีบร้อนแวบหลบแต่ก็ยังมึนงงอยู่บ้าง

ยานั่นคงไม่ใช่ของที่คุณหนูใหญ่ให้หลัวอวี่กระมัง คุณหนูไปได้ยามาจากไหน? ทันใดนั้นความคิดหนึ่งผุดขึ้นมารางๆ แต่ยังรู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อพวกเขาจึงเก็บไว้

อาจารย์ของหลัวอวี่มองยาในมือ ในใจปลาบปลื้มมาก ทว่ากลับไม่เก็บไว้และถามว่า “เจ้าให้อาจารย์ แล้วตัวเองเล่ามีหรือไม่?” หากมีแค่ขวดเดียวเขารับไว้ไม่ได้แน่ ถึงอย่างไรนี่น่าจะเป็นของที่คุณหนูใหญ่มอบให้หลัวอวี่

“ฮี่ๆ มีขอรับ นายท่านให้ข้าไว้ขวดหนึ่ง ข้าจึงขอแทนท่านอาจารย์มาอีกขวด”

เขาหัวเราะร่าบอกว่า “ท่านอาจารย์ อาจารย์อาทั้งหลาย ข้าไปก่อนนะขอรับ!” สิ้นเสียง ไม่รอให้พวกเขาพูดอะไรและไม่ให้โอกาสพวกพี่น้องรั้งตัวไว้ซักถาม หลัวอวี่วิ่งฝุ่นตลบจากไปทันที

“อาจารย์ อาจารย์อา พวกเราก็ต้องไปแล้ว” ทั้งเจ็ดคนพูดแล้วรีบร้อนพุ่งออกไป ไล่ตามหลัวอวี่ คิดจะจับตัวมาสอบสวนให้ดีๆ สักรอบ

“เจ้าพวกเด็กไม่รู้ความนี่ เฮ้อ!”

เหล่าอาจารย์ต่างส่ายหน้าถอนหายใจ มองยาน้ำในมืออาจารย์ของหลัวอวี่พลางพูดอย่างอิจฉาตาร้อน “เจ้าหลัวอวี่นี่ใจดีนักนะ!”

“ฮ่าๆ นั่นสิ เป็นลูกศิษย์ที่ข้าสั่งสอนมาจะไม่ดีได้อย่างไร?” เขาหัวเราะร่าเสียงสดใส บอกพวกนั้นว่า “ตรงนี้ขอฝากพวกเจ้าช่วยเฝ้าไว้ด้วย ข้าจะเข้าไปคุยกับนายท่านสักหน่อย จากนั้นค่อยลองผลลัพธ์ของยาขวดนี้ทีหลัง”

“อืม เจ้าไปตามสบายเถิด! วางใจได้ ตรงนี้ยังมีพวกเราอยู่!” พวกเขาพยักหน้า แย้มยิ้มขึ้นมา

“ดี” เขาเข้าห้องไปก่อน หลังจากรายงานสถานการณ์กับเฟิ่งเซียวแล้ว ถึงจะกลับมาเริ่มฝึกบำเพ็ญยังเรือนที่พวกเขาพักอาศัย…

ส่วนเฟิ่งจิ่ว หลังจากกลับมาเรือนและสั่งงานเหลิ่งซวงไปบางส่วน ก็กลับห้องมาฝึกบำเพ็ญ จนกระทั่งเช้าตรู่วันต่อมาถึงจะลากเหล่าไป๋ออกไปข้างนอก

หลัวอวี่เก็บตัวฝึกบำเพ็ญ ที่เหลืออยู่จึงมีเพียงพวกฟั่นหลินเจ็ดคน หลังจากพวกเขาทั้งเจ็ดสอบถามไปเมื่อคืนวาน  หลัวอวี่ได้เปิดเผยเรื่องที่นายท่านคือภูตหมอให้ฟัง เมื่อรับรู้ข่าวนี้ พวกเขาไปหาอาจารย์ของตนเพื่อยืนยันเป็นอย่างแรก

เมื่อได้รับการยืนยันก็รู้สึกเพียงว่าเหลือเชื่อ พวกเขาต่างนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนเพราะเรื่องนี้ วันนี้ตื่นมาอารักขาแต่เช้า กลับเห็นนางลากเหล่าไป๋ออกไปข้างนอกแล้ว

“พวกเจ้าว่าเมื่อเช้านี้นายท่านไปไหน?”

หนึ่งในนั้นถามขึ้น แม้ยังไม่ยอมรับเป็นนาย ทว่าตั้งแต่รู้ตัวตนภูตหมอของนาง พวกเขาก็แทบทนไม่ไหวอยากยอมรับทันที แต่พวกเขารีบนางกลับไม่รีบเสียนี่

………………………………………………….

ตอนที่ 390 ติดกับ

“แม้แต่เหลิ่งซวงนางยังไม่พาไป ออกไปเองจะดีจริงๆ รึ?”

“อืม ช่วงนี้คนมากมายต่างจับตามองจวนตระกูลเฟิ่งเรา น่ากลัวจริงๆ ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก”

“หรือว่าพวกเราจะลองตามไปดู?”

“ไม่ได้ ในเมื่อไม่มีคำสั่งให้ติดตามก็เท่ากับสะกดรอยตามนายท่าน ทำเช่นนี้ไม่ได้” ฟั่นหลินส่ายหน้า ชะงักไปเล็กน้อย “พวกเราไปหาอาจารย์กันเถอะ! นายท่านออกไปข้างนอก ควรมีคนไปรายงานพวกเขา”

“ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่ต้องถามหรอก พวกเขาคงคิดว่าพลังนายท่านดูแลตัวเองได้ไม่มีปัญหาจึงไม่ให้พวกเราตามไป ยิ่งไปกว่านั้นหลัวอวี่บอกแล้วไม่ใช่หรือ ฝีมือนายท่านไม่ธรรมดา ครั้งนั้นยังซ้อมเขาจนกลายเป็นหัวหมูเลยไม่ใช่หรือไง”

ได้ยินเช่นนี้ พวกเขาครุ่นคิดกันอยู่นานนัก จากนั้นถึงจะเดินไปยังศาลาตรงภูเขาจำลอง

เฟิ่งจิ่วออกจากจวนไปด้วยชุดสีแดงพร้อมท่าทีห้าวหาญองอาจและเปิดเผยเอาแต่ใจ ม้าขาวชุดแดงโลดแล่นผ่านกลางถนนในยามเช้าตรู่ ช่างสะดุดตายิ่งนัก

โดยเฉพาะเมื่อยามนี้เป็นช่วงที่จวนตระกูลเฟิ่งกำลังมีเรื่องมากมาย สายตาของกลุ่มอำนาจแต่ละฝ่ายภายในเมืองต่างจับจ้องทุกการกระทำของพวกเขา ด้วยเหตุนี้การที่นางควบม้าออกไปแต่เช้าจึงน่าฉงนอย่างยิ่ง

ไม่ใช่แค่วันเดียว นางควบม้าออกไปติดต่อกันหลายวันเช่นนี้ แม้แต่มู่หรงอี้เซวียนยังได้ยินข่าว ทว่านึกถึงคำพูดของนางในวันนั้น เขาจึงได้แต่กดความคิดชั่ววูบที่อยากจะไปหานางเอาไว้

ยิ่งไปกว่านั้น ในใจเขายังกังวลว่าเรื่องที่บิดานางหมดสติไม่ฟื้นจะเป็นฝีมือเสด็จพ่อเขา หากเป็นเช่นนี้จริง ระหว่างเขากับนางก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้

เช้าตรู่วันที่สาม เฟิ่งจิ่วยังคงพาเหล่าไป๋ออกไปข้างนอก ที่แตกต่างคือครั้งนี้แม้แต่ฉิวฉิวยังตามมาด้วย เพียงแต่เหล่าไป๋ไม่ยอมให้มันขี่ เจ้าตัวน้อยจึงทำได้เพียงก้าวขาเล็กสั้นๆ วิ่งตามหลังม้าไป

เพราะรูปร่างกลมนุ่มนิ่ม ตัวเล็กน่ารักน่าชัง เมื่อผ่านไปบนถนนหนทางก็ดึงดูดความสนใจจากเด็กสาวเด็กหนุ่มไม่น้อย

“นั่นลูกหมารึ? น่ารักมากเลย!”

“ไม่ใช่ลูกหมา คล้ายๆ ลูกแมวมากกว่า”

“ขนมันยาวนัก ทั้งยังตัวเล็กเหมือนลูกหนัง แต่กลับวิ่งเร็วมาก”

“ช่างน่ารักจริงๆ ไม่รู้ว่าซื้อมาจากไหน”

“นั่นคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่งนี่ หากเป็นของนาง ไม่ใช่ของที่คนทั่วไปซื้อได้แน่”

“ดูท่าทางจะเป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณ พบเห็นได้น้อยยิ่งนักในแคว้นแสงสุริยันเรา”

บนถนนมีเสียงพูดคุยแว่วมา เฟิ่งจิ่วหันมองเล็กน้อย เห็นด้านหลังฉิวฉิวมีเด็กๆ ตามมาเป็นโขยง จึงยิ้มขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ หลังบอกให้เหล่าไป๋ชะลอความเร็ว สองมือก็กางออกพลางตะโกนเรียกฉิวฉิวที่เดินก้าวขาเล็กสั้นอยู่ “ขึ้นมาสิ”

“โฮ่ง!”

เจ้าตัวเล็กส่งเสียงร้อง ขาสั้นๆ กระโจนขึ้น พุ่งไปยังอ้อมกอดเฟิ่งจิ่ว

เฟิ่งจิ่วยิ้มอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ กอดเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดพร้อมลูบหัวมัน ระหว่างหันกลับก็เหลือบมองไปโดยไม่ตั้งใจ เห็นร่างชุดขาวยืนอยู่ตรงหน้าต่างบนภัตตาคาร กำลังจ้องมองเธอด้วยแววตาเป็นประกาย

เมื่อเห็นว่าเป็นมู่หรงอี้เซวียน เธอดึงสายตากลับมาช้าๆ สองขากระทุ้งท้องเหล่าไป๋พร้อมแผดเสียง ก่อนจะรีบรุดทะยานผ่านถนนใหญ่ที่คนค่อนข้างน้อยอย่างรวดเร็ว และหายลับไปจากสายตาเขา…

บริเวณชั้นสอง มู่หรงอี้เซวียนมองร่างนางหายลับไปจากสายตา นึกถึงรอยยิ้มเมื่อครู่แล้วในใจก็วางใจลงเล็กน้อย เดิมทีเป็นห่วงว่าตระกูลเฟิ่งเกิดเรื่องมากมายเพียงนี้นางอาจรับไม่ไหว แต่ดูท่าตอนนี้นางขี่ม้าออกไปอย่างสบายใจ ก็พอจะเห็นได้ว่าทุกอย่างยังดีอยู่

เขาหมุนกายนั่งลง หันหลังไปด้านนอก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ทันเห็นสองร่างที่พุ่งตามหลังเฟิ่งจิ่วไปอย่างเงียบเชียบ…

………………………………