ตอนที่ 201 เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

อวี๋กว่างเจ๋อถอนหายใจ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงมั่นใจว่าจะหาคนมาทำให้ฉากนี้สมบูรณ์ได้แน่ แต่ว่าหลังจากดูเข้าฉาก คนแบบนี้หายากจริงๆ ถ่ายต่อไม่ได้จริงๆ หรือครับ? ฉากต่อมาไม่มีเนื้อหาอะไรแล้วจริงๆ นะครับ”

ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “อาตมามีความในใจ ถ่ายต่ออย่างสงบไม่ได้ อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยนะ อีกอย่างอาตมายังต้องทำนาด้วย การสวดมนต์ทุกวันต้องใช้เวลามาก ไม่มีแรงถ่ายต่อแล้วจริงๆ” ฟางเจิ้งไม่ได้พูดโกหก ข้าวผลึกต้องเติบโต จะขาดการสวดมนต์ไม่ได้ อย่างน้อยๆ หนึ่งสัปดาห์ต้องสวดหนึ่งครั้ง สวดหนึ่งครั้งไม่มีใครรู้ว่าจะนานเท่าไร เข้าสู่สภาวะนั้นแล้ว ไม่มีทางสวดแค่หนึ่งวัน

อวี๋กว่างเจ๋อเห็นฟางเจิ้งไม่อยากถ่ายจริงๆ เลยได้แต่ยิ้มแห้งๆ ขอตัวลาไป ในใจมีความเสียดายแต่ก็แอบดีใจ ดีที่ตนยังเก็บฉากนั้นไว้ได้ กระทั่งเขายังมีความคิดที่กล้าหาญกว่านั้น!

ฟางเจิ้งส่งอวี๋กว่างเจ๋อแล้วปิดประตูวัด กลับไปใต้ต้นโพธิ์ หยิบมือถือออกมาจะหาบทวิจารณ์เกี่ยวกับความถูกผิดในการฆ่าคน แต่ทุกคนบอกเหมือนกันว่าฆ่าคนผิด ทำให้ฟางเจิ้งลังเลใจนิดๆ

“ระบบ ฆ่าคนผิดจริงๆ เหรอ? ไม่ว่าสถานการณ์ไหนฆ่าคนก็ผิดไหม?” ฟางเจิ้งถาม

“ฉันตอบนายไม่ได้หรอก นายต้องเข้าใจด้วยตัวเอง ตระหนักมันออกมา นั่นจะเป็นของนาย แต่ถ้าไม่เข้าใจนั่นไม่ใช่ของนาย แต่ว่านายอย่าหาคำตอบในอินเทอร์เน็ตจะดีกว่า นักบวชทั่วไปในโลกนี้คิดว่าฆ่าคนผิดกันทั้งนั้น” ระบบตอบ

ฟางเจิ้งยิ้มแห้งๆ “นายนี่จริงๆ เลย ตอนที่ต้องการให้นายช่วยดันพึ่งพาไม่ได้ซะอย่างนั้น” แม้จะพูดแบบนี้ แต่ระบบไม่ได้ให้คำตอบที่แน่นอนกับเขา นั่นหมายความว่าความคิดเขาไม่ได้ผิดเสมอไป! เขาเลยรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย

ฟางเจิ้งเลือกหัวข้ออภิปรายเกี่ยวกับพุทธศึกษาที่ร้อนแรงที่สุดมา สร้างบัญชีแล้วแปะโพสต์ไปว่า “ฆ่าคนผิดไหม?” ไม่นานก็มีคำตอบแรก

‘ฆ่าคนคือความคิดเดี๋ยวนั้นเลย’

‘กงล้อกรรม ชดใช้กรรมไม่สบายหรอกนะ ฆ่าคนเป็นกรรมใหญ่ ถ้าไม่ผิด โลกนี้จะไม่เกิดโกลาหลครั้งใหญ่เหรอ?’

‘ไม่ว่าสถานการณ์ไหนก็ตาม ไม่มีใครมีอิสระในการชิงชีวิตคนอื่น’

‘ชีวิตมีแค่ครั้งเดียว ฆ่าคนคือความชั่วช้า!’

…………

ฟางเจิ้งอ่านคอมเม้นต์เหล่านี้พลางส่ายหน้า ปิดหน้าแรกไป ในนี้ไม่มีคำตอบที่เขาต้องการ

หลังอวี๋กว่างเจ๋อกลับไปก็ถูกกลุ่มคนล้อมโดยพลัน เรื่องที่ฟางเจิ้งอาจจะถ่ายต่อไปไม่ได้แพร่งพรายออกไป คนกลุ่มใหญ่เพิ่งจะคุยกันเรื่องนี้ แต่ละคนเบิกตากว้างรออยู่นานจนอวี๋กว่างเจ๋อกลับมา พวกเขาจึงเข้ามาล้อมด้วยความอยากรู้อยากเห็นมาก

ยังไม่ทันที่ทุกคนจะพูด อวี๋กว่างเจ๋อยิ้มเจื่อน “เอาล่ะ ทุกคนไม่ต้องมุง หลวงพี่ฟางเจิ้งถ่ายฉากต่อไปไม่ได้จริงๆ ถึงจะเป็นความเสียดาย แต่ผมติดต่อนักแสดงมือฉมังไว้แล้ว อีกสามวันจะถ่ายต่อ สองวันนี้ทุกคนพักผ่อนแล้วกัน…”

แต่สิ่งที่อวี๋กว่างเจ๋อตกใจคือปกติพอได้ยินว่าพักผ่อน พักร้อน แต่ละคนจะเหมือนกับลิงได้กลับป่าเขา แต่ทำไมวันนี้ถึงได้หมดอาลัยตายอยากกัน?

โดยเฉพาะหูเซี่ยวกับจ้าวหงเสียง อย่างกับบุพการีสิ้นชีพ

“ผู้กำกับอวี๋ ไม่มีหวังจริงๆ เหรอครับ เพิ่มเงินก็ไม่ได้?” หูเซี่ยวถาม

“คุณไม่ใช่นักบวชคงรู้จักแต่เงิน อย่าพูดถึงเงิน เขาเป็นพระอาจารย์เต๋า เงินไม่มีประโยชน์” อวี๋กว่างเจ๋อส่ายหน้า

หูเซี่ยวทำหน้าเศร้า “น่าเสียดาย ถ้าเขาแสดงต่อจะต้องปังมากแน่ๆ ถ้าเซ็นสัญญากับเขา นั่นคือกำไรงาม…”

อวี๋กว่างเจ๋อมองค้อน นักธุรกิจก็คือนักธุรกิจวันยังค่ำ มนุษย์หนอมนุษย์!

กินข้าวเที่ยงเสร็จ หูเซี่ยวกับอวี๋กว่างเจ๋อเอาตัวก๊อบปี้ตัวอย่างหนังไป กองถ่ายกลับมาปกติ นักแสดงมือฉมังยังไม่มาก็เริ่มถ่ายฉากอื่นๆ ก่อน

ทุกอย่างนี้เหมือนจะไม่เกี่ยวกับฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งหุงข้าวผลึก ผัดหน่อหลิวเฮาชามใหญ่ กินกับหมาป่า ลิงและกระรอกอย่างมีความสุข

กินข้าวเสร็จ หมาป่าเดียวดาย ลิงและกระรอกรวมกลุ่มกันออกไปดูการถ่ายหนัง เพียงแต่ฟางเจิ้งมักจะรู้สึกว่าเจ้าสามตัวนี้ทำตัวลึกลับ โดยเฉพาะลิงบ้า ก้นมันแดงกว่าเดิมอีก

ช่วงเย็น ฟางเจิ้งถามด้วยความกลัดกลุ้ม “พวกนายออกไปดูเขาถ่ายหนังกันทุกวัน เข้าใจด้วยเรอะ?”

เจ้าลิงเกาก้นพลางหัวเราะเหอะๆ “มีอะไรไม่เข้าใจล่ะ? ก็แค่คนโง่กลุ่มหนึ่งยืนแล้วก็นอนลง นอนแล้วก็ยืน ละเลงอะไรมั่วๆ บนตัว? ไม่สนุกสักนิด”

กระรอกพูด “พวกเขากินอะไรไม่รู้หลากสีน่ากินมาก ผู้หญิงสวยๆ หลายคนให้ฉันกินด้วย ฟินสุดๆ ใจกว้างกว่าคนขี้เหนียวอย่างนายเยอะ”

ฟางเจิ้งมองค้อนมันไปทีหนึ่ง “นายนี่มันไร้มโนธรรม กินข้าวเสร็จลุกไม่ขึ้นทุกที ยังมีหน้ามาว่าฉันขี้เหนียวอีก! ได้ พรุ่งนี้จะลดข้าวลง”

กระรอกเข้ามาใกล้แล้วพูดอย่างน่ารัก “ความหมายฉันคือพวกเธอขี้เหนียวมาก แต่นายใจกว้างกว่า”

ฟางเจิ้งขี้เกียจจะสนใจไอ้นี้ที่ใครมีข้าวจะเป็นแม่มัน จึงมองหมาป่าเดียวดาย

หมาป่าเดียวดายทำหน้าทำหน้าเหมือนเป็นผู้ใหญ่ “ไม่น่าสนใจ กลุ่มคนโง่หักไม้มาจะให้ฉันไปเก็บ ไม่ให้อะไรเลยสักนิด ฉันไม่เก็บหรอก”

ฟางเจิ้ง “@¥…”

หนึ่งคืนผ่านไปเงียบๆ ฟางเจิ้งฝันหวาน แต่พอลืมตาตื่น ใบหน้าพลันแดงก่ำ!

“ใครเป็นคนทำ?!” ฟางเจิ้งร้องด้วยความตกใจ!

ขณะเดียวกันบนเขา ทางด้านกองถ่ายก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจเช่นกัน

“ใครเป็นคนทำ?!” เมื่อเปิดกล้อง คนกองทั้งหมดต่างกางเต็นท์บนเขา แต่วันนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นตอนเช้า!

เต็นท์ของหลี่เสวี่ยอิงใหญ่มาก ด้านในมีห้องอาบน้ำเสริม ห้องนอน ห้องแต่งตัว อีกทั้งตอนนอนกลางคืนรอบๆ จะมีคนยืนเฝ้ายาม บนเตียงยังมีผ้าโปร่งบางพิเศษคลุมไว้ ข้างนอกมองไม่เห็นคนบนเตียง

หลี่เสวี่ยอิงชินกับการวางชุดชั้นในตัวใหม่ไว้ข้างเตียงก่อนนอน เพื่อสะดวกแก่การตื่นนอนมาสวม แต่ครั้งนี้มันหายไป? หลี่เสวี่ยอิงลืมตาขึ้นกอดผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ ชุดชั้นในหายไป!

แทบเป็นขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงร้องของผู้หญิงคนอื่นๆ ดังมาจากข้างนอก

ต่อมาตามด้วยเสียงเสี่ยวหลิว “คุณเสวี่ยอิง เอ่อ…คือผม…เอ่อ คุณเสวี่ยอิง ของหายรึเปล่าครับ?”

“เสี่ยวหลิว นายเข้ามาเถอะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เล่าให้ฟังหน่อย” หลี่เสวี่ยอิงถามด้วยความกลัดกลุ้ม

เสี่ยวหลิวเดินเข้ามาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก่อนพูดด้วยความโมโห “ไม่รู้ว่าไอ้โรคจิตที่ไหนมาขโมยชุดชั้นในผู้หญิงทุกคนในกองถ่ายเรา ตอนนี้มีหลายคนโล่งข้างในละครับ…”

“ขโมยชุดชั้นใน?” หลี่เสวี่ยอิงตกใจสะดุ้ง รีบพลิกกระเป๋าสัมภาระข้างๆ กระเป๋าสัมภาระถูกคนเปิดจริงๆ มองไปชุดชั้นในหายไปหมดแล้ว! แม้แต่ที่เตรียมไว้ยังไม่เหลือไว้ให้! ดีที่ยังสวมกางเกงในอยู่ ไม่อย่างนั้นต้องเดินออกไปโล่งๆ แน่