“เสี่ยวซู่ ทำแบบนั้นจะไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอ” หลี่ชิงเจิ้งกระซิบถามด้วยท่าทางกระวนกระวาย
เริ่นเสี่ยวซู่นำพวกเขาเดินแยกเข้าไปในแดนรกร้าง พวกเขาเปลี่ยนมาใส่เครื่องแบบของกองพันเทพยนต์เรียบร้อย ส่วนทหารนาโนแมชชีนนั้นออกไปจากแคมป์ได้พักหนึ่งแล้ว ทิ้งไว้เพียงทหารนาโนแมชชีนห้านายคอบจับตามองทหารกองกำลังส่วนตัวให้ไปแนวหน้าที่เขาเฟิ่งอี๋ตรงเวลา
ทหารในกองกำลังส่วนตัวทั้งหมดเปลี่ยนมาใส่เครื่องแบบของกองเทพยนต์ แต่ว่าทหารนาโนแมชชีนห้านายนั้นใส่เครื่องแบบทหารซ่อมบำรุงแห่งกองกำลังส่วนตัว ทำตัวกลมกลืนไปกับทุกคน เครื่องแบบพวกนี้เดิมทีไว้ให้สำหรับพวกช่างและยังเป็นเครื่องแบบมาตรฐานของกองกำลังส่วนตัวแห่งสมาคมด้วย
เบี้ยเลี้ยงสำหรับทหารช่างนั้นสูงกว่าปกติอยู่แล้ว อีกทั้งทหารบางนายในกองกำลังมีทักษะในการซ่อมรถไม่เลว หลิวไท่อวี่จึงตั้งใจโยกเงินเบี้ยเลี้ยงตำแหน่งนี้มาเข้ากระเป๋าตัวเอง ส่วนเครื่องแบบที่สมาคมให้มานั้นไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ถ้าเกิดว่ามันต้องซื้อแยกขึ้นมาล่ะก็ หลิวไท่อวี่คงได้ยึดเบี้ยเลี้ยงส่วนหนึ่งของทหารไปด้วยแน่
ทหารในกองกำลังส่วนตัวเก็บความไม่พอใจหลิวไท่อวี่ไว้มาก พวกเขาต่างมีกินไม่พอประทังท้อง นึกย้อนกลับไปตอนอยู่ป้อมสังเกตการณ์ ก็เป็นหลิวไท่อวี่ที่สั่งลูกน้องให้ผสมทรายไว้ในกระสอบข้าวไม่ใช่เหรอ
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่นำหลี่ชิงเจิ้งกับคนอื่นๆ มุ่งหน้าไปยังฐานปฏิบัติการหน้านั้น เขาก็เอ่ย “จะกลัวอะไรกัน”
“พวกทหารกองพันเทพยนต์นั่นยังอยู่ที่แคมป์อยู่เลยนะ ถ้าพวกเขารู้เรื่องที่พวกเราออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตล่ะ” หลี่ชิงเจิ้งพูดอย่างสองจิตสองใจ
“จะมีอะไรให้กลัว” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างไร้ซึ่งความกลัวเกรง “คิดว่าห้าคนจะจับตาดูคนเกือบพันได้เหรอ ถ้าในฝันคงได้แหละ ตอนนี้พวกเขายังไม่คุ้นหน้าทุกคน เป็นโอกาสอันดีให้พวกเราเคลื่อนไหวตามใจ หลังจากผ่านไปพักหนึ่งจนพวกเขาเข้าใจสภาพการณ์ของทหารกองกำลังส่วนตัวขึ้นมา จะเคลื่อนไหวตามใจอยากไม่ง่ายแล้ว”
หลี่ชิงเจิ้งพบว่าเริ่นเสี่ยวซู่ใจกล้ามากจริงๆ แต่การวิเคราะห์ของเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่นับว่าผิด
เริ่นเสี่ยวซู่พูดต่อ “ลองคิดดูนะ พวกเราแค่ไปหาอะไรกินเฉยๆ เอง ในเมื่อที่แคมป์ไม่มีเสบียงให้ ทำไมพวกเราจะออกหาอาหารกินเองไม่ได้ล่ะ พวกเรากำลังช่วยแบ่งเบาภาระของนายทหารพวกนั้นอยู่ต่างหาก!”
“ก็จริง” หลี่ชิงเจิ้งพูดเสริม “แต่ถ้าคนที่ฐานปฏิบัติการหน้ารู้ตัวตนของเราล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก หลังจากนี้ไม่ต้องพูดอะไร ให้ฉันจัดการเองพอ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงนิ่ง
เพื่อนร่วมหน่วยที่อยู่ด้านข้างหันมองเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยความเงียบงัน พลันจำได้ว่าพวกตนยังไม่เคยเห็นเริ่นเสี่ยวซู่กลัวอะไรเลย…
แคมป์ของทหารกองกำลังส่วนตัวอยู่ห่างจากฐานปฏิบัติการหน้าไม่กี่กิโลเมตร หลังจากออกจากที่นี่ไปแปปเดียวก็เจอเข้ากับกองพันเทพยนต์แล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าระยะทางไม่ห่างกันมาก เริ่นเสี่ยวซู่คงไม่คิดจะมาหาอาหารฟรีที่นี่หรอก
ตอนที่กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่มาถึงฐานปฏิบัติการหน้า คนที่ป้อมยามเข้ามาขวางทันที ก่อนที่หลี่ชิงเจิ้งจะทันออกไปพูดคุยกันอย่างสันติ ก็เห็นเริ่นเสี่ยวซู่เดินนำออกไปเตะชายผู้นั้นจนกระเด็น “กล้ามากนะมาขวางกองพันเทพยนต์ กล้าหาญจริง”
ช่วงบ่ายก่อนหน้านี้ พวกเขาก็คิดจะกินอาหารที่ฐานปฏิบัติการหน้า แต่กลับโดนคนของที่นี่ถากถาง หาว่าผู้อพยพไม่มีสิทธิ์มากินอาหารที่ฐานปฏิบัติการหน้าหรอก
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ได้มีโอกาสเอาคืน ย่อมไม่ยั้งมือ
พอทหารที่ป้อมยามเห็นอินทรธนูกองพันเทพยนต์บนแขนของเริ่นเสี่ยวซู่ เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะมีปากเสียง ปล่อยให้เริ่นเสี่ยวซู่เดินเชิดหน้าเชิดตาเข้าไปในฐาน
พวกหลี่ชิงเจิ้งที่ตอนแรกยังหวาดๆ อยู่บ้าง พอเดินเข้าไปก็เริ่มทำตัวเชิดหน้าเชิดตาเหมือนเริ่นเสี่ยวซู่
พอเข้ามาในโรงอาหารของฐานปฏิบัติการหน้า กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้กลิ่นหอมของอาหารทันที
กองทัพของสมาคมตระกูลหลี่หลายกองกำลังมุ่งหน้าไปยังแนวหน้า แต่ว่าไม่ใช่แค่นั้น มันยังมีกองกำลังที่กลับมาจากแนวหน้าด้วย ดังนั้นอาหารที่ฐานปฏิบัติการหน้าจึงมีพร้อมตลอดเวลา แม้กระทั่งน้ำร้อนในค่ายเองก็เปิดใช้ทั้งวัน
ขณะที่พวกพ่อครัวกำลังหัวหมุนอยู่ในครัวนั้น กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ก็เข้าใปตักอาหารใส่ถาดเหล็กอย่างสบายใจ
ผู้ดูแลของโรงอาหารเห็นแบบนั้นก็เดินเข้ามา เขาพูดอย่างระวังตัวว่า “ขออภัยด้วยครับ แต่พวกเรายังไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าเลยว่ากลุ่มของพวกคุณจะเข้ามาที่นี่”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป เขาไม่รู้ระเบียบทางทหาร จึงไม่รู้ว่าต้องแจ้งเตือนล่วงหน้าอะไรก่อนถึงจะเข้ามาในฐานปฏิบัติการหน้าได้ พวกหลี่ชิงเจิ้งเหงื่อแตกพลั่ก
แต่เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเย็น “กองพันเทพยนต์ของเราแค่มาหาอะไรกินที่นี่ ต้องแจ้งล่วงหน้าด้วยเหรอไง คิดดูถูกกองพันเทพยนต์เราอย่างงั้นเหรอ”
กลุ่มทหารรอบๆ เริ่นเสี่ยวซู่มองเขาด้วยความนับถือ ไม่รู้จริงๆ ว่าเริ่นเสี่ยวซู่เอ่ยคำแบบนั้นออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจได้อย่างไร
ผู้ดูแลของโรงอาหารพูดอย่างนอบน้อม “ผมไม่กล้าหรอกครับ แต่รบกวนขอทราบหมายเลขทหารได้ไหม”
กลุ่มทหารที่มีอยู่ประปรายในโรงอาหารมามุงดูความวุ่นวาย เริ่นเสี่ยวซู่ร้องเฮอะจากนั้นก็ยื่นใบแสดงตนทหารกองสืบสวนพิเศษ เขาเดินไปหาผู้ดูแลโรงอาหารและพูด “นายเห็นได้คนเดียว อยากตรวจสอบหมายเลขก็ตรวจสอบไป แต่ถ้าคนอื่นรู้ก็ระวังตัวไว้ซะ”
พอผู้ดูแลโรงอาหารอ่านหมายเลขแล้วก็ชะงัก ทำไมคนผู้นี้ถึงแสดงใบแสดงตนของกองสืบสวนพิเศษทั้งๆ ที่ใส่เครื่องแบบของกองพันเทพยนต์ล่ะ นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว เขารีบสั่งให้ลูกน้องลอบตรวจสอบหมายเลขทหาร แต่ว่าข้อมูลที่แสดงผลบนเครื่องเป็นของจริงหมด
ผู้ดูแลโรงอาหารนิ่งงันไป เขาไปแจ้งเรื่องนี้ให้ผู้บัญชาการของฐานปฏิบัติการหน้าทราบ แต่หัวหน้าเขาเองก็นิ่งงันไปไม่ต่าง พวกเขานึกว่านี่เป็นสถานการณ์พิเศษ ไม่ไปหาเรื่องจะเป็นการดี อย่างไรก็แค่อาหารเอง ปล่อยให้พวกเขากินกันให้เสร็จให้มันจบๆ ไปดีกว่า
เริ่นเสี่ยวซู่กินไปถอนหายใจไป รู้สึกว่าสองตัวตนอย่างสมาชิกกองพันเทพยนต์และนายทหารแห่งกองสืบสวนพิเศษมันช่างมีประโยชน์จริงๆ
อาหารในโรงอาหารทั้งเยอะทั้งอร่อย นับแค่อาหารจานเนื้อก็มีกว่าสิบแบบ หลังจากกินเสร็จ พวกเขาโอบหมั่นโถวมาสิบกว่าลูกยัดในอ้อมแขนเดินออกมาจากโรงอาหารด้วย ภาพนี้ทำเอาพนักงานในโรงอาหารมองมาอย่างเหม่อลอย นี่แม่*กองพันเทพยนต์จริงดิ ไหนว่าพวกเขาได้รับการปฏิบัติอย่างดีไง!
ผู้ดูแลของโรงอาหารปลอบใจตัวเอง ก็แค่สามสิบนายเอง แม้จะกินไม่หมด แอบห่อกลับ พวกเขาคงเอาอาหารไปไม่ได้มากหรอก
เริ่นเสี่ยวซู่พาหน่วยตัวเองกลับแคมป์ หลี่ชิงเจิ้งและคนอื่นๆ อิ่มจนเรอ “ข้างหน้าเราน่าจะมีฐานปฏิบัติการหน้าอยู่สี่ห้าฐาน พวกเราไม่ต้องทนหิวแล้วล่ะ”
“หัวหน้าหน่วยช่างเกรียงไกร หมั่วโถวที่เอามาน่าจะกินได้หลายวันเลย” ทหารในหน่วยชมเขาไม่หยุด ทำเอาหน้าเริ่นเสี่ยวซู่บานเป็นกระด้งอยู่แล้ว
พอกลับมาถึงแคมป์ พวกเขาก็เจอเข้ากับทหารคนอื่นๆ พอดี ทหารพวกนั้นเห็นกลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ดูมีพลังงานเต็มเปี่ยม ทั้งมีหมั่นโถวเต็มอ้อมแขน หัวหน้าหน่วยอื่นอิจฉาจนเกือบร้องไห้ “แบ่งหมั่นโถวให้พวกเราบ้างได้ไหม พวกเราไม่มีอะไรกินมาทั้งวันแล้ว”
ทันใดนั้นพระราชวังก็มอบภารกิจ [ช่วยเพื่อนทหารบรรเทาความทุกข์ทรมานจากความหิวโหย]
เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึงไปครู่หนึ่ง เขามองหัวหน้าหน่วยนั้นแล้วพูดอย่างอบอุ่นว่า “ฉันจะแนะนำที่ดีๆ ให้ รับประกันเลยว่าพวกนายจะอิ่มท้อง…