บทที่ 216 หาพบ

คู่ชะตาบันดาลรัก

รถม้าติดตราสัญลักษณ์จอดที่ข้างสะพานเชิงผิงอย่างเงียบๆ

สะพานเชิงผิงตั้งอยู่ทางตอนใต้ของหยุนจิง ห่างจากประตูเมืองเพียงไม่กี่ลี้ หากข้ามสะพานนี้ไปก็สามารถออกจากหยุนจิงเข้าสู่เขตชานเมืองอย่างรวดเร็ว

เมื่อเทียบกับเมืองชั้นในที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา การบริหารชานเมืองค่อนข้างหละหลวม ร้านค้าและบ้านเรือนน้อยใหญ่ทอดยาวติดต่อกันหลายลี้ มีผู้คนจำนวนมากจากทั่วทุกสารทิศมาพักอาศัยอยู่ที่นี่

หลายวันมานี้ฐานที่มั่นของกลุ่มยาจกในเมืองหลวงถูกกวาดล้างทีละแห่ง เหล่าพี่น้องกลุ่มยาจกล้วนไปซ่อนตัวกันที่ฐานลับใต้ดิน แต่ฐานลับใต้ดินมีพื้นที่ที่ค่อนข้างจำกัดทำให้ไม่เพียงพอต่อเหล่าพี่น้องคนสำคัญจนพวกเขาหลายคนต้องเลือกที่จะออกจากเมืองหลวงไปหลบซ่อนอยู่ในชานเมืองแทน

เจี่ยงเหวินเฟิงทราบในข้อนี้ดี แต่ที่ชานเมืองมีจำนวนคนที่มากเกินไป แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตรวจค้นให้หมดจนทั่วจึงทำได้เพียงดำเนินการอย่างช้าๆ

หมิงเวยและหยางชูหยุดลงที่นี่เพราะใต้สะพานเชิงผิงนั้นมีทางลับอยู่

ภายใต้การจัดการของเจี่ยงเหวินเฟิงทางออกลับทุกเส้นทางมีคนเฝ้าอยู่ ซึ่งหยางชูเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนนี้

“พวกเขาเข้าไปในฐานลับใต้ดินแล้ว” หยางชูรายงานข้อมูลที่ได้รับ

หมิงเวยพยักหน้า “หวังว่าจะไปทันนะเจ้านะคะ”

เว่ยเสี่ยวอันและเหวินอิ๋งหายตัวไปสิบกว่าวัน แม้จากรายงานของงูขาวจะบอกว่าพวกนางสบายดี แต่หากไม่ถึงช่วงเวลาสุดท้ายก็ไม่สามารถรับประกันว่าตอนที่ช่วยพวกนางออกมาได้จะยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์อยู่หรือไม่

เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อในสายตาของเสวียนชื่อ สำหรับเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ในโลกใบนี้ นี่เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะกำหนดชะตาชีวิตพวกนาง

ข้อมูลถูกรายงานมาอย่างต่อเนื่อง “พบตัวฝูแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าพวกนางอยู่กับพี่ชายของท่าน”

“จับผู้เฒ่าสองคนกับหัวหน้าทั้งเจ็ดได้แล้วขอรับ”

“เจอเว่ยเสี่ยวอันแล้วขอรับ นางปลอดภัยดี”

หมิงเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอก “งั้นก็เหลืออีกหนึ่งเรื่อง” จัดการกลุ่มยาจกให้ราบคาบไม่ให้รอดไปแม้แต่คนเดียว แต่หยางชูที่ได้รับข่าวใหม่มาเลิกคิ้ว

“คุณหนูสามตระกูลเหวินถูกจับเป็นตัวประกัน นางเพิ่งหายตัวไปเมื่อครู่จากการคาดเดาของพวกเขาเป็นไปได้ว่าจะไปทางนั้น”

ในขณะที่พูดคุยกันก็มีศีรษะคนจำนวนหนึ่งโผล่ออกมาจากใต้สะพานเชิงผิง พวกเขามองซ้ายมองขวาแล้วโผล่ขึ้นมาจากใต้สะพานอย่างระมัดระวัง

ในตอนที่พวกเขาคิดว่าตนเองปลอดภัยแล้วก็มีเสียงดังขึ้นข้างหูว่า “จะไปไหนกันหรือ” สีหน้าของพวกเขาแข็งทื่อ เมื่อเห็นบุรุษธรรมดาผู้หนึ่งขวางพวกเขาอยู่เบื้องหน้า

“ไม่เกี่ยวกับเจ้า หลีกไป!” หนึ่งในพวกเขาตะโกนเสียงดัง

บุรุษผู้นั้นยิ้มแล้วดึงไม้คานออกมา “ขอโทษด้วย แต่เรื่องนี้ข้าไม่ยุ่งไม่ได้”

เหล่าขอทานหลายคนตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติสีหน้าของพวกเขาดุร้ายและคิดจะใช้กำลังฝ่าออกไป อีกฝ่ายยกไม้คานขึ้นตวัดซ้ายขวาจนเหล่าขอทานล้มลงกับพื้นแล้วเขาก็ตะโกนขึ้นมาว่า

“จับได้แล้ว!” บุรุษผู้นั้นโบกมือแล้วเจ้าหน้าที่ที่แอบซุ่มอยู่ก็พุ่งออกมามัดพวกเขาเอาไว้

ตอนนี้ใกล้สิ้นยามไห้ บนถนนไร้ผู้คน อย่างไรก็ตามมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นทุกเวลา ประจวบเหมาะกับเวลานี้มีคนสองคนออกมาจากร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่และมุ่งหน้าไปที่ประตูเมือง

ทั้งสองคนเป็นบุรุษรุ่นเยาว์ คนหนึ่งอายุประมาณยี่สิบใบหน้าหล่อเหลาโครงคิ้วยกสูง ส่วนอีกคนอายุน้อยกว่าไม่มากดูสง่างามพริ้มเพรา

ทั้งสองคนเดินไปพูดไปว่า “ศิษย์พี่ องค์ชายรองเชื้อเชิญพวกเรา เหตุใดท่านต้องปฏิเสธด้วยเล่า” คนที่พูดก็คือจวินโม่หลี ส่วนอีกคนต้องเป็นศิษย์สำนักเสวียนตูกวันที่หมิงเวยแอบฟังพวกเขาคุยกันแน่นอน

เขาสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อท่าทางของเขาดูสบายๆ “เจ้าดูไม่ออกหรือว่าหากข้าตอบตกลงไปแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ”

“แน่นอนว่าข้ารู้” จวินโม่หลีไม่พอใจ “ศิษย์พี่คิดว่าข้าโง่ขนาดนั้นเลยหรือ”

“ในเมื่อรู้แล้วเจ้าจะพาข้ามาที่นี่ทำไมกัน อย่าลืมสิว่าท่านอาจารย์เคยเตือนพวกเราว่าอย่างไร คนในเสวียนเหมินควรปลีกตนเองออกจากสังคม ไม่แทรกแซงการเมืองซึ่งจะนำไปสู่การทำลายล้างได้”

จวินโม่หลีกังวล “ที่ศิษย์พี่กล่าวมาข้ารู้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันเวลาไหนแล้ว เจ้าอวี้หยางหยิ่งผยองเช่นนั้น คงไม่ใช่ได้รับความโปรดปรานจากไท่จื่อแล้วหรอกหรือ ไม่ใช่ว่าพวกเราต้องการแทรกแซงการเมือง แต่สถานการณ์บีบบังคับให้เรามาถึงจุดนี้ พวกเราเสวียนตูกวันแตกต่างจากเสวียนเหมินอื่นๆ ได้รับความไว้วางใจจากราชวงศ์ สามารถกำหนดได้ว่าผู้ใดจะได้เป็นราชครู และกำหนดได้ว่าผู้ใดจะได้เป็นเจ้าสำนัก”

“แล้วอย่างไร” เขาหักกิ่งไม้ข้างทาง “ไท่จื่อไว้วางใจเขา พวกเราจึงต้องเข้าหาองค์ชายรองหรือ หมายความว่าเราต้องต่อสู้เพื่อองค์ชายรองหรืออย่างไร ในฐานะเสวียนชื่อเราครอบครองพลังพิเศษ หากเราเข้าร่วมการแย่งชิงอำนาจแล้วชนะขึ้นมาผลลัพธ์ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ดีหรอกนะ”

จวินโม่หลีตกใจ “ท่านพูดเช่นนี้แล้วทางอวี้หยางล่ะ ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องพลาดพลั้งหรือ”

คนผู้นั้นยิ้ม “เขาเข้าหาไท่จื่อซึ่งอยู่ในกรณีที่ต่างกัน ไท่จื่อเป็นรัชทายาท การจงรักภักดีต่อเขาเท่ากับจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ด้วย”

จวินโม่หลีรู้สึกท้อแท้ “ศิษย์พี่พูดเช่นนี้ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ไม่มีประโยชน์เลยหรือ”

เขาก้มหน้ามองดอกไม้ป่าในมือแล้วยิ้มบางๆ “ผู้ใดจะบอกได้กันล่ะ หากไท่จื่อยังไม่ขึ้นครองราชย์ก็ยังคงเป็นไท่จื่ออยู่วันยังค่ำ”

เขายื่นมือตบไหล่จวินโม่หลีเบาๆ “เจ้าน่ะ สมองยังไม่ไวพอคิดเรื่องยุ่งเหยิงพวกนี้ให้น้อยลงดีกว่า ยิ่งคิดมากยิ่งผิดพลาดมาก”

จวินโม่หลีไม่พอใจ “ศิษย์พี่ ท่านจะบอกว่าข้าโง่หรือ” อีกฝ่ายยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองเดินข้ามถนนสายยาวแล้วเห็นว่าประตูทางทิศใต้มีการต่อสู้เกิดขึ้น

“เหอะ กล้าสู้กันในเขตเมืองชั้นในหรือ ช่างกล้ามากเกินไปแล้ว”

เขาเหลือบมองแล้วพูดออกไปว่า “นั่นเป็นคนของหวงเฉิงซือ คงมาจัดการคดี อย่าไปยุ่งเลย”

จวินโม่หลีตอบ “ไม่ใช่บุรุษธรรมดาหรือ ดูมีทักษะเพียงเล็กน้อยจะเป็นคนของหวงเฉิงซือได้อย่างไร” เมื่อเขาพูดจบก็มีเจ้าหน้าที่วิ่งออกมามัดคนพวกนั้นเอาไว้

จวินโม่หลีรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าเข้าอย่างจังเขาพูดอย่างเศร้าๆ “เป็นคนของทางการจริงๆ”

“อย่าไปสนใจเลย พวกเรากลับไปค่อยคุยกัน”

“อืม” แต่เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็มีคนกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมาจากอุโมงค์ใต้สะพาน คนกลุ่มนั้นล้วนเป็นยอดฝีมือเมื่อพวกเขาออกมาก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปที่ประตูเมืองอย่างรวดเร็ว มีเงาร่างหนึ่งออกมาจากรถม้าที่จอดข้างสะพาน และรีบตามคนกลุ่มนั้นไปอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า

ทั้งสองฝ่ายประมือกันอย่างรวดเร็วจวินโม่หลีกล่าวชม “ฝีมือไม่เลวเลย!”

จากนั้นก็มีควันลอยออกมาเปลี่ยนรูปร่างเป็นงูกลางอากาศแล้วพุ่งเข้ารัดหนึ่งในนั้นเอาไว้ สีหน้าของศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองคนเปลี่ยนไป

นั่นคือวิญญาณ…

“เกิดอะไรขึ้น” จวินโม่หลีมึนงงเล็กน้อย “วิญญาณมาจากที่ใดกัน ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นวิญญาณที่กลายเป็นจิตวิญญาณแล้ว”

พบวิญญาณไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มีเสวียนชื่อหลายคนที่มีวิญญาณคอยติดตามข้างกาย แต่วิญญาณที่กลายเป็นจิตวิญญาณมีต้นกำเนิดที่น่าสงสัยที่สุด เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะถูกสร้างขึ้นโดยเสวียนชื่อในวิธีที่ต่างออกไป

หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นการฆาตกรรม

เมื่อเห็นวิญญาณงูเข้าร่วมการต่อสู้ จวินโม่หลีก็กระวนกระวาย “ช่างกล้านัก! กล้าใช้เคล็ดวิชากับมนุษย์ธรรมดาในเมืองหลวง!”

พอพูดจบอีกฝ่ายไม่รอให้ศิษย์พี่ของตนได้พูดอะไร เขากระโดดเข้าไปหาวิญญาณงูตัวนั้น

“เดี๋ยว…” ผู้เป็นศิษย์พี่ต้องการจะหยุดเขา แต่น่าเสียดายที่จวินโม่หลีวิ่งเร็วเกินไป ยังไม่ทันได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็ชักกระบี่ออกจากฝักและพุ่งตรงไปที่วิญญาณงูตัวนั้น

จบกัน รอให้ศิษย์น้องเก็บกวาดให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยพูดแล้วกัน

เขาคิดเช่นนั้นแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างสบายๆ ผู้ใดจะคิดว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จวินโม่หลีก็ถูกกระแทกกลางอากาศแล้วล้มลง

“ศิษย์น้อง!”

…………