บทที่ 321 มองพอแล้วหรือยัง / บทที่ 322 ผมชื่อเนี่ยอู๋หมิง

แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี

บทที่ 321 มองพอแล้วหรือยัง / บทที่ 322 ผมชื่อเนี่ยอู๋หมิง โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 321 มองพอแล้วหรือยัง

หลายวันต่อมา

ประกาศผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เยี่ยหวันหวั่นสอบเข้ามหาวิทยาลัยนิเทศเมืองหลวงได้ ในขณะเดียวกัน งานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่เธอก็มาถึง

ก่อนเลิกงาน เยี่ยหวันหวั่นส่งข้อความไปหาซือเยี่ยหาน ‘ที่รัก คืนนี้มีงานเลี้ยงวันเกิดคุณปู่ฉัน ฉันต้องไปอวยพร ไม่ต้องรอกินข้าวพร้อมฉันนะ จุ๊บๆ!’

หลายวันนี้เธอช่วยเตรียมการออดิชั่นเรื่อง ‘มังกรผงาด 2’ ให้ลั่วเฉิน ยุ่งจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น แม้แต่ของขวัญวันเกิดก็ยังไม่ทันได้เลือก ทำได้แค่กลับห้องรีบแต่งหน้าใหม่ เปลี่ยนเป็นชุดออกงาน แล้วตรงดิ่งไปตลาดของโบราณ

เงินโบนัสเธอไม่พอ ซื้อของขวัญราคาแพงมากไม่ได้ ดังนั้นเลยต้องใช้ความตั้งใจแทน

ถนนของโบราณ ร้านค้าน้อยใหญ่ตั้งเรียงราย สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของยุคสมัยโบราณ ราวกับทำให้คนรู้สึกว่าอยู่อีกยุคหนึ่ง

เยี่ยหวันหวั่นกวาดตามองไปรอบๆ คิ้วได้รูปขมวดเล็กน้อย สายตามองไปยังที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร

เห็นชายหนุ่มอายุน้อยแต่งตัวไม่เรียบร้อยคนหนึ่ง สวมชุดยีนส์เก่าซอมซ่อ นั่งยองๆ อยู่ข้างแผงขายของในตลาดของโบราณ คอยมองมาทางเยี่ยหวันหวั่นอย่างพิจารณา มองมาไม่หยุด ไม่มีทีท่าจะหลบสายตาเลย

เพื่อเป็นการประหยัดเวลา เยี่ยหวันหวั่นใส่ชุดราตรีเดินเข้าไปเลย ระหว่างทางมีสายตามองมาไม่น้อย แต่ว่าสายตาของหนุ่มคนนี้ไม่ค่อยเหมือนคนอื่น

ไม่ใช่สายตาของชายหนุ่มที่มองเพศตรงข้ามอย่างคนที่เหลือ แต่เป็น…สายตาที่พิจารณาและสำรวจ…เหมือนกับว่ารู้จักเธอมาก่อน…

ชายหนุ่มทำท่าทางเกียจคร้าน ขณะที่สบตากับเยี่ยหวันหวั่น มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

เยี่ยหวันหวั่นเดินไปข้างหน้า พินิจมองชายหนุ่มอยู่สักพัก จึงจะกอดอกแล้วถามหยั่งเชิง “มองพอแล้วหรือยัง”

ชายหนุ่มหัวเราะทันใด “ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุณหน่อยๆ เหมือนจะเคยเจอที่ไหน”

ได้ยินคำพูดนี้ของชายหนุ่ม เยี่ยหวันหวั่นหลุดขำออกมาทันที มุกนี้เชยไปหน่อยแล้วล่ะมั้ง

“คุณผู้หญิง ทั้งวันยังขายไม่ได้เลย ค้าขายลำบาก ช่วยอุดหนุนหน่อยสิ!” ชายหนุ่มมองไปยังสินค้าบนแผงตัวเองก่อนเริ่มขายของ

หลังจากแน่ใจว่าตัวเองไม่รู้จักคนคนนี้ เยี่ยหวันหวั่นก็ไม่เสียเวลาอีกต่อไป หันหลังจะเดินกลับ

“เฮ้ อย่าเพิ่งไปสิ ของที่ผมขายนี่ไม่ธรรมดานะ ไม่ซื้อก็มาดูก่อนได้!” เห็นเยี่ยหวันหวั่นจะไปแล้ว ชายหนุ่มเลยรีบตะโกนเสียงดัง

เยี่ยหวันหวั่นหันหน้าไป มองดูแผงของชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง

เพียงแวบเดียว เยี่ยหวันหวั่นก็หยุดตัวค้าง

สินค้าบนแผงรูปร่างแต่ละอันประหลาด ไม่เหมือนพวกเครื่องประดับชิ้นเล็กและเครื่องลายครามโบราณ แต่เหมือนงานศิลปะที่สร้างมาจากวัสดุแข็งบางชนิดมากกว่า

“นี่อะไร?” เยี่ยหวันหวั่นถูกชิ้นงานแกะสลักสวยประณีตชิ้นหนึ่งดึงดูด เธอชี้ไปที่กล่องสีขาวกล่องหนึ่งในนั้นพลางถาม

เห็นเยี่ยหวันหวั่นมองสินค้าบนแผงตัวเอง แววตาเกียจคร้านของชายหนุ่มหายไป ตื่นตัวถึงขีดสุดทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “คุณผู้หญิง ถือว่ามีสายตาเฉียบแหลม ผมมองคุณก็รู้แล้วว่าคุณไม่ธรรมดา ดูของเป็นจริงด้วย!”

ชายหนุ่มกระแอม พูดอย่างลึกลับว่า “นี่เป็นหมาป่าหิมะที่ผมล่าได้ตอนไปที่ราบน้ำแข็งทางเหนือคนเดียวเมื่อหลายปีก่อน ใช้กระดูกขาทำเป็นกล่องสวยงาม มีเสน่ห์มาก เหมาะกับคุณจริงๆ วางไว้ที่บ้านขับไล่วิญญาณชั่วร้ายได้ด้วยนะ”

เยี่ยหวันหวั่นนิ่งอึ้ง

ไปที่ราบน้ำแข็งทางเหนือคนเดียว ล่าหมาป่าหิมะบนที่ราบน้ำแข็ง…เอากระดูกขาของมันมาทำเป็นกล่องกระดูก?!

การตลาดแบบนี้ไม่เหมือนใครเลย ทำไมนายไม่บอกว่าทำมาจากกะโหลกสิงโตที่ราบน้ำแข็งทางเหนือเลยล่ะ?

เยี่ยหวันหวั่นกลั้นยิ้มไว้ ชี้ของอีกชิ้นหนึ่งที่สะดุดตา ถามอีกว่า “แล้วอันนี้ล่ะ?”

“ตาคุณยิ่งถึงเข้าไปใหญ่ นี่หัวกะโหลกของสิงโตตัวผู้ในเทือกเขาแถบอเมริกาใต้ แล้วผมก็เป็นคนฆ่าด้วยมือเปล่า” สีหน้าชายหนุ่มภาคภูมิใจ

เยี่ยหวันหวั่นอับจนคำพูด

…………………………………………………

บทที่ 322 ผมชื่อเนี่ยอู๋หมิง

เห็นสีหน้าเยี่ยหวันหวั่นมีสายตาแปลกๆ หนุ่มน้อยรีบพูดขึ้นมา “คุณคิดว่าผมหลอกลวงคุณ?”

เยี่ยหวันหวั่นส่ายหน้า โบกกระเป๋าสตางค์ในมือต่อหน้าชายหนุ่ม ยิ้มแล้วพูด “ปีนั้นฉันอยู่ในเทือกเขาในอเมริกาเหนือ หลังจากที่ฉันฆ่าหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่หลายพันกิโลกรัมด้วยมือเปล่า ถอนขนมันออกมาแล้ว เอามาทำกระเป๋าสตางค์”

“หา?” ชายหนุ่มอายุน้อยมองกระเป๋าหนังในมือเยี่ยหวันหวั่น อึ้งไปเล็กน้อย

“เป็นไปไม่ได้น่า…” ชายหนุ่มลูบจมูก สีหน้าดูสงสัย “ผมฆ่าหมีสีน้ำตาลด้วยมือเปล่ามาก็ไม่น้อย… ทำไมไม่รู้ว่ามีหมีสีน้ำตาลที่หนักหลายพันกิโลกรัมด้วย…”

เยี่ยหวันหวั่นมองหนุ่มน้อยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย ในใจรู้สึกจนปัญญา จุดสำคัญที่เขาสนใจกลายเป็นน้ำหนักตัวของหมีสีน้ำตาล

“หมีสีน้ำตาลหนักหลายพันกิโลกรัมผมไม่เคยเห็น หมีสีน้ำตาลที่ผมล่าโดยปกติแล้ว อย่างมาก็หนักประมาณ 600 กิโลกรัมเอง” หนุ่มน้อยมีสีหน้าจริงจัง

“คุณลำบากมากจริงๆ “ เยี่ยหวันหวั่นขำเสียงเบา คนนี้น่าสนใจมาก

“ไม่เท่าไร พวกหมีสีน้ำตาลนี่ เวลาต่อกรกับมันก็มีเทคนิคอยู่ จะล่าก็ไม่ถือว่าลำบากนัก” หนุ่มน้อยตอบ

เยี่ยหวันหวั่นกลับส่ายหน้า “ความหมายของฉันคือ ตอนที่คุณล่าหมีสีน้ำตาล ยังต้องพกเครื่องชั่งไฟฟ้าติดตัวไปวัดน้ำหนักด้วย”

ได้ยินดังนี้ หนุ่มน้อยดูไม่ค่อยพอใจ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “น้องสาว นี่คุณดูถูกผมนะ สำหรับผมแล้ว จำเป็นจะต้องจงใจไปชั่งน้ำหนักที่ไหน กวาดตามองแวบเดียวก็รู้น้ำหนักคร่าวๆ แล้ว”

“เอ๋? งั้นคุณว่าฉันหนักเท่าไร” เยี่ยหวันหวั่นถามขึ้นมา

ชายหนุ่มก็ซื่อมาก หลังประเมินมองเยี่ยหวันหวั่น ก็พูดอย่างมั่นใจ “75 กิโลกรัม ไม่มากหรือน้อยเกินไปกว่า 1.5 กิโลกรัม”

เยี่ยหวันหวั่นหน้าบึ้งทันที คนนี้ ไม่ได้จงใจหาเรื่องใช่ไหม…

เห็นเวลาจะไม่ทันแล้ว เยี่ยหวันหวั่นไม่คิดจะพูดพร่ำทำเพลงกับเด็กนี่ต่อ หันหลังกลับทันที

“น้องสาว ไม่ซื้อสักชิ้นหน่อยเหรอ?” หนุ่มน้อยตะโกนตามหลัง

เยี่ยหวันหวั่นทำเหมือนไม่ได้ยิน ถึงแม้ของจะไม่ได้ดูมีค่าอะไร แต่งานฝีมือนั้นไม่เลวเลย ส่วนตัวเธอยังชอบมากด้วย แต่น่าเสียดายเงินเธอมีจำกัด แล้วยังต้องรีบเลือกของขวัญอีก

“ถูกนะ!” หนุ่มน้อยยังไม่เลิกตื๊อ ตะโกนต่อ

ร่างเยี่ยหวันหวั่นหยุดลง ไม่ได้หันหลังกลับมา แต่เสียงกลับดังขึ้นมา “ถูกยังไง?”

หนุ่มน้อย “ชิ้นละหนึ่งแสน”

เยี่ยหวันหวั่น ‘ลาก่อน!’

หนุ่มน้อย “หนึ่งหมื่น!”

เยี่ยหวันหวั่นไม่หันหน้ากลับมา

“หนึ่งพัน ถูกกว่านี้ไม่ได้แล้ว!” หนุ่มน้อยรีบพูด

“หนึ่งร้อย!” เยี่ยหวันหวั่นพูด

“โธ่เว้ย มีคนต่อราคาอย่างคุณแบบนี้ด้วยเหรอ? หนึ่งแสนต่อรองมาถึงหนึ่งร้อย ปล้นกันชัดๆ!” หนุ่มน้อยอึ้งไป

แต่วินาทีต่อมา หนุ่มน้อยก็กลัวว่าเธอจะเดินไป เลยรีบพูด “ร้อยเดียวก็ร้อยเดียว พอให้ผมกินเกี๊ยวไปอีกหลายมื้อ… ทำการค้ากับผู้หญิงอย่างพวกคุณนี่ไม่ง่ายเลย ถ้าไม่ใช่เพราะผมขายไม่ได้มาสามเดือน แสนหนึ่งลดอีกสักแดงยังไม่ได้เลย…”

เยี่ยหวันหวั่นแค่พูดขึ้นมาเฉยๆ คิดไม่ถึงว่าคนนี้จะตกลงจริงๆ เลยหันหลังกลับมาโดยไม่ลังเล ชี้ไปที่ชิ้นงานแกะสลักชิ้นหนึ่งที่เมื่อกี้ตัวเองสะดุดตาแล้วพูด “ฉันต้องการชิ้นนี้ ห่อให้ด้วย”

ยังไงหนึ่งร้อยเหรียญซื้อไปก็ไม่ขาดทุน หนึ่งร้อยเหรียญซื้อไปไม่โดนหลอก

“ได้เลย!” หนุ่มน้อยหยิบกล่องที่สวยงามขึ้นมา เอาสินค้าวางไว้ตรงกลาง

“คุณลูกค้า คุณชื่ออะไร” หลังเก็บเงินเสร็จ หนุ่มน้อยถามขึ้นมา

“ตอนที่ถามชื่อคนอื่น ควรบอกชื่อตัวเองก่อนหรือเปล่า” เยี่ยหวันหวั่นหัวเราะ

“ผมชื่อเนี่ยอู๋หมิง (เนี่ยไร้ชื่อ)” ตอนที่หนุ่มน้อยบอกชื่อตัวเอง สีหน้าดูภาคภูมิใจมาก

“อ้อ ฉันชื่อเยี่ยโหย่วหมิง (เยี่ยมีชื่อ)” เยี่ยหวันหวั่นพูดตอบ

นายนี่ ไม่ใช่แค่ขายของปลอม แม้แต่ชื่อยังปลอมอีกเหรอ มีคนที่ไหนชื่อว่าไม่มีชื่อ?

“นี่ชื่อบ้าอะไร คุณคลอดออกมาเองหรือ?” เนี่ยอู๋หมิงมองไปทางเยี่ยหวันหวั่นด้วยความสงสัย

“เกรงว่าคุณเองไม่แน่ก็คลอดออกมาเองเหมือนกันสินะ!” มุมปากเยี่ยหวันหวั่นหดลงเล็กน้อย ไม่พูดมากความกับเนี่ยอู๋หมิงอีก หันหลังกลับ เดินหายไปท่ามกลางตลาดโบราณ

หลังจากเยี่ยหวันหวั่นออกมาแล้ว เนี่ยอู๋หมิงก็จัดการเสื้อยีนส์ของตัวเองที่ยับเล็กน้อย ลงไปนั่งข้างแผง กลับสู่ท่าที่เกียจคร้านเหมือนในตอนแรก ปรับร่างกายให้อยู่ในท่าที่สบายตัวที่สุด

“เยี่ยมีนาม… น่าสนใจ…” มุมปากชายหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อย มีรอยยิ้มที่ชั่วร้ายและเกียจคร้านอยู่

“แม่…ผมจะเอาอันนี้…”

เวลานี้ มีหญิงสาวคนหนึ่งพาเด็กน้อยอายุประมาณ 7-8 ขวบมาที่ด้านหน้าแผง เนี่ยอู๋หมิงรีบลุกขึ้นมา “หนูน้อย สายตาหลักแหลมมาก นี่เป็นหมีขั้วโลกเหนือที่ฉันล่าด้วยมือเปล่าทางตอนเหนือสุด… ขนที่เอามาใช้… เฮ้ อย่าเพิ่งไป!”

…………………………………………………