ตอนที่ 221 คุยเล่นเรื่อยเปื่อย

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“สะใภ้ใหญ่ ท่านระวังหน่อยนะเจ้าคะ!” จื่อหลัวมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ถูกสาวใช้ทั้งสองประคองอย่างระมัดระวังด้วยใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ จนชินเสียแล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ในยามนี้ตัวหนาเทอะทะ ก่อนจะฉลองปีใหม่ ซั่งกวนเจวี๋ยก็ได้ย้ายห้องนอนนางมาอยู่ชั้นหนึ่ง เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ท้องโตเดินขึ้นลงบันได ซั่งกวนเจวี๋ยก็มักจะมีความรู้สึกตื่นตระหนกจนหายใจไม่ออกอย่างหนึ่ง

“ไม่เป็นไร!” ยามนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดขึ้นมาก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงหายไปอยู่บ้างเช่นกัน แต่เทียบกับสิบวันก่อนก็นับว่าทุเลาลงมากแล้ว ช่วงเวลานั้นนางถึงกับรู้สึกหายใจลำบากเป็นพักๆ แต่ตอนนี้ได้ดีขึ้นมากแล้ว

“อะไรคือไม่เป็นไรเจ้าคะ ร่างกายของท่านในยามนี้เทอะทะย่อมต้องระวังแล้วระวังอีก” ม่านเหออยู่ในชุดของหญิงที่แต่งงานแล้ว ยามปรากฏตัวในเรือนมีคู่ เห็นท่าทางของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เข้ามาช่วยพยุงอย่างชำนาญลู่ทางทันที แม้ว่าจะแต่งงานแล้ว แต่นางก็ยังกังวลเรื่องที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตั้งท้องอยู่ เมื่อปรึกษากับสามีผู้นั้นของนาง ทุกวันจึงยังเป็นธุระกลับมาช่วงหนึ่ง หลักๆ ก็เป็นการอบรมสั่งสอนสาวใช้น้อยใหญ่ที่เพิ่งเลื่อนตำแหน่งขึ้นมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์และซั่งกวนเจวี๋ยเชื่อใจนางมากกว่า จึงรับน้ำใจนี้ไว้

“สะใภ้ใหญ่ ค่อยๆ เดินเจ้าค่ะ!” ม่านเหอประคองนางอย่างระมัดระวัง “ร่างกายของท่านนับวันก็ยิ่งหนักขึ้น ต้องระวังแล้วระวังอีกนะเจ้าคะ!”

“พวกเจ้าดูเหมือนจะพูดเป็นแค่ประโยคเดียวเสียอย่างนั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มพลางส่ายหน้า ยามนี้นางนั้นไม่แต่งหน้า ทั้งแก้มสองข้างก็ขึ้นกระด่างดำอย่างเห็นได้ชัด แต่นางกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ผู้หญิงท้องก็หวังให้ตัวเองสวยงามดั่งตอนที่ไม่ตั้งท้องกันทั้งนั้น แต่หากไม่สามารถทำได้ก็คล้ายว่าไม่ได้สนใจมากขนาดนั้น และนางดีมาหน่อยที่ขาและเท้าเพียงบวมเล็ก น้อย อินหงหลันกล่าวว่านี่เป็นเรื่องปกติ หากหญิงสาวที่มีวรยุทธ์เช่นนางบวมมากละก็ หญิงสาวทั่วไปก็คงจะร้ายแรงยิ่งกว่า

“นอกจากคำพวกนี้พวกเรายังจะพูดอะไรได้อีกเล่าเจ้าคะ?” ม่านเหอถลึงตาใส่นางพอเป็นพิธี “ท่านไม่รู้หรือเจ้าคะ ยามที่พวกเราเห็นท่านเดิน ใจนั้นวูบวาบไปหมด”

“แต่ว่าลุงอินยังพูดดีหน่อย ไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจอะไรทั้งนั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกว่าผู้เดียวที่ไม่มีท่าทีลนลานก็คล้ายจะมีเพียงสองสามีภรรยาอินหงหลันเท่านั้น พวกเขารู้ว่านางมีวรยุทธ์ แม้จะกล่าวว่าถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ เทียบกับหญิงสาวจอมยุทธ์พวกนั้นที่อุ้มท้องเก้าเดือนก็สามารถถลาข้ามกำแพง หรือเพิ่งจะคลอดลูกก็จับกระบี่ร่ายรำไปทั่วได้แล้ว แต่ตัวเองก็ไม่ถึงกับแค่เดินก็ยังเดินไม่ไหวหรอก ในยามนี้ขอเพียงแค่นางไม่เคลื่อนไหวอย่างรุนแรงเกินไป ก็ไม่อาจเกิดปัญหาอันใดอยู่แล้ว…แน่นอนว่า หากลื่นล้มอย่างไม่ทันระวัง ให้กระโดดม้วนตัวขึ้นมาก็ยังไม่มีปัญหาเช่นกัน

“นายท่านอินนั้นย่อมปกติ!” ม่านเหอกลอกตาใส่นางไปที “ท่านไม่คิดบ้างล่ะเจ้าคะ ปีนั้นฮูหยินอินตั้งท้องฝาแฝด ทั้งยังคลอดตามกำหนด ท้องของนางใหญ่กว่าท่านในยามนี้ถึงสองเท่า ผู้หญิงท้องที่นายท่านอินกังวลก็มีเพียงฮูหยินอินคนเดียวเท่านั้น เทียบกันแล้ว ท่านนับเป็นใครกันเล่าเจ้าคะ”

“แต่ข้าได้ยินว่าในยามที่ท่านแม่ให้กำเนิดจิงอิ๋ง ลุงอินก็เป็นหมอที่มีชื่อเสียงในเวลานั้นแล้ว ทั้งยังเป็นเขาที่ฝังเข็มให้ท่านแม่ ทำให้ท่านแม่คลอดจิงอิ๋งได้อย่างราบรื่น!” เรื่องนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ยินมาจากอินหงหลัน เขาบอกว่าในยามที่ซั่งกวนเจวี๋ยและหลิงหลงถือกำเนิด ตอนนั้นเขายังเป็นเพียงศิษย์ที่โดดเด่นคนหนึ่งเท่านั้น แต่ในยามที่จิงอิ๋งเกิด เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงแล้ว

“ท่านอย่าได้ฟังเขาพูดส่งเดชไป พอฮูหยินพูดถึงเรื่องนี้ก็โกรธเขาจนแทบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน!” ม่านเหอหัวเราะขึ้นมา “คุณหนูรองและคุณชายเล็กล้วนเป็นนายท่านอินที่ฝั่งเข็มให้ฮูหยินใหญ่ ภายหลังก็ให้กำเนิดอย่างราบรื่น แต่ท่านรู้หรือไม่ว่ายามที่ฮูหยินใหญ่เจ็บแทบเป็นแทบตาย ขอร้องให้เขาฝังเข็ม เขานั้นทำอะไร?”

“ทำอะไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สงสัยเป็นอย่างมาก แต่นิสัยทรามๆ ของอินหวงหลันนางก็รู้มาบ้างเช่นกัน ซินหรันเปลี่ยนเป็นนางพญาราชสีห์ก็เพราะเหตุนี้…หากไม่แสดงความร้ายกาจออกมาก็ย่อมจัดการกับความคิดแปลกๆ หรือพิเรนทร์แต่ละอย่างของเขาไม่ได้หรอก

“ในยามที่ฮูหยินกำเนิดคุณหนูรอง เขายืนกัดผิงกั่วอยู่นอกห้องคลอดเจ้าค่ะ บอกว่ารอให้ฮูหยินร้องจนแสบคอเสียหน่อย เดี๋ยวเขาจะเข้าไปฝังเข็มให้ฮูหยินเอง ตอนที่ฮูหยินคลอดคุณชายเล็ก เขาก็ยิ่งเกินไปใหญ่ เอาแต่เงยหน้ารอผลไม้บนต้นร่วงลงมา ยังพูดอะไรนะ เมื่อแตงสุกก้านก็ย่อมร่วง รอผลตกลงมา เด็กก็จะคลอดออกมาเช่นกัน ไม่มีความจำเป็นต้องฝังเข็ม จึงเป็นฮูหยินอินที่ดึงหูของเขาถึงสามารถพาเขามาในห้องคลอดได้เจ้าค่ะ!” ม่านเหอพูดถึงเรื่องนี้ก็ยังคงโกรธเคือง “เรื่องนี้แม่นมที่อายุมากหน่อยก็คงจะรู้กันหมดกระมัง พูดขึ้นมาก็ล้วนแต่ต้องบอกว่าเขาน่ะตัวร้าย แต่ว่าทุกคนต่างรู้ดี ขอเพียงแค่เขาลงมือ ก็ไม่มีอะไรที่รักษาไม่ได้ทั้งนั้น จึงทำได้เพียงต้องยอมรับเขาเจ้าค่ะ!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะออกมา เรื่องเช่นนี้อินหงหลันก็ยังทำออกมาได้ เขาก็นับว่าเป็นบุคคลที่ชอบทำตัวเหลวไหลคนหนึ่ง หากไม่ใช่ว่ามีทักษะการแพทย์ที่ไม่มีใครสามารถแทนที่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะถูกใครต่อใครจัดการไปแล้ว…คนอื่นไม่ว่า แต่ซั่งกวนฮ่าวย่อมจะจัดการเขาอย่างโหดเหี้ยมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นแน่

“วันนี้เหตุใดฮูหยินจึงไม่เข้ามาล่ะเจ้าคะ?” ม่านเหอสงสัยเรื่องนี้มากกว่า ทุกวันหวงฝู่เยวี่ยเอ้อมักจะเข้ามาเดินเล่นพูดคุยกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จะฝนตกฟ้าร้องก็ไม่เคยขาด ไฉนวันนี้จึงไม่มาเสียล่ะ?

“นางไปดูชิงหวั่น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง ขบวนส่งเจ้าสาวของตระกูลมู่หรงมาถึงลี่โจวเมื่อวานซืน พำนักอยู่ที่เรือนโปรยผกาของตระกูลมู่หรง หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเป็นภรรยาเอก ตามหลักแล้วควรจะเข้าไปดูลูกสะใภ้ที่ยังไม่ได้แต่งงานผู้นี้เสียหน่อย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ม่านเหอยิ้มอย่างเข้าใจ “สะใภ้ใหญ่ ยามนี้เมื่อปีที่แล้ว ท่านก็เพิ่งมาถึงลี่โจวเช่นกัน เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เลยนะเจ้าคะ”

“นั่นน่ะสิ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้ม ยามนี้เมื่อปีที่แล้วตัวเองรู้สึกอย่างไรกันนะ? จิตใจว้าวุ่น ลังเลสองจิตสองใจ ไม่ว่าจะอะไรก็คิดไปแง่ร้ายเสียหมด คิดว่าจะปูทางถอยให้ตัวเองอย่างไรดี คิดว่าจะหนีการแต่งงานอย่างไรดี ความคิดที่อยู่ในหัวพวกนั้น จากที่คิดวนเวียนวุ่นวาย เมื่อถูกเปิดผ้าคลุมออก ชั่วพริบตาที่เห็นใบหน้าของเจวี๋ย ฉับพลันก็รู้สึกว่า การเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายเท่าไรทันที ภายหลังจึงพยายามทำให้คนของตระกูลซั่งกวนค่อยๆ ยอมรับตัวเอง แล้วก็ชอบตัวเองกระมัง!

“ข้าเพิ่งเห็นคนของตระกูลชุยที่ปากประตู พวกเขาก็คงเข้ามาส่งของอวยพรเช่นกันเจ้าค่ะ แต่ว่าเห็นเพียงคุณชายใหญ่ตระกูลชุยพาคุณหนูคุณชายลูกอนุไม่กี่คนมาด้วยเท่านั้นเจ้าค่ะ” ม่านเหอเล่าเรื่องที่ตัวเองเพิ่งเห็นมา จากนั้นก็กล่าวพลางยิ่มๆ “คุณหนูใหญ่ของพวกเราก็เป็นคนที่วาสนาดีคนหนึ่งเช่นกันนะเจ้าคะ เพิ่งจะแต่งออกไปก็มีข่าวดีเสียแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะให้กำเนิดผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“ผู้หญิงผู้ชายก็ล้วนดีทั้งนั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอย่างอ่อนโยน ในยามที่เพิ่งฉลองปีใหม่เสร็จ ทางจือหยางก็ส่งข่าวดีมา กล่าวว่าหลิงหลงได้ตั้งท้อง ไม่อาจกลับมาร่วมงานแต่งงานได้ ทำให้สองสามีภรรยาซั่งกวนฮ่าวเอาแต่ยิ้มกันยกใหญ่

“ใช่เจ้าค่ะ! คุณชายใหญ่ตระกูลชุยมีลูกชายภรรยาเอกสองคน ลูกชายอนุหนึ่งคน คุณชายรองตระกูลชุยมีลูกชาย

ภรรยาเอกหนึ่งคน ลูกชายอนุหนึ่งคน คุณหนูใหญ่ให้กำเนิดคุณชายตัวน้อยก็เป็นเพียงการเพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น[1] เท่านั้น หากสามารถให้กำเนิดคุณหนูได้ นั่นจึงจะนับว่าเป็นแก้วตาดวงใจของตระกูลชุยเจ้าค่ะ” ม่านเหอก็ยิ้มขึ้นมาเช่นกัน ฮูหยินชุยคิดอยากจะมีหลานสาวใจจะขาด น่าเสียดายที่ในยามนี้นางล้วนมีแต่หลานชาย แต่หลานสาวกลับไม่มีแม้แต่คนเดียว หลายวันก่อนส่งจดหมายมาหาหวงฝู่เยวี่ยเอ้อยังกล่าวว่า ไม่ใช่ว่านางลำเอียงหวังให้ลูกคนที่สามมีบุตรสาว แต่นางอยากได้หลานสาวผิวขาวผ่องคนหนึ่งจริงๆ นางไม่เชื่อว่าตัวเองให้กำเนิดบุตรสาวไม่ได้ พวกลูกๆ ก็ให้กำเนิดบุตรสาวไม่ได้เช่นกัน หวงฝู่เยวี่ยอ่านจดหมายก็ขำออกมา นางส่งจดหมายตอบกลับฮูหยินชุยว่า หากหลิงหลงให้กำเนิดบุตรชาย นั่นก็เพราะว่าฮูหยินชุยวาสนาไม่ดี ถูกกำหนดให้ไม่อาจอุ้มหลานสาวได้ แต่หากให้กำเนิดบุตรสาว นั่นก็เป็นเพราะว่าหลิงหลงวาสนาดี ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง ก็ไม่รู้ว่าหลังจากฮูหยินชุยอ่านจดหมายนั้นจะโกรธจนมีสภาพเช่นไร

“คนของตระกูลทั่วป๋าก็มาเช่นกันเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าส่งข่าวอันใดมาหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าคนของตระกูลทั่วป๋ามาถึงลี่โจวแทบจะพร้อมกับคนของตระกูลมู่หรง พวกเขาก็ส่งคนมารายงานตระกูลซั่งกวน ได้ยินว่าสองวันนี้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไปเยี่ยมเยียนหาทั่วป๋าฉินซิน…หวงฝู่เยวี่ยเอ้อบอกแล้วว่า หากนางมีเวลาก็จะเข้าไปดูทั่วป๋าฉินซิน ความนัยของคำพูดก็คือหากไม่มีเวลาก็จะไม่ไป และคนที่ได้ฟังประโยคนี้ของนางก็เชื่อว่านางคงไม่ไปอย่างแน่นอน

“การดูแลจัดการของเรือนพนาวายุในยามนี้ยอดเยี่ยมกว่าเมื่อก่อนมาก ไม่มีข่าวอันใดเผยแพร่ออกมาเลยเจ้าค่ะ!” ม่านเหอยักไหล่ เยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายว่าเพราะติดเเหง็กอยู่ในบ้าน ไม่อาจจะไปที่ใดได้ ทั้งไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่สามารถทำได้ จึงเริ่มสนใจเกี่ยวกับข่าวเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ขึ้นมา และหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็เข้าใจความกลัดกลุ้มของนาง จึงให้ซั่งกวนจิ่นส่งคนไปสืบข่าวคราวเล็กๆ พวกนั้น คล้อยหลังก็นำมาเล่าให้นางฟังเป็นพิเศษ เพื่อให้นางได้แก้เบื่อ

“อือ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผิดหวังอยู่บ้าง นางอยากรู้เป็นอย่างมากว่า ทั่วป๋าฉินซินที่ไม่เจอมาเกือบครึ่งปีจะเปลี่ยนแปลงไปถึงขนาดไหนแล้ว ยังคงมีนิสัยเกเร ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คิดว่าคนทั้งหมดต้องล้อมหน้าล้อมหลังนางเหมือนเมื่อก่อน หรือเปลี่ยนไปแล้ว? พบเจอกับเรื่องเช่นนั้น คนที่คิดจะวางแผนก็วางแผนไม่สำเร็จ กลับกันตัวเองกลายเป็นฝ่ายพลาด คนที่คิดจะแต่งด้วยมาตลอดก็ไม่ได้แต่ง กลับต้องมาแต่งกับคนที่ตัวเองดูหมิ่นดูแคลน ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงต้องเปลี่ยนไปอยู่บ้างกระมัง!

ภายหลังซั่งกวนเจวี๋ยก็เล่าถึงแผนของตัวเองและความผิดพลาดที่เกิดขึ้นระหว่างทางให้ซั่งกวนฮ่าวฟัง และซั่งกวนฮ่าวก็เอาเรื่องนี้ไปถามกับอินหงหลัน แม้ว่าอินหงหลันจะกัดฟันกล่าวว่าตัวเองนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ก็รู้มาเรื่องหนึ่งเช่นกัน…ผู้ที่ซั่งกวนเจวี๋ยเตรียมการไว้คนนั้นได้ทิ้งหน้ากากหนังมนุษย์ไว้ที่ใต้เตียงของทั่วป๋าฉินซิน นี่ทำให้พวกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ถึงกับพูดไม่ออก และก็ทำให้อินหงหลันตื่นตัวขึ้นมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์มีเหตุผลที่จะเชื่อ หากเขาไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับอวี่ไข่และทั่วป๋าฉินซินเลย เขาก็ย่อมจะจับตามองอวี่ไข่ จากนั้นก็ตามติดอวี่ไข่ไปทุกที่ เพื่อจะสามารถฉวยโอกาสดูเรื่องสนุกเป็นคนแรกแล้ว

“แต่ว่า…” ม่านเหอหัวเราะขึ้นมา “กลับได้ยินว่าสินเดิมเจ้าสาวของตระกูลทั่วป๋าเท่ากับตระกูลมู่หรงพอดี ล้วนมีหนึ่งร้อยสิบหกชั่งเท่ากัน ไม่ขาดไม่เกินแม้แต่น้อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าด้านในจะแตกต่างกันมากเท่าใดเจ้าค่ะ”

หนึ่งร้อยสิบหกชั่ง? นั่นเป็นจำนวนที่เยอะมากแล้ว! คนที่พวกนางแต่งด้วยคือลูกอนุภรรยา ย่อมไม่เหมือนกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่จำต้องให้ครบจำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบชั่ง แต่ในหนึ่งร้อยยี่สิบชั่งนั้นยังมีอีกครึ่งที่ตระกูลซั่งกวนเตรียมไว้ให้ และหากพูดถึงมูลค่า ของที่มาจากฝ่ายตระกูลซั่งกวนก็มีมูลค่ามากกว่า ในความเป็นจริงสินเดิมเจ้าสาวของพวกนางควรจะเยอะกว่าตัวเอง

จึงจะถูก!

“เพียงแต่มีคนกล่าวว่า หนึ่งในสามของสินเดิมเจ้าสาวเป็นฮูหยินใหญ่ที่เขียนจดหมายให้ส่งมา เดิมทีตระกูลทั่วป๋าก็ไม่อยากให้สินเจ้าสาวมากมายถึงเพียงนั้น” ม่านเหอหัวเราะออกมาอีก เรื่องที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยควักเอาทรัพย์สินส่วนตัวของตัวเองเชิดหน้าชูตาให้กับอวี่ไข่และทั่วป๋าฉินซินได้รู้ทั่วกันไปหมดแล้ว แต่ว่าพวกคนใช้ที่ผ่านการเคี่ยวเข็ญอย่างเข้มงวดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ล้วนไม่กล้าพูดซุบซิบนินทาเรื่องเจ้านาย กลัวว่าจะได้รับหายนะโดยไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นทั่วป๋าซู่เยวี่ยจึงยังไม่รู้ว่าหน้าตาของตนเองได้ถูกผู้อื่นมองทะลุปรุโปร่งไปหมดแล้ว

“ฮูหยินใหญ่ให้ส่งมา?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สงสัยเป็นอย่างมาก ตระกูลทั่วป๋าจะส่งสินเดิมเจ้าสาวมาเพิ่มหนึ่งในสามส่วนเพราะจดหมายฉบับเดียวของนางอย่างนั้นหรือ? ตระกูลทั่วป๋าเริ่มเมินเฉยกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยบ้างแล้ว…ตั้งแต่รู้ว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยถูกส่งไปที่วัดประจำตระกูลก็ห่างเหินขึ้นมา ดูท่าเมื่อคนจากไปชาก็เย็น[2] คงจะเป็นธรรมเนียมของตระกูลทั่วป๋าไปแล้ว

“และก็มีคนกล่าวว่าฮูหยินใหญ่ใช้ทรัพย์สินส่วนตัวของตัวเองเพิ่มเข้าไปด้วยเจ้าค่ะ ไม่ว่าข่าวลืออะไรก็ล้วนมีหมดเจ้าค่ะ” ม่านเหอหัวเราะ ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเป็นคนที่มั่งคั่งคนหนึ่ง ของสะสมและเครื่องประดับตกแต่งพวกนั้นของนางอย่าเพิ่งพูดถึงเลย แต่เงินส่วนตัวนั้นคงไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนเป็นแน่

“ส่วนพวกเราก็รอดูเรื่องสนุกพอ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวราะเสียงดัง พวกนางล้วนคาดไม่ถึงว่า สองแม่ลูกอนุภรรยาหนิงยังไม่ทันเป็นฝ่ายลงมือก่อน ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็เสียเงินไปมากมาย ทั้งให้ของดีจำนวนมากไปเสียแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมจะทำให้สองแม่ลูกผู้นั้นโลภมากยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าหลังจากปีนี้ไปทั่วป๋าซู่เยวี่ยยังจะเหลืออะไรอยู่อีกบ้าง?

———————————————-

[1] เพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น อุปมาว่าทำสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก

[2] คนจากไปชาก็เย็น อุปมาว่า เมื่อออกจากสถานที่เดิมแล้ว ความสัมพันธ์กับสถานที่แห่งนั้นก็จะจืดจางตามไปด้วย เหมือนกับการรินน้ำชาให้แขก เมื่อแขกไปแล้วน้ำชาก็จืดชืดตามกาลเวลา