หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าจงใจพูดขึ้นด้วยเสียงเข้มงวด เพื่อเก็บซ่อนความเศร้าคะนึงหาเมื่อนึกถึงภาพสมัยอดีตขึ้นมา
“คนนอกไม่อาจเข้าไปในอะคาเดมีได้ก็จริง แต่เด็กส่งสารจากพระราชวังสามารถแวะเวียนเข้าไปได้เป็นครั้งคราวเพคะ หากขาดสิ่งใดก็ส่งสารแจ้งมาได้ทุกเมื่อ หญิงชราคนนี้จะจัดเตรียมไว้ให้เองเพคะ”
“…ได้ครับ ขอบคุณครับ”
ได้ยินเสียงม้าร้องดังแว่วมาจากไกลๆ
เฟเรสสวมถุงมือที่ยังให้ความรู้สึกแปลกใหม่ไม่คุ้นชินเล็กน้อย แล้วหยิบดาบขึ้นมาถือไว้
เพราะอากาศค่อนข้างเย็น เขาจึงสวมถุงมือช่วยมอบความอบอุ่นให้มือที่เย็นเฉียบ
เฟเรสหันไปมองหัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าที่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องนอนของเขาอยู่เพียงลำพัง ก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่ายเป็นการบอกลา
“รักษาสุขภาพด้วยนะเพคะ เจ้าชายลำดับที่สอง”
หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้ากล่าวเช่นนั้นในขณะที่โค้งกายลงอย่างนอบน้อม
เฟเรสมองภาพนั้นอยู่เพียงครู่ แล้วจึงหันหลังเดินจากไป
ตึก ตึก
เดินออกมาจากวังโฟอิรัคด้วยฝีเท้าที่ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
เขาจะไม่ได้กลับมายังพระราชวังแห่งนี้อีกพักใหญ่
และเมื่อถึงวันที่เขากลับมาอีกครั้ง เฟเรสก็จะกลายเป็นอีกคนที่แตกต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
พอคิดแบบนั้นแล้ว ฝีเท้าที่หนักหน่วงก็พลันเบาสบายขึ้นในทันที
เจ้าชายออกเดินทางไปยังอะคาเดมีนอกจากหัวหน้านางกำนัลที่มาขอเข้าพบแล้ว ก็ไม่มีใครมาส่งเขาเลยสักคน พระราชวังยังคงเงียบสงัดไร้ซึ่งสัญญาณผู้คนเหมือนเคย
การออกเดินทางของเฟเรสจึงไร้ซึ่งสิ่งกีดขวาง
“อรุณสวัสดิ์ เฟเรส”
จนกระทั่งพบว่าฟีเรนเทียยืนรอเขาอยู่หน้ารถม้า
“รู้ได้…ยังไงกัน”
ตั้งใจเก็บเงียบไม่บอกใครแท้ๆ
คนที่ทราบล่วงหน้าว่าเฟเรสจะออกเดินทางวันนี้ มีเพียงแค่จักรพรรดิโยบาเนสพระองค์เดียวเท่านั้น
เพราะเขาจำเป็นต้องได้รับอนุญาต
แคทเธอรีนเองก็รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเฟเรสเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นนางจึงตั้งใจว่าจะส่งสารแจ้งไปยังเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียซึ่งเป็นผู้ปกครองของเขาเมื่อถึงยามบ่ายคล้อยแทน
แต่แล้วทำไมถึงได้
“ก็แค่”
เทียยิ้มพลางพูดขึ้น
“ถ้าเป็นข้าก็คงจะเลือกวันนี้น่ะ ยามรุ่งสาง ไม่ให้ใครรู้”
เสียงใสกังวานดังก้องไปทั่วบรรยากาศยามเช้าอันเงียบสงัด
เทียเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเฟเรสที่ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับฝังรากลึกอยู่ตรงนั้น ทุกย่างก้าวของนางเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ผ้าคลุมผืนหนาสีน้ำตาลพลิ้วไหวไปทุกจังหวะที่ก้าวเดิน
เฟเรสส่งยิ้มให้เทียที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
“เพื่อนออกเดินทางไกลทั้งที ข้าก็ต้องมาส่งสิ”
เฟเรสหัวเราะเสียงแผ่วอย่างหมดเรี่ยวแรง
คราวนี้เขาก็ยังโดนนางอ่านออกหมดเหมือนเคย
เทียเป็นแบบนี้เสมอ
รู้จักเขามากกว่าที่ตัวเขารู้จักตัวเองเสียอีก
นัยน์ตากระจ่างใสคู่นั้น ทุกครั้งที่มันหยุดอยู่ตรงหน้า ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกล่วงรู้ความคิดความอ่านออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งหมดทุกเรื่อง
“ครั้งนี้ก็ปรากฏตัวออกมาอีกแล้วสินะ เทีย”
ฮีโร่ตัวน้อยของเขาที่มักจะปรากฏตัวออกมาทุกครั้งที่ต้องการความช่วยเหลือ
เฟเรสหัวเราะขมขื่นในขณะที่เหม่อมองหน้าเทีย
“เจ้าออกเดินทางสู่โลกภายนอกเมืองหลวงเป็นครั้งแรกในชีวิต ถ้าต้องจากไปตามลำพัง มันคงเศร้าน่าดูเลยไม่ใช่เหรอ”
“…ขอบใจนะ”
“เพื่อนกันก็ต้องทำแบบนี้แหละ อ๊ะ และข้าก็ขนช็อกโกแลตกับลูกกวาดมากับรถม้าด้วย เอาไว้กินระหว่างทางนะ”
“…อื้อ”
ของหวานเป็นสิ่งที่เฟเรสชอบมาก
ทุกครั้งที่รสหวานแผ่ซ่านกระจายไปทั่วปาก มันทำให้เขานึกถึงเทีย
รสหวานเหมือนกับลูกกวาดที่ถูกยัดใส่ปากที่มีแต่รสขมฝาดของสมุนไพรในตอนนั้น
ชีวิตของเฟเรสที่เคยมืดมิดต้องอยู่ตามลำพังก็เช่นกัน เทียเข้ามาหาเขาเหมือนกับลูกกวาดเม็ดนั้น
ทุกครั้งที่ได้เคี้ยวของหวานในปาก มันทำให้เขานึกถึงใบหน้าขาวเนียนแก้มยุ้ยของเทียในวัยเยาว์
“อื้อ อยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่ ไม่สิ คิดว่าเจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”
เป็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด
“และเจ้าน่ะ ข้าจะช่วยเอง”
เป็นมือที่ยื่นออกมาช่วยเหลือ
และเทียก็รักษาสัญญาจริงๆ
บางทีเรื่องที่ยากลำบากที่สุดตลอดระยะเวลาที่ต้องอยู่ในอะคาเดมี ก็คงเป็นเรื่องที่เขาไม่อาจพบหน้าเทียได้นี่แหละ
เพียงแค่นึกถึงตัวเองในอนาคตขึ้นมา เฟเรสก็ต้องเม้มปากแน่นด้วยรู้สึกถึงความหดหู่ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ออกเดินทาง
เทียเฝ้ามองดูภาพนั้นก่อนจะขยับเท้าเดินเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว
“เฟเรส”
และค่อยๆ ยกสองมือขึ้นช่วยกระชับผ้าคลุมให้กับเฟเรส
คิ้วเรียวได้รูปของเทียขมวดนิ่ว รู้สึกไม่พอใจในอะไรบางอย่าง
“ยังไงตอนเดินทางไปอากาศก็น่าจะหนาวมาก…”
ตั้งแต่เริ่มใช้ออร่าเป็น เฟเรสก็ไม่ค่อยรู้สึกถึงความหนาวเท่าไหร่ เขาตั้งใจจะบอกออกไปว่าไม่เป็นอะไร
แต่ท่าทางต่อมาของเทียทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก
“สวมนี่ไปเพิ่มก็แล้วกัน”
เพราะเทียคลายผ้าพันคอสีน้ำตาลแก่ของตัวเองออก แล้วช่วยพันมันเข้ากับคอของเฟเรสให้แทน
กลิ่นกายหอมดั่งกลิ่นดอกไม้ของเทียลอยคลุ้งขึ้นมาในพริบตา
“อา…”
เฟเรสได้แต่ลูบคลำผ้าพันคอบนคอของตัวเองอย่างเหม่อลอย
เนื้อผ้าที่สัมผัสบนปลายนิ้วก็อ่อนนุ่มเป็นอย่างยิ่ง
เหมือนกับเทีย
ในตอนนั้นเอง ความรู้สึกบางอย่างในตัวเฟเรสก็ถูกปลุกขึ้นมา
“เดินทางปลอดภัย ส่งจดหมายมาบ่อยๆ ด้วยนะ”
ฟึบฟึบ
มือของเทียเอื้อมขึ้นลูบศีรษะของเฟเรส
“เพราะอะคาเดมีห้ามคนนอกเข้าเยี่ยม ก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน แต่ทุกปิดภาคเรียนก็อย่าลืมโผล่หน้ามาให้เห็นด้วยล่ะ”
เพราะส่วนสูงที่ต่างกันค่อนข้างมาก เพื่อที่จะลูบศีรษะเฟเรส ใบหน้าของเทียจึงขยับเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเฟเรส
ตึก ตัก
นัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นทั้งอ่อนโยน ทั้งอบอุ่น
น่าเศร้า แต่ความอบอุ่นนั่นมันไม่ใช่ของเฟเรสคนเดียว
เพราะเทียเป็นคนที่มีจิตใจดีมาก และยังเป็นมิตรกับผู้คน
ไม่ทิ้งขว้างคนที่กำลังลำบาก คอยช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากอยู่เสมอ
มือที่เคยยื่นออกมาช่วยเขาในวัยเยาว์นั่น อาจจะต้องแบ่งปันไปช่วยเหลือคนอื่นเช่นกัน
อยากครอบครองเป็นเจ้าของเหลือเกิน
หากนัยน์ตาสีเขียวของเทียหันไปมองคนอื่นขึ้นมาล่ะ
จู่ๆ ความรู้สึกด้านมืดก็พลันพลุ่งพล่านขึ้นโดยที่เขาไม่อาจควบคุมได้
เทียพูดเสียงใสอีกครั้งโดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าเฟเรสกำลังคิดอะไรอยู่
“ถ้ามีเรื่องอะไรต้องส่งจดหมายมาเล่าด้วยละ เข้าใจมั้ย”
“…เป็นห่วงข้าเหรอ”
เสียงที่ดังออกมานั้นทุ้มต่ำและแหบพร่า
“เป็นห่วงสิ มันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
เป็นห่วงเขาด้วยเหรอเนี่ย
คำพูดเพียงหนึ่งประโยคกลับทำให้เฟเรสรู้สึกโล่งใจ
และจู่ๆ เขาก็รู้สึกโลภขึ้นมาอีกครั้ง
ขอแค่ครั้งนี้เท่านั้น
แค่ครั้งนี้เท่านั้น เขาจะลองเป็นเด็กไม่ดีต่อเทียดีมั้ยนะ
ใบหน้าเนียนใสที่กำลังเอียงคอมองเขาด้วยความงุนงงอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวนั่น ทำให้เฟเรสกลืนคำว่า ‘แค่ครั้งนี้เท่านั้น’ กลับลงคอ
และหลังจากนั้นเขาก็ประทับริมฝีปากของตัวเอง จุมพิตลงบนหน้าผากกลมมนขาวเนียนของเทียเสียงดังจุ๊บ เป็นการประทับตรา
“จะ เจ้า…!”
เทียสะดุ้งโหยงรีบถอยกรูไปข้างหลัง ยกมือขึ้นปิดหน้าผาก ใบหน้าถูกย้อมจนเป็นสีแดงก่ำ
ได้เห็นเทียตื่นตระหนกแบบนี้ ไม่รู้ทำไมเฟเรสถึงได้รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“แทนคำบอกลา”
นัยน์ตาสีแดงเหมือนทับทิมคู่นั้นโค้งหยีลง รอยยิ้มแต่งแต้มขึ้นทั่วใบหน้าของเฟเรส
“เทีย”
เฟเรสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ห้ามลืมข้านะ ห้ามเด็ดขาด”
เขามองนัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นของเทียพลางขอร้องอ้อนวอนอย่างโหยหา
“เพราะข้าจะคิดถึงเจ้าทุกวัน”
นัยน์ตาของเทียสั่นระริก เหมือนใบไม้ที่ปลิวว่อนเพราะสายลมที่พัดหวิวผ่านเข้ามา
ใช่แล้ว ตอนนี้แค่นี้ก็พอเฟเรสยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“แล้วข้าจะกลับมา”
รอข้านะ