ตอนที่ 294 บุปผาร่วงยีให้เละ

พันธกานต์ปราณอัคคี

หลัวอวี้เฉิงงงเป็นไก่ตาแตก พึมพำว่า “อำมหิตที่สุดคือใจสตรี อำมหิตที่สุดคือใจสตรี…”

 

 

ในใจกลับขนลุกซู่ แอบสาบานว่าต่อไปจะไม่ล่วงเกินหญิงผู้นี้เด็ดขาด

 

 

“พูดอะไรน่ะ?” มั่วชิงเฉินทาของเหนียวข้นทั่วศีรษะฮวาเชียนซู่อย่างคล่องแคล่วและเสมอกัน แล้วถามอย่างเย็นชาว่า

 

 

“ไม่…” หลัวอวี้เฉิงเพิ่งอ้าปากก็หยุดเสียง นิ้วมือวาดแสงวิญญาณสายหนึ่งครอบทั้งสองคนไว้

 

 

มั่วชิงเฉินยกตามองไปเช่นกัน เห็นเพียงหญิงสาวสองคนแต่งตัวเหมือนแม่ชียกตะกร้าใบหนึ่งเดินเลาะตามทางภูเขาลงมาช้าๆ

 

 

นี่คือคนธรรมดาสองคน

 

 

มั่วชิงเฉินโล่งอก ส่งเสียงทางจิตว่า “พวกนางเป็นคนในอารามตระกูลฮวา?”

 

 

“น่าจะใช่”

 

 

หลัวอวี้เฉิงใช้วิชาบังตา แม่ชีสองคนมองไม่เห็นทั้งสองคนโดยสิ้นเชิง พวกนางมาถึงปลายแม่น้ำ แล้ววางตะกร้าลง หยิบเสื้อผ้าออกมาขยี้ซัก

 

 

บทสนทนาของทั้งสองคนดังมาอย่างชัดเจน

 

 

“คงเซิง ตามระเบียบ ขึ้นห้าค่ำทุกเดือนทางนั้นจะส่งข้าวสารแป้งมา เหตุใดถึงบัดนี้แล้วยังเงียบอยู่อีก?” แม่ชีที่รูปร่างเล็กกะทัดรัดคนหนึ่งถามว่า

 

 

แม่ชีที่อายุมากกว่าอีกคนหนึ่งเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันได้ยินว่าคุณชายฮวาวิวาห์มิใช่หรือ อาจเพราะยุ่งกับการเตรียมงานวิวาห์ทำให้เสียเวลา วันนี้คงเหยียนลงเขาไปสืบข่าวแล้ว”

 

 

แม่ชีที่รูปร่างเล็กกะทัดรัดถอนใจทีหนึ่งว่า “พูดไปพูดมา คนเช่นพวกเราสุดท้ายก็ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจเมื่อไรที่คนเขามีธุระ แม้แต่ข้าวสารแป้งไม่ส่งแล้วก็ทำอะไรไม่ได้”

 

 

“ไม่ต้องกลุ้มแล้ว เจ้าอาวาสพูดแล้วมิใช่หรือ รอเริ่มฤดูใบไม้ผลิพวกเราก็เก็บกวาดที่ออกมาผืนเล็กๆ เพาะปลูกเสบียงเอง” คงเซิงปลอบใจว่า จากนั้นยกไม้ทุบเสียสูง ทุบตีเสื้อผ้าดังผลัวะๆ

 

 

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ทั้งสองคนยกตะกร้าไม้ไผ่เดินเลียบทางภูเขาไปไกลแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินถอนใจว่า “สหายเต๋าหลัว ไม้วัดดำดินของเจ้านั่นสุ่มร่อนลงที่นี่ หรือว่าตั้งใจ?”

 

 

“เป็นอันใดหรือ?” หลัวอวี้เฉิงถอนวิชาบังตาออก แล้วถามนิ่งเรียบ

 

 

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วว่า “พูดเช่นนี้ คือเจ้าอุตส่าห์มาที่นี่แล้วสิ ไยเจ้าถึงรู้ว่าตระกูลฮวามีจวนอื่นเช่นนี้อีก?”

 

 

หลัวอวี้เฉิงคาบหญ้าไว้ที่มุมปากต้นหนึ่ง นอนหงายลงมาให้รู้แล้วรู้รอดไป เอ่ยเนิบนาบว่า “ไยถึงรู้ได้ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือที่นี่ เหมาะกับการหลบภัยพอดีน่ะสิ”

 

 

“เราจะอยู่ที่นี่หรือ?” มั่วชิงเฉินหลุดปากออกมา จากนั้นกลับถอนใจว่า “ก็ใช่ เมื่อฮวาเชียนซู่หายสาบสูญ คิดว่าข้างนอกคงหากันให้จ้าละหวั่นแล้วกระมัง”

 

 

หลัวอวี้เฉิงทิ้งแววตา ‘เจ้าก็ไม่โง่นี่นา’ มา เอ่ยว่า “ถูกต้อง ดังนั้นเจ้าก็อยู่นี่สักปีครึ่งปี ขอเพียงตะเกียงเจ้าชะตาของฮวาเชียนซู่ไหม้อย่างโชติช่วง ตระกูลฮวาและนิกายมารแดงรู้ว่าเขาปลอดภัยไร้กังวล นานวันเข้าก็จะไม่ตรวจตราแน่นหนาปานนั้น เจ้าหาโอกาสจากไปก็ง่ายแล้ว”

 

 

“ข้า เช่นนั้นเจ้าล่ะ?” มั่วชิงเฉินถามติดปากว่า

 

 

สายตาที่หลัวอวี้เฉิงมองไปที่มั่วชิงเฉินประหลาดเล็กน้อย จากนั้นยิ้มนิ่งเรียบขึ้นมาว่า “สหายเต๋ามั่ว ข้าไม่ใช่เจ้าสาวหนีการวิวาห์ของตระกูลฮวานะ”

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าแดงก่ำ แอบโกรธเคืองขึ้นมาคนเดียว เหตุใดตนถึงเกิดรู้สึกพึ่งพาคนอื่นขึ้นมาแล้วนะ ดูท่ายังต้องขัดเกลาจิตใจอีกมาก

 

 

“ขอบคุณสหายเต๋าหลัวที่ช่วยเหลือ ไม่รู้สหายเต๋าหลัวจะเดินทางเมื่อไร?” มั่วชิงเฉินกลับมาสุขุมดังเดิม แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า

 

 

“ยังมีธุระบางอย่างต้องจัดการ นี่ก็จะไปแล้ว สหายเต๋ามั่ว เจ้ารักษาตัวด้วย” หลัวอวี้เฉิงกอบมือ ไม่รอมั่วชิงเฉินตอบก็เดินออกข้างนอกอย่างสง่าผ่าเผย

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าเงียบสงบ มองเงาหลังสูงโปร่งของเขาเงียบๆ ไม่พูดอะไร จู่ๆ หลัวอวี้เฉิงกลับหันหน้ามา ยกมือโยนม้วนคัมภีร์หยกข้ามมาม้วนหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือรับไว้ แล้วก็ได้ยินเสียงของหลัวอวี้เฉิงดังมาว่า “เดิมทีคิดจะเอามาหักดอกเบี้ยเล็กน้อย ในเมื่อเราหายกันแล้ว สิ่งนี้ก็ถือเสียว่าอวี้เฉิงมอบให้สหายเต๋ามั่วเป็นของขวัญวันวิวาห์แล้วกัน”

 

 

เจ้าคนปากร้ายนี่!

 

 

มั่วชิงเฉินโกรธจนกำหมัด ตอกกลับว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันวิวาห์ของสหายเต๋าหลัวชิงเฉินต้องมอบของขวัญกลับแน่นอน ฉวยโอกาสดูว่าสาวงามอันดับหนึ่งแห่งแดนไท่ไป๋หน้าตาเป็นเช่นไร”

 

 

สำหรับบทสนทนาของฮวาเชียนซู่และหลัวอวี้เฉิงก่อนหน้า ทำให้นางเดาได้รางๆ ว่าระหว่างหลัวอวี้เฉิงและคู่หมั้นของเขา ต้องไม่สุขสมหวังถึงเพียงนั้นแน่นอน

 

 

หลัวอวี้เฉิงหันหน้ามาทันที สายตาที่มองไปที่มั่วชิงเฉินมืดมนอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั่งนางไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา ถึงเอ่ยอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “ที่จริงยังคงเป็นสหายเต๋ามั่วที่รู้ใจข้า หากสามารถเป็นนักบวชเหมือนฮวาเชียนซู่เช่นนี้ได้ ก็ไม่เลวหรอกนะ”

 

 

พูดจบหันหน้าไป เดินสวบๆ เดินไกลออกไปเรื่อย ๆ

 

 

มั่วชิงเฉินก้มหน้าดูม้วนคัมภีร์หยกในมือ ยื่นจิตตระหนักเข้าตรวจดูแล้วอดดีใจไม่ได้ ไม่คิดว่าสิ่งที่บันทึกอยู่ข้างในจะเป็นข่าวคราวเกี่ยวกับไม้สะกดวิญญาณ

 

 

หลายปีมานี้ไม่ว่าตนไปถึงที่ใดก็จะค้นหาไม้สะกดวิญญาณอย่างยากลำบาก จนถึงบัดนี้ยังไม่ได้อะไรเลย ไม่คิดว่าหลัวอวี้เฉิงกลับจำคำพูดปีนั้นได้ แก้ปัญหาใหญ่ให้ตนไปเรื่องหนึ่ง

 

 

มีร่องรอยของไม้สะกดวิญญาณ มั่วชิงเฉินอารมณ์ดีมาก แม้เหลือเพียงตัวคนเดียว กลับไม่หดหู่เสียเท่าไร มองฮวาเชียนซู่อย่างรังเกียจปราดหนึ่ง แล้วลากเขาหาสถานที่มิดชิดที่หนึ่งปักหลักลงมา

 

 

ดีที่นางมีเถาวัลย์ที่พันธนาการพลังวิญญาณได้ ยังมี ‘โค่นเซียน’ ที่ทำให้คนสลบไสล ในเมื่อไม่ต้องกังวลว่าจู่ๆ ฮวาเชียนซู่จะตื่นมาจู่โจม และก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะมีสติขึ้นมาสร้างความรำคาญ เพียงสิ่งเดียวที่ใส่ใจก็คือ นานๆ ที แม่ชีน้อยสองคนนั้นจะแบกตะกร้าไม้ไผ่ลงมาซักเสื้อผ้า

 

 

แม่ชีน้อยสองคนนั้นเป็นเพียงคนธรรมดา ด้วยตบะระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ของนางคิดจะปิดบังร่องรอยเป็นเรื่องง่ายมาก ทุกครั้งที่พวกนางลงมา มั่วชิงเฉินยังจะเขยิบเข้ามาลองฟัง ดูว่ามีข่าวอะไร

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็กลับรู้เรื่องของตระกูลฮวาในวันนั้นมาไม่น้อย

 

 

เพราะระเบิดสะท้านฟ้าระเบิดขึ้นที่โต๊ะของนักพรตไป๋หมาง ตายไปสามคน คนหนึ่งในนั้นเป็นศิษย์ของนักพรตไป๋หมาง อีกสองคนก็เป็นศิษย์หัวกะทิในสำนักที่สนิทกับฮวาเชียนซู่ ส่วนหัวหน้าตระกูลฮวาฮวาไป่เฉิงก็บาดเจ็บสาหัส กระทั่งบัดนี้ยังไม่หายดี

 

 

แล้วยังได้ยินว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั้งสามท่านจู่ๆ ถูกเรียกตัวกลับนิกายมารแดงด่วน หลังจากนั้นมีจอมมารมาคนหนึ่ง ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรนิกายมารแดงและคนตระกูลฮวาที่ยังหมดสติอยู่ไปไม่น้อย พบคนก็บังคับถามร่องรอยของเจ้าสาว ข้างๆ เขายังมีอีกาตามอยู่ตัวหนึ่ง ฆ่าคนวางเพลิงทำชั่วทุกอย่าง น่ากลัวกว่าจอมมารนั่นอีก รอถึงตอนหลังจอมมารคนนั้นและอีกาจู่ๆ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยอีก

 

 

ผ่านไประยะหนึ่งก็ได้ยินอีกว่านิกายมารแดงและตระกูลฮวา ส่งคนไม่น้อยออกตามหาร่องรอยของฮวาเชียนซู่และจอมมารที่ปรากฏขึ้นวันนั้น

 

 

เสียดายเพียงวันนั้นยามที่จอมมารปรากฏตัว ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีสติแอบย่องหนีไปตั้งนานแล้ว คนที่เหลือยังสลบไสลอยู่ ส่วนคนธรรมดา มองหน้าตาของเขาไม่ชัดโดยสิ้นเชิง ถึงบัดนี้ก็ไม่มีคนรู้ว่าเขาเป็นใคร

 

 

ใจที่ตุ้มๆ ต่อมๆ ของมั่วชิงเฉินก็วางลงมาได้หน่อย ไม่ว่าอย่างไร นี่หมายความว่าเยี่ยเทียนหยวนปลอดภัยแล้ว ส่วนที่หายสาบสูญไป ต้องเพราะอู๋เย่ว์พาเขาไปซ่อนแน่ๆ

 

 

พูดตามตรง ตนและเยี่ยเทียนหยวนไปมาหาสู่กันไม่มาก แม้ไม่รู้ว่าเขากระทำการใดๆ เป็นอย่างไร มีอู๋เย่ว์อยู่กลับวางใจได้ มีเจ้ารักตัวกลัวตายตัวนั้นอยู่ คิดว่าคงไม่เป็นไร

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินจึงอาศัยอยู่ที่อีกจวนหนึ่งของจวนฮวาอย่างสบายใจ

 

 

ระหว่างนี้ไม่ใช่ฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่และเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา ก็จัดระเบียบสวนสมุนไพรพกพาสักที สะสมระเบิดสะท้านฟ้า เวลาครึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ในวันนี้ มั่วชิงเฉินตบมือลุกขึ้นยืน ออกแรงยืดแข้งยืดขา

 

 

ผมยาวเลยเอวแล้ว นางใช้ผ้าไหมสีเขียวเส้นหนึ่งมัดขึ้นอย่างตามสบาย ชุดวิวาห์สีแดงเข้มถูกทิ้งไปนานแล้ว เปลี่ยนเป็นชุดสีเขียวที่ไม่มีสัญลักษณ์ของสำนัก

 

 

เรียบร้อยแล้ว กวาดตามองฮวาเชียนซู่ที่พิงอยู่ข้างกำแพงหิน แล้วอดกัดฟันไม่ได้ เจ้าสารเลวนี่ ฆ่าก็ฆ่าไม่ได้ โกนศีรษะเขาจนล้านเลี่ยนช่างสบายเขาไปแล้วจริงๆ

 

 

ทว่าจะตัดแขนหรือขาเขาก็ไร้ประโยชน์ อาศัยฐานะของเขา หาโอสถต่อติดง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก หรือจะทำร้ายภายในก็ไม่ได้อีก เมื่อใดที่ตะเกียงเจ้าชะตาของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง การตรวจค้นที่เบาลงก็จะเข้มขึ้นอีก ตนคิดจะแอบหนีกลับดินแดนเทียนหยวนก็ยากแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินถือกริชหมุนไปหมุนมา คิดจะไปทั้งอย่างนี้ มันทำใจไม่ได้จริงๆ จึงกัดฟันแล้วหันกลับมา ก้มตัวลงตัดเส้นเอ็นมือและเท้าของฮวาเชียนซู่ขาด ต่อให้เขายังสลบไสลอยู่ ก็ยังอดครางเสียงหนึ่งไม่ได้

 

 

เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน แม้สามารถต่อติดได้ อย่างน้อยก็ต้องให้เขารับโทษเสียหน่อย เก็บชีวิตไว้ก่อน วันหลังมีโอกาสค่อยกลับมาเอา

 

 

ไม่เต็มใจอยู่ที่นี่นานขึ้นแม้ชั่วขณะ มั่วชิงเฉินเก็บกริชเข้าในอกเสื้อ สุดท้ายกวาดมองฮวาเชียนซู่ปราดหนึ่ง แล้วเดินออกไปแม้แต่หันก็ไม่หันกลับมา

 

 

เดินผ่านแม่น้ำไหลซ่าๆ แม่ชีน้อยสองคนกำลังซักผ้า มั่วชิงเฉินกระดกมุมปากขึ้น

 

 

สำหรับคนธรรมดาสองคนนี้ แม้เป็นคนตระกูลฮวา นางกลับไม่โกรธแค้น กระทั่งเพราะครึ่งปีนี้นางได้ข่าวคราวจากปากพวกนางบ่อยๆ จะมากจะน้อยก็รู้สึกใกล้ชิดอยู่บ้าง

 

 

แล้วก็ได้ยินแม่ชีที่รูปร่างเล็กกะทัดรัดคนนั้นว่า “คงเซิง คนที่มาใหม่ในอารามเรานั้นมีที่มาอย่างไรน่ะ ได้ยินว่ายังพอมีฐานะอยู่บ้าง?”

 

 

แม่ชีอีกคนหนึ่งทุบเสื้อผ้าว่า “ได้ยินว่าเป็นอนุของคุณชายท่านหนึ่ง ทว่ามาถึงที่นี่ ทุกคนล้วนเหมือนกันหมด ผงกลับสู่ผง ดินกลับสู่ดิน สุดท้ายก็เป็นเพียงกระดูกกองหนึ่งเท่านั้น”

 

 

มั่วชิงเฉินหยุดเดิน ที่พวกนางพูดถึง หรือว่าจะเป็นอวิ๋นจือ?

 

 

เกิดคิดอะไรได้ จึงตามแม่ชีสองคนนั้นไปเงียบๆ

 

 

ขึ้นเขาแล้ว มีอารามแห่งหนึ่งจริงๆ ครอบครองพื้นที่ค่อนข้างกว้าง

 

 

มั่วชิงเฉินแอบบ่นในใจ ตระกูลฮวานี่สร้างบาปไว้แค่ไหนกัน ส่งหญิงสาวเข้าอารามแม่ชีมากมายถึงเพียงนี้

 

 

ปล่อยจิตตระหนักออกสายหนึ่งเงียบๆ ในอารามนี้ไม่มีคนมีรากวิญญาณสักคน นางวางใจลง คลำไปถึงที่อยู่ของอวิ๋นจืออย่างระมัดระวัง

 

 

เสียงมู่อวี๋[1]ลอยมา

 

 

“ขอพระโพธิสัตว์คุ้มครองคุณหนูให้ปลอดภัย ความกรุณาอันยิ่งใหญ่…”

 

 

มั่วชิงเฉินในใจถอนใจทีหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “พี่อวิ๋นจือ…”

 

 

แม่ชีหันตัวมา คืออวิ๋นจืออย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

“คุณหนู…” อวิ๋นจือตาเป็นประกาย จากนั้นก็มืดมนลงมาอีก “โยมไม่เป็นไรช่างดีจริงๆ อมิตาพุทธ”

 

 

“พี่อวิ๋นจือ ไยเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย?” มั่วชิงเฉินรู้สึกเศร้าใจ

 

 

“โยม โปรดเรียกข้าว่าคงอวิ๋น” อวิ๋นจือสองมือประสานกัน คารวะหนึ่งที

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก “พี่อวิ๋นจือ นี่เจ้าตัดสินใจแน่วแน่จะออกบวชแล้ว?”

 

 

เงียบงันพักหนึ่ง เสียงเฒ่าชราของอวิ๋นจือถึงดังขึ้นว่า “ร่มกาสาวพัสตร์ เป็นที่พึ่งพิงที่ดีที่สุดของคงอวิ๋น โยม ขอให้ท่านรีบไปจากที่นี่โดยเร็วเถอะ”

 

 

มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง “พี่อวิ๋นจือ เจ้าพูดได้ถูกต้อง ยามนี้เวลานี้ ชิงเฉินไม่อาจพาเจ้าจากไปด้วยกันได้”

 

 

จากไปคนเดียวยังพอมีหวัง หากพาอวิ๋นจือไปด้วย ไม่แน่ยังจะทำให้นางต้องเดือดร้อนถึงขั้นเสียชีวิต หากเป็นเช่นนี้ ยังไม่สู้ให้นางใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบเสียดีกว่า

 

 

“โยม ขอให้จากไปเถอะ รักษาตัวด้วย” อวิ๋นจือโค้งลงไปลึกๆ

 

 

มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้ว หยิบน้ำผึ้งดอกท้อออกมาสองขวด เอ่ยเสียงเบาว่า “พี่อวิ๋นจือ ไว้พบกันใหม่”

 

 

พูดจบหันหลังจากไป

 

 

อวิ๋นจือมองดูเงาหลังที่จากไปของมั่วชิงเฉินแล้วถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง จากนั้นเริ่มสวนมนตร์ขึ้นมา

 

 

ที่มั่วชิงเฉินไม่รู้คือ ลั่วเหมยหลานสาวของอวิ๋นจือ ก็ตายอยู่ในการระเบิดของระเบิดสะท้านฟ้าในวันงานวิวาห์

 

 

 

 

——

 

 

[1] มู่อวี๋ แปลตรงตัวก็คือ “ปลาไม้” คือ เครื่องใช้สำหรับในการตีให้จังหวะในการสวดมนต์ของสงฆ์ แต่เดิมมักแกะสลักเป็นรูปปลารวมอยู่ด้วย เพื่อให้พระสงฆ์ได้เอาอย่างปลา เพราะมันไม่เคยหยุดนิ่งเลยแม้กระทั่งเวลานอน ครีบและหางของมันจะโบกสะบัดอยู่เสมอ “มู่อวี๋” นี้ส่วนมากทำจากไม้แก่นจันทร์ หรือแก่นขนุนนำมาเจาะให้ตรงกลางเป็นโพรง มีไม้ตีให้เกิดเสียงดัง (ความมุ่งหมายคือเวลาพระผู้นำใช้ตีจังหวะสวดมนต์อยู่ คณะสงฆ์ต้องสำรวมจิตสมาธิ)