ศาลาว่าการ

เย่เฟิงแต่งกายด้วยผ้ากระสอบ ยืนตัวตรงและยืนอยู่ตรงกลางรับการพิจารณาคดีของราชวิทยาลัยเงียบๆ

ใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อย ก็ไม่รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือป่วย?

อาจารย์หรงพูดอย่างเฉียบขาด “เย่เฟิง เจ้าฆ่าอาจารย์ใหญ่หรือไม่?!”

ดวงตาของเย่เฟิงชัดเจน โดยไม่ต้องคิดเขาตอบตรงๆว่า “ไม่”

“ทั้งพยานและหลักฐานก็อยู่ตรงนี้หมดแล้ว เจ้ายังกล้าที่จะเถียงอีก!” อาจารย์หรงโยนผ้าคาดศีรษะไปตรงหน้าเย่เฟิง

ผ้าคาดศีรษะเป็นผ้าหยาบ ซึ่งเขาเคยสวมเป็นประจำก่อนเข้าราชวิทยาลัย

ในราชวิทยาลัยอันกว้างใหญ่ มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะสวมผ้าคาดศีรษะที่โทรมเช่นนี้

“วันนี้กู้ชูหน่วนฉีกแขนเสื้อและฉีกส่วนหนึ่งของผ้าคาดศีรษะ ตอนที่เจ้าไปเปลี่ยนชุด เจ้าก็เปลี่ยนผ้าคาดศีรษะด้วย และมันเป็นที่คาดศีรษะที่เจ้าสวมอยู่ในเวลานั้น”

ดวงตาที่เยือกเย็นของเย่เฟิงมองผ้าคาดศีรษะที่คุ้นเคยบนพื้น แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

ทุกคนมองไปยังผ้าคาดศีรษะที่อยู่บนศีรษะของเย่เฟิง ผ้าคาดศีรษะนั้นหยาบโทรมเหมือนกัน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนกับที่คาดศีรษะในตอนเย็น

“พูดมา! ทำไมเจ้าต้องฆ่าอาจารย์ใหญ่?” อาจารย์หรงถามอีกครั้ง

เย่เฟิงเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์หรง และพูดคำเดียว่า “ข้าไม่ได้ฆ่าอาจารย์ใหญ่”

“ปัง…”

อาจารย์หรงทุบโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าเขาแหลก บีบคั้นมากขึ้นเรื่อยๆ แทบอยากจะฆ่าเย่เฟิงให้ตาย

“เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ได้ฆ่าอาจารย์ใหญ่ งั้นข้าถามเจ้า วันนี้ตอนยามซวีซานเค่อ เจ้าได้ไปที่หอตำราหรือไม่?”

“ใช่”

“งั้นเจ้าได้พบอาจารย์ใหญ่หรือไม่?”

“ไม่ได้พบ…”

“เหลวไหล! อาจารย์ใหญ่ไปถึงหอตำราตอนยามห้ายเอ้อเค่อ เจ้ายังทะเลาะกับอาจารย์ใหญ่อยู่เลย” คนเฝ้ายามตะโกน

อาจารย์ซ่างกวนเอ่ยแทรก “แล้วเจ้าออกจากหอสมุดเมื่อไหร่?”

“ประมาณยามห้ายเอ้อเค่อ ”

“เจ้าเข้าไปในหอสมุดเพื่อพบอาจารย์ใหญ่?”

“ใช่ อาจารย์ใหญ่ให้ข้าไปพบที่ห้องสมุดตอนยามซวีซานเค่อ แต่ข้ารออยู่นานก็ไม่พบเขา”

คนเฝ้ายามเดือดดาลจนหน้าเขียว “ไร้สาระ! เราสองคนพึ่งออกไปตอนยามห้ายซานเค่อ ก่อนที่อาจารย์ใหญ่จะมาถึงหอตำราเจ้าไม่ได้ออกไปไหนด้วยซ้ำ”

เย่เฟิงหลังตรงราวกับลำไผ่เขียว เมื่อเผชิญกับคำถามของพวกเขา เขาก็เม้มปากแน่นและไม่ตอบ

เมื่อเห็นการแสดงออกของเย่เฟิง ทุกคนก็ยิ่งมั่นใจว่าอาจารย์ใหญ่ถูกสังหารโดยเย่เฟิง

อาจารย์หรงเสียใจมาก “อาจารย์ใหญ่ใจดีกับเจ้าขนาดนั้น มอบไข่มุกอุ่นจิตที่เขารักที่สุดให้เจ้า ทำไมเจ้าถึงฆ่าอาจารย์ใหญ่ได้ลงคอ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเจ้าถูกสุนัขกินไปหมดแล้วรึไง?”

ดวงตาของเย่เฟิงฉายแววเจ็บปวด มือของเขาประสานกันแน่น

อาจารย์สวีทนมองไม่ได้อีกต่อไป มือของเขาสั่นเทาและเขาพูดอะไรไม่ออกเป็นเวลานาน

“เย่เฟิงนะเย่เฟิง เสียทีที่ข้าให้ความสำคัญกับเจ้า คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกล้าฆ่าอาจารย์ใหญ่ เขาเห็นเจ้าเหมือนกับเจ้าเป็นหลานแท้ๆของเขาเลยนะ”

“ข้าบอกแล้วเย่เฟิงเป็นเพียงแค่บัณฑิตที่ยากจนคนหนึ่งจะมีความสามารถมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ที่เขามาที่ราชวิทยาลัยต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่นอน พวกเจ้าก็ไม่ยอมเชื่อข้า”

“นั่นนะสิ เขาเป็นเพียงแค่สามัญชนธรรมดาๆคนหนึ่ง แล้วทำไมเขาถึงเชี่ยวชาญการเล่นพิณ วาดภาพ เขียนตัวอักษรได้? เขาจะเอาเงินที่ไหนไปร่ำเรียนตำรา เรียนฉินได้ที่ไหนกัน? ”

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าราชวิทยาลัยของเราได้เลี้ยงคนเนรคุณไว้ เย่เฟิง เจ้าพูดมาซิว่าเจ้ามาที่ราชวิทยาลัยมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”

มุมปากของเย่เฟิงขยับราวกับว่าเขาต้องการโต้แย้งอะไร แต่เขาไม่สามารถหาเหตุผลมาแย้งได้

“ใครก้ได้! จับเย่เฟิงไว้ เขาฆ่าอาจารย์ใหญ่ เขาต้องชดใช้อาจารย์ใหญ่ด้วยชีวิต!”

“ช้าก่อน!”

กู้ชูหน่วนตะโกน นางลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วมายืนเคียงข้างกับเย่เฟิง ขึ้นเสียง “ข้าเชื่อว่าเย่เฟิงไม่ได้ฆ่าอาจารย์ใหญ่”

นางกำลังยิ้ม ในรอยยิ้มมีความเชื่อถือ ความจริงใจ และความอบอุ่น

ร่างกายของเย่เฟิงผงะเล็กน้อย ราวกับว่าเขาไม่ได้คาดหวังว่ากู้ชูหน่วนจะไว้ใจเขาอย่างไม่สงสัย