บทที่ 209: กลุ่มวิทยานิพนธ์
“ต้องการอะไร?”
30 นาทีต่อมา หลินฮั่นกำผ้าห่มของเขาแน่นขณะที่มองฉินเย่ที่กำลังเท้าคางมองนอนอยู่ข้างเตียงอย่างหวาดระแวง ในตาของอีกฝ่ายมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ หลินฮั่นตะโกนอย่างตกใจ “ผมขอเตือนเลยนะ ตอนนี้ผมไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยสักชิ้น หากคุณพยายามจะทำอะไรบ้า ๆ อย่ามาโทษผมเด็ดขาด หากผมต่อยเข้าที่หน้าของคุณ!”
ให้ตายเถอะ…หมดคำจะพูด…ฉินเย่กัดฟันกรอด “ในสายคุณผมดูเหมือนพวกชอบที่ทำอะไรแบบนั้นหรือไง?”
หลินฮั่นพยักหน้า “ไม่อย่างนั้น คุณจะทำเรื่องแบบนั้นกับนักเรียนเย่…”
มือข้างหนึ่งคว้าเข้าที่ปากของหลินฮั่น ก่อนที่เจ้าตัวจะทันได้เอ่ยจนจบประโยค บีบมันอย่างแรงจนริมฝีปากของเขายื่นออกมาราวกับจมูกหมู ฉินเย่เอ่ยราวกับนักฆ่าที่เลือดเย็น “หากคุณพูดเรื่องนั้นอีกทีเราได้เห็นดีกันแน่ เข้าใจไหม?”
หลินฮั่นพยักหน้าอย่างแรงภายใต้คำขู่ของอีกฝ่าย
“จะว่าไป…ตอนนี้ก็เกือบจะห้าทุ่มแล้ว ทำไมคุณถึงไม่รอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อนล่ะ? ผมกำลังจะนอนแล้ว!” คำพูดมากมายหลุดออกมาจากปากของชายหนุ่มทันทีที่ฉินเย่ละมือออกมา หลินฮั่นหันไปหยิบแก้วน้ำที่อยู่ข้างเตียงของเขามาดื่ม
นี่คุณเป็นคนแบบไหนกัน? นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือไง?! หรือว่ามันเป็นเพราะว่าคุณไม่เคยเห็นใครหล่อเหลาเท่าผมมาก่อน?
ฉินเย่นั่งลงข้างเตียงและไขว่ห้าง “ผมคิดหัวข้อวิจัยมาหัวข้อหนึ่ง แล้วตอนนี้ผมก็กำลังทำวิทยานิพนธ์อยู่ เป้าหมายก็คือตีพิมพ์บนหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์”
พรวดดดด!! หลินฮั่นพ่นน้ำออกมาและมองฉินเย่ราวกับตนเพิ่งเห็นผี
ทำ…ทำไมจู่ ๆ เงาของอีกฝ่ายก็ขยายใหญ่ขึ้น เหมือนกับเรื่องคุณพ่อซื้อส้มที่สถานีรถไฟมาให้ผู้เป็นลูก[1]…
“ขอโทษด้วยหากมันเกือบไปโดนคุณ…แต่คุณ…คุณกำลังทำวิจัยเนี่ยนะ?!”
นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
นี่มันไม่เข้ากับภาพลักษณ์ของนายเลย ไอ้หนู!
“คุณมีปัญหา?” ฉินเย่มองชายหนุ่มตรงหน้า ผมบอกเลยนะ หากคุณมองผมด้วยสีหน้าตกตะลึงแบบนี้อีกครั้ง พรุ่งนี้เช้า ผมจะไปบอกให้อาร์ทิสมาแขวนตัวของนางที่หน้าประตูห้องของคุณ!
เอ่อ? ดูเหมือนว่าคำขู่นั้นจะค่อนข้างได้ผลทีเดียว…
ราวกับสัมผัสได้ถึงความโกรธที่เริ่มก่อตัวขึ้นของฉินเย่ หลินฮั่นกระแอมออกมาและเลือกใช้คำพูดอย่างชาญฉลาดแทนที่จะล้อเลียนอย่างตรงไปตรงมา “หนุ่มน้อย…ช่วยตระหนักด้วยว่านี่คือการทำวิจัยของอาจารย์! คุณคิดว่ามันเหมือนกับโครงการวิจัยของเด็กมหาวิทยาลัยหรือไง? ค้นหา คัดลอก แล้วก็วางอย่างนั้นน่ะ? wrong!big wrong best wrong!”
“…ถ้าคำว่าผิดมาก ผิดอย่างมหันต์ถูกคุณแปลจนกลายเป็นแบบนี้มันคงจะร้องไห้ตาย…” หางตาของฉินเย่กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ดวงของเขาปีนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บางทีคืนนี้เขาอาจจะไม่ควรก้าวเท้าเข้ามาในห้องนี้ด้วยซ้ำ…
หลินฮั่นไม่ได้สนใจความคิดในใจของฉินเย่เลยสักนิด เขาพลิกผ้าห่มออกและลุกขึ้นนั่งด้วยความตื่นเต้นทันที
เสี้ยววินาทีต่อมา
“บ้าเอ๊ย!! คุณนอนทั้ง ๆ ที่แก้ผ้าแบบนี้ได้ยังไง?! ไปให้พ้น! ไปให้พ้นจากสายตาผมเดียวนี้!!”
“…ได้…ไปเดี๋ยวนี้แหละ…เดี๋ยวก่อนนะ! คุณมีสิทธิ์อะไรมาตะโกนดังลั่นแบบนี้หลังจากที่พยายามจะใช้ประโยชน์จากผม?! แล้วนี่ก็เป็นห้องของผมด้วย!”
หนึ่งนาทีต่อมา
ทั้งคู่นั่งลงบนเตียงและจ้องหน้ากันนิ่ง ๆ เห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง หลินฮั่นส่งเสียงฮึดฮัด “คุณกำลังจะบอกผมว่าคุณต้องการให้ผม ผู้ที่หล่อเหลาและชาญฉลาดอย่างน่าอิจฉา มาช่วยยกระดับงานวิจัยของคุณให้สูงขึ้น?”
“…คุณช่วยหยุดใช้ศัพท์มากมายโดยไม่จำเป็นได้ไหม? การใช้คำมากเกินแบบนี้มันจะทำให้ผู้อ่านโมโหเอาได้นะ! นอกจากนี้ มันยังไม่จำเป็นที่คุณจะต้องยกระดับเล่มวิจัยของผม ที่ผมทำแบบนี้ก็แค่เพื่อที่จะยื่นมือช่วยคุณ เพราะผมเห็นใจคุณที่พยายามทำงานอย่างหนักราวกับวัว แต่กลับได้อาหารน้อยยิ่งกว่าไก่เสียอีก เข้าใจไหม?”
“ไม่ ไปซะ!”
ด้วยเหตุนี้ การแข่งขันทางศักดิ์ศรีระหว่างหนึ่งชายหนุ่ม และหนึ่งเด็กหนุ่มจึงได้เริ่มขึ้น
ฉินเย่ถกแขนเสื้อขึ้นในขณะที่หลินฮั่นเองก็สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มอีกครั้ง “ออกไปเลย! แค่ต้องทำรายงานในมหาวิทยาลัยก็มากพอแล้ว! ทำไมผมถึงต้องอยากทำรายงานอีกในตอนที่เป็นอาจารย์ด้วย? ถ้าอยากให้ผมตายคุณก็พูดมาตรง ๆ เลยเถอะ!”
หางตาของฉินเย่กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ “นี่ผมกำลังเสนอตำแหน่งผู้เขียนร่วมให้กับคุณ แล้วคุณก็จะได้คะแนนการสอนด้วย อย่างต่ำ 100 คะแนนเชียวนะ”
หลินฮั่นที่ได้ยินเช่นนั้นนิ่งไปทันที
หูของฮัสกี้ยื่นออกมาจากใต้ผ้าห่ม
ฉินเย่กระแอมเบา ๆ “นอกจากนี้ทางสำนักก็จะให้การสนับสนุนเราด้วยเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุด อย่างเช่น…ลดเวลาการสอนลง”
พรึ่บ! หลินฮั่นลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าจริงจังทันที โดยที่ฉินเย่ไม่รู้ หลินฮั่นได้สวมแว่นโดยที่ไม่ต้องรอคำสั่งและปรับท่าทางให้อยู่ในโหมดวิชาการทันที “คุณนี่เป็นพวกที่ชอบละเลยเนื้อหาใจความที่สำคัญที่สุดเสมอเลย นี่คือสิ่งที่คุณควรจะพูดตั้งแต่แรกสิ…สรุปแล้ว…เราจะเริ่มกันเมื่อไหร่?”
ฉินเย่แทบจะหัวเราะออกมา “ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมคิดว่าคุณมาซู่เฟิงอาจจะเหมาะกับหน้าที่นี้มากกว่า”
เมื่อเอ่ยจบเขาก็ลุกขึ้นยืนเพื่อจะเดินออกจากห้อง ทว่ายังไม่ทันที่จะเดินได้ถึงครึ่งเมตร หลินฮั่นและร่างที่สูง 1.8 เมตรของเขาซึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงก็กำขากางเกงของเขาแน่น “น้องชาย…มันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะที่จู่ ๆ จะเผาสะพานทิ้งแบบนี้ กรุณาใส่ชื่ออันต่ำต้อยของผมลงในชื่อของผู้เขียนร่วมด้วยเถอะ”
“ให้ตายเถอะ…คุณแค่กำลังหาเหตุผลในการลดภาระการสอนใช่ไหม?”
“นี่คือการตัดสินใจที่ผมทำเพื่อเกียรติและชื่อเสียงของสำนักต่างหาก!”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่ทำแยกด้วยตัวเองเลยล่ะ?”
หลินฮั่นจ้องฉินเย่อย่างโมโห – คุณหมายความว่ายังไง?! แม้ว่าคุณอยากจะเอาชนะใครสักคนแต่คุณก็ไม่ควรตบหน้าพวกเขาแบบนี้! ด้วยคนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดแบบผม…ไม่สิ! นี่มันก็แค่งานวิจัยเล็กน้อย ทำไมคนฉลาดแบบผมถึงต้องยอมเข้าไปมีส่วนร่วมกับมันด้วย?
ฉินเย่ยิ้มและนั่งยองๆ จากนั้นด้วยรอยยิ้มบางบนใบหน้า เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหลินฮั่น “เรียกผมว่าป๊าสิ”
“ป๊าครับ!” หลินฮั่นเรียกออกไปโดยไม่ลังเล
“เด็กดี…” ฉินเย่ลูบหัวฮัสกี้ตรงหน้าและลุกขึ้นยืน “เราจะเริ่มกันพรุ่งนี้เช้า เรียกนักเรียนอีกจำนวนหนึ่งมาช่วยด้วย…สักหกคนก็แล้วกัน เจอกัน 9 โมงตรงที่ชั้นบนสุดของห้องสมุด”
………………………………………..
เช้าวันต่อมา เมื่อฉินเย่ไปถึงที่จุดนัดหมาย ทุกคนก็มารอเขาอยู่ก่อนแล้ว
หวังเฉิงห่าวและเย่ซิงเฉินเป็นหนึ่งในกลุ่มนักเรียนที่นำมาโดยฮัสกี้หลิน ผู้ซึ่งใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มบางขณะที่ถูมือไปมาอย่างตื่นเต้น “แล้ว…เราจะเริ่มกันเลยไหม?”
ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งดี ฉินเย่เดินนำคนทั้งหมดไปที่ห้องซึ่งเอกสารลับถูกเก็บอยู่ ที่ซึ่งเขาได้อธิบายให้ทุกคนฟังคร่าว ๆ เกี่ยวกับหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์ของเขา 30 นาทีต่อมา ทั้งหมดต่างกระจายตัวเพื่อไปทำสิ่งที่ตนได้รับมอบหมาย ในขณะที่ฉินเย่ก็อ่านดูแฟ้มคดีต่าง ๆ อีกครั้ง
ด้วยการอยู่กับอาร์ทิสมาเป็นเวลานานพอสมควร มุมมองของเขาในตรวจดูแฟ้มคดีต่าง ๆ จึงดีกว่าเหล่าผู้ตรวจสอบธรรมดาทั่วไปมาก ดังนั้น แม้ว่าเอกสารพวกนี้จะมีการจดบันทึกเกี่ยวกับคดี ที่ทำให้เหล่าผู้ตรวจสอบหลายคนต้องมึนงง ฉินเย่ก็สามารถเห็นถึงประเด็นของปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะอ่านแฟ้มคดีทั้งหมดด้วยตัวเองเพื่อทำความเข้าใจถึงสิ่งที่เขาสามารถใช้ได้และใช้ไม่ได้
“มันไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยที่หัวข้อวิจัยพวกนี้จะต้องใช้เวลาหลายปี เล่มวิจัยที่เขียนเสร็จภายในหนึ่งเดือน…อาจจะขาดความเข้มงวดในบางเรื่องไป” ฉินเย่วางแฟ้มลงและลูบคางขณะที่เอ่ยออกมาเสียงดัง “มันอาจจะไม่สำคัญในสาขาอื่น ๆ แต่ในเชิงวิชาการ ความเข้มงวดถือเป็นทุกสิ่ง”
แม้ว่าจะมีการพูดเตือนอยู่บ่อยครั้ง แต่มันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะตัดสินหนังสือจากหน้าปก ยกตัวอย่างเช่น คนบางคนนั้นเลือกที่จะเชื่อใจหมอสูงอายุมากกว่าหมอที่ยังหนุ่ม ในแวดวงวิชาการเองก็เช่นกัน เล่มวิจัยที่เสร็จภายในหนึ่งเดือน…อาจจะถูกฉีกทิ้งก่อนที่จะได้ตีพิมพ์เสียอีก
“ถ้าอย่างนั้น…เราจะต้องทำให้แน่ใจว่ามันน่าสนใจ”
เขาหยิบแฟ้มอีกแฟ้มหนึ่งออกมา “ข้อสนับสนุนที่เราใช้เสนอจะต้องไม่มีรูโหว่และสมเหตุสมผล คดีที่เราอ้างอิงจะต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน และจะต้องตรงกับหัวข้อวิทยานิพนธ์ นี่คือหนึ่งในขั้นตอนที่ทดสอบความรอบคอบและการสังเกตรายละเอียดของอาจารย์ผู้สอนอย่างแท้จริง”
โชคดีที่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่มาร่วมแบ่งเบาภาระนี้กับเขา
ภายในห้องเอกสารมีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษ และเสียงชัตเตอร์จากกล้องโทรศัพท์มือถือดังขึ้นให้ได้ยินบ้างเป็นครั้งคราว เป็นเช่นนั้นไปจนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในเช้าวันต่อมาตารางสอนของฉินเย่และหลินฮั่นก็ได้ถูกปล่อยออกมา ทั้งคู่ได้ลดเวลาการสอนเหลือเพียงสองครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น ครึ่งหนึ่งจากตอนแรก และในส่วนของเวลาที่เหลือ…กลุ่มวิจัยของพวกเขามักจะหมกตัวอยู่ภายในห้องเอกสารตลอดเวลา
สองวัน…สามวัน…ในไม่ช้า มันก็ผ่านมาเป็นเวลาห้าวันแล้ว
พวกเขาได้สร้างฐานปฏิบัติงานขึ้นภายในห้องของหลินฮั่น และตอนนี้พวกเขาก็มีกันทั้งสิ้น 3 คน
ฉินเย่ หลินฮั่น และซู่เฟิง
สภาพของพวกเขาในตอนนี้ไม่ได้ดีมากนัก เพราะท้ายที่สุดแล้ว ใครก็ตามที่ทุ่มเททั้งกายใจของตนให้กับงานวิจัยจะสูญเสียการรับรู้ในเรื่องของเวลาไปอย่างรวดเร็ว กลางคืนจะหลอมรวมเข้ากับกลางวัน ชายทั้ง 3 ต่างก็มีรอยดำคล้ำอยู่ที่ใต้ตา และยังรวมถึงหนวดเคราที่ไม่แม้แต่จะมีเวลาโกนออก
ฉินเย่กำลังพิมพ์รายงานบนแล็ปท็อปของตนอยู่ มือของเด็กหนุ่มเร็วเป็นระวิง มีบางครั้งที่เขาต้องใช้เวลาคิดอยู่นาน ก่อนที่จะพิมพ์ประโยค ๆ หนึ่งออกมาได้ แล็ปท็อปสามเครื่องถูกวางเรียงกัน เครื่องทางซ้ายสุดแสดงให้เห็นข้อมูลที่พวกเขาได้ถ่ายมาจากห้องเอกสาร ในขณะที่เครื่องทางขวาแสดงถึงวิทยานิพนธ์ต่าง ๆ ที่ถูกใช้โดยสถาบันวิจัยการบ่มเพาะทั่วประเทศ
กึก…ฉินเย่หยุดมือและขมวดคิ้ว “ผมยังรู้สึกว่าหลักฐานชิ้นที่ 2 มันยังขาดอะไรบางอย่างอยู่ ผมยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคดีที่เราจะใช้อ้างอิง บางทีเราอาจจะหาข้อสนับสนุนที่ดีกว่านี้ได้…”
“ไม่ใช่แค่นั้น มันยังมีความคลาดเคลื่อนบางอย่างระหว่างข้อสนับสนุนและข้อความในวิทยานิพนธ์ที่พวกเรากำลังพยายามพิสูจน์ด้วย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมก่อนหน้านี้ผมถึงคัดค้านที่จะใช้ข้อสนับสนุนนี้” ซู่เฟิงเสยผมที่ตกลงมาปรกหน้าของตัวเอง ผมของเขายุ่งเหยิงจนไม่ต่างอะไรกับรังนกเลยสักนิด
ชายหนุ่มดื่มกาแฟอึกใหญ่จากในแก้วของตัวเองและเอ่ยต่อ “อย่าลืมว่าผมเคยทำงานที่ไหนมาก่อน ที่ศูนย์วิจัย SRC เชียวนะ! การวิจัยเชิงวิชาการจะต้องถูกสร้างขึ้นมาบนพื้นฐานที่เข้มงวด! มันมีความเป็นไปได้สูงว่าข้อสนับสนุนนี้จะถูกปฏิเสธจากนักวิชาการท่านอื่น ๆ!”
“หืม? ผมได้ยินมาว่าหลินฮั่นเอง ก็เคยอยู่ในห้องปฏิบัติการวิจัยด้วยนี่?”
“ใช่ เขาเป็นหนึ่งในทีมวิจัย มันเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากที่สติปัญญาของคนคนหนึ่งจะโบราณได้ขนาดนี้….”
“ให้ตายเถอะ! ผมยังอยู่ตรงนี้นะ กำลังหาดูข้อมูลวิจัยที่เรามี แต่พวกคุณกลับมาพูดเรื่องของผมต่อหน้าผมเนี่ยนะ?! มีเล่มวิจัยอย่างน้อย 20 ถึง 30 ฉบับที่มีเนื้อหาเชื่อมโยงกับหัวข้อวิจัยของคุณ! และผมก็กำลังอ่านมันทีละหน้า ๆ!” หลิงฮั่นเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอแล็ปท็อปและกัดฟันกรอด “หยุดพูดเรื่องไร้สาระ! ผมคือคนตัดสินเรื่องข้อสนับสนุน และมันก็จะเป็นข้อสนับสนุนที่เหมาะกับคุณมากที่สุดแล้ว! หรือว่าคุณคิดหาสิ่งที่ดีกว่านี้ได้?!”
รายงานส่วนนี้มุ่งเน้นไปที่ความหลากหลายของวิญญาณผ่านการวิวัฒนาการของพวกมัน เพื่อที่จะพิสูจน์อะไรเช่นนั้น หลักฐานซึ่งอ้างอิงจากคำบอกเล่าและการคาดคะเนนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถยอมรับได้ ข้อมูลต่าง ๆ จะต้องแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ เวลา และผู้ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้หลักฐานที่มีจะต้องเป็นคดีที่มีเอกสารครบถ้วน โดยอ้างอิงจากเหตุการณ์จริงและสามารถตรวจสอบได้
อาจารย์ผู้สอนไม่สามารถทำวิทยานิพนธ์ของพวกเขาได้อย่างลวก ๆ เพราะหากพวกเขาทำเช่นนั้น ความพยายามของพวกเขาทั้งหมดก็จะได้รับการประเมินแบบลวก ๆ เช่นกัน
หากเขาไม่สามารถตีพิมพ์วิจัยลงในผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ได้ภายในหนึ่งเดือน มันก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะสูญเสียโอกาสทั้งหมดเกี่ยวกับถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี และหัวข้อวิจัยต่อไปของเขาก็อาจจะไม่สามารถได้รับการอนุมัติอีกด้วย!
เขาเพิ่งมาถึงข้อสนับสนุนที่สองในเล่ม แต่เขากลับเจอเข้ากับอุปสรรคเสียแล้ว
ช่องว่างของความคลาดเคลื่อนระหว่างข้อสนับสนุน และข้อสรุปขอวิทยานิพนธ์เป็นเหมือนกับก้างชิ้นใหญ่ที่ติดอยู่ในคอของเขา และนั่นทำให้เขาไม่สามารถเขียนต่อได้
“ผมขอเวลาพักชั่วโมงหนึ่ง!” เมื่อเอ่ยจบเขาก็เดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเองอย่างหงุดหงิด หลังจากปิดประตู เด็กหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาและล้มตัวลงบนเตียง
“งานของเจ้าไปถึงไหนแล้ว?” ดวงตาของอาร์ทิสผละออกจากหน้าจอ ขณะที่นางพยายามจะฆ่า 3 ตัวติดต่อกัน “ข้ายังจำตอนที่พวกข้าได้รับหน้าที่ให้ร่างรายงานการทำงานสิบปีได้ดี นั่นคือช่วงเวลาที่ทำให้ข้าปวดหัวเป็นอย่างมาก ข้าต้องทำแม้กระทั่งสั่งให้เลขาทั้งสิบตนของข้าเพื่อทำงานนั้นให้สำเร็จ”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “ให้ตายเถอะ ข้าไม่คิดเลยว่าการวิทยานิพนธ์ของอาจารย์จะยากเย็นขนาดนี้…มันคนละระดับกับรายงานของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยอย่างสิ้นเชิง!”
เขาลุกขึ้นนั่งและเอ่ยออกมาอย่างต้องการระบาย “ข้อเท็จจริง! หลักฐาน! ทุกอย่างจำเป็นจะต้องได้รับการสนับสนุนด้วยอะไรบางอย่าง! ข้าสงสัยด้วยซ้ำว่าข้อสนับสนุนที่ตัวเองพูดออกไป เคยมีคนพูดมันออกไปหรือยัง แล้วข้าต้องอ้างอิงพวกมันแทนหรือเปล่า! ให้ตายเถอะ! สิ่งนี้กำลังจะฆ่าข้าให้ตายอย่างแท้จริง!”
“อดทนไว้” อาร์ทิสมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ และตอบโดยไร้ซึ่งความเห็นใจใด ๆ “เจ้าจะต้องเขียนอะไรแบบนี้อีกหลายครั้งเมื่อเจ้ากลายเป็นจ้าวนรก หรือต่อให้เจ้าไม่ได้เป็นผู้เขียนมันด้วยตัวเอง เจ้าก็ยังต้องแก้ไขเนื้อหาของมันและกำหนดทิศทางของมันด้วยตัวเองอยู่ดี นี่เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง…ไปเถอะ ข้าจะแปลงเป็นนกกระเรียนกระดาษแล้วไปช่วยเจ้าดูเอง เรื่องพวกนี้…บางทีก็ทำให้เจ้ารู้สึกอยากจะฆ่าคนได้จริง ๆ”