บทที่ 244 ตาม

“เป็นหลิวหลาง ตามมันไป”

เมื่อเฉินเฉียงโดนโยนออกมาจากมิติลับ ดวงตาที่แหลมคมของหลิวเฟิงก็จดจำได้ในทันทีว่าเป็นเฉินเฉียง มันจึงได้ตะโกนออกมาพร้อมพอพวกของตนกางปีกแล้วไล่ตาม

ระยะช่วงชั้นระหว่างขั้นบันไดของบันไดสู่สรวงสวรรค์แต่ละขั้นนั้นคือหนึ่งเมตรครึ่ง หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ ชั้นปลายบันไดสู่สรวงสวรรค์แห่งนี้อยู่สูงกว่าพื้นดินหนึ่งพันห้าร้อยเมตร

นอกจากเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์แล้ว มีเพียงสัตว์ประหลาดชนิดบินได้บางตัวเท่านั้นที่สามารถติดตามเฉินเฉียงไปได้โดยไม่ต้องพึ่งบันได ส่วนนักรบเผ่ามนุษย์และสัตว์ประหลาดส่วนใหญ่นั้นต่างก็เฮโลลงบันไดลงไปกันทันทีราวกับผึ้งที่กำลังแตกรัง

เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว หยานเสวี่ยก็รีบกางปีกของเธอแล้วรีบติดตามไปในทันที

ส่วนหลู่ฟางและพวกไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงวิ่งลงบันไดไปเท่านั้น

-ศิษย์พี่หลู่ คุณหนูเว่ย จำไว้ว่าอย่าได้เผยตัวตนของเฉินเฉียงเป็นอันขาด ไม่งั้นเขาจะมีปัญหามากกว่านี้-

จางหยวนไม่ได้รีบตามไปแต่ส่งข้อความย้ำเตือนไปยังเม่ยหลัวหลันและคนอื่นๆในเรื่องนี้ ก่อนที่เขาจะกระโจนขึ้นฟ้าไปจากบันไดสู่สรวงสวรรค์

จางหยวนเป็นผู้บ่มเพาะสายเลือดแห่งวายุ ถึงแม้เขาจะบินไม่ได้แต่เขาก็มีท่าเท้าที่ยอดเยี่ยม กับความสูงเพียงหนึ่งพันเมตรนี้ไม่ใช้สิ่งที่เขาต้องกังวล นี่คือเหตุผลที่เขาเลือกที่จะกระโดดลงมาจากบันไดสู่สรวงสวรรค์ตรงๆ

ในตอนนี้ เม่ยหลัวหลันและคนอื่นในกองกำลังเทียนเว่ยได้รับรู้ถึงสถานการณ์ของเฉินเฉียงแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปดูอาการอย่างห่างๆและพบว่าเฉินเฉียงในตอนนี้มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก

-กัปตัน ท่านเป็นยังไงบ้าง- เม่ยหลัวหลันถามเฉินเฉียงผ่านจิตวิญญาณ

แต่ในตอนนี้ เฉินเฉียงไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะตอบได้ เขาไม่ได้ตอบเม่ยหลัวหลันกลับไป ทำได้เพียงมองพื้นตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

“เจี๊ยกเจี๊ยก”

เมื่อเห็นเฉินเฉียงมาปรากฏตรงหน้า เมิ่งน้อยก็รีบวิ่งไปหาและปีนป่ายเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี

ปีกว่าผ่านไปแต่เมิ่งน้อยยังเติบโตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถึงแม้มันจะยังคงมีขนาดพอๆกับฝ่ามือ แต่สายตาของมันกลับแสดงออกมาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย

เฉินเฉียงที่รู้ตัวก็ได้กอดเมิ่งน้อยไว้แน่นก่อนที่จะมองดูโดยรอบ เขาพบว่ามีนักรบจากสามเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนกำลังมองดูเขา และมีมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดบินได้บางส่วนกำลังไล่หลังเขามา

เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงไม่พูดอะไรออกมา เขาเพียงกอดเมิ่งน้อยไว้แน่นและพุ่งตรงฝ่าฝูงชนออกไป เมื่อพ้นแล้วเขาก็ได้กางปีกบินออกจากทะเลทรายแห่งนี้

ด้วยการที่ทุกคนยังอยู่ในเขตทะเลทราย การโจมตีทั้งทางกายภาพและจิตวิญญาณก็ไม่อาจกระทำได้เพราะจะถูกสายฟ้าลงทัณฑ์ในทันที

และด้วยเหตุนี้ทำให้เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดที่บินไล่หลังเฉินเฉียงนั้นทำได้เพียงไล่ตามเฉินเฉียงไปเพียงเท่านั้น

น่าเสียดายที่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีวิธีการเคลื่อนไหวที่อ่อนด้อย จึงไม่มีใครเลยไม่ว่าจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์หรือสัตว์ประหลาดที่จะไล่ตามเฉินเฉียงไปได้

ไม่เพียงเท่านั้น เฉินเฉียงยังปีกสีเงินที่อยู่ในระดับเจ็ด ความเร็วของเขานั้นย่อมเหนือกว่ามนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดในที่นี้ แถมเขายังมีทักษะอินทรีย์สยายปีกขั้นสูง ยามที่เขากระพือปีก ความเร็วของเขาจะยิ่งพุ่งสูงขึ้น และนี่ทำให้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจติดตามเขาได้ แม้แต่หลิวเฟิงที่มีพลังจิตที่ยอดเยี่ยมก็ยังปล่อยให้เขาหลุดมือไป

ในตอนนี้ไม่มีใครคิดที่จะปีนบันไดสู่สรวงสวรรค์อีกต่อไป แม้แต่ผู้ที่ยังอยู่กลางทางนั้น เมื่อเห็นเฉินเฉียงถูกไล่หลังไป แม้จะไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่ทุกผู้ทุกคนก็พร้อมใจกันไล่ติดตามไปอย่างสุดความสามารถ

แม้แต่คนในกองกำลังเทียนเว่ยก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

แต่หลังจากไล่ไปได้ซักห้ากิโลเมตรเห็นจะได้ จางหยวนก็ถอดใจและกลับไปหาเม่ยหลัวหลัน เมื่อไปรวมตัวกับทุกคนได้ จางหยวนก็ได้ถามออกมา “หลัวหลัน เฉินเฉียงพูดอะไรกับเจ้าบ้างรึเปล่าตอนเขาลงมา”

เม่ยหลัวหลันส่ายหัวและบอกไปตามตรง “กัปตันเมื่อลงมาถึงยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ พอเห็นว่าโดนไล่ตามมาก็บินหนีไปในทันที”

“พี่หลัวหลัน พี่ใหญ่เฉินเฉียงบาดเจ็บรึเปล่า” ฉิงเชินถามออกมาอย่างกังวล

“ข้าเห็นเพียงรอยเลือดที่มุมปากเขาเท่านั้น น่าจะเป็นการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนสภาพร่างกายไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ด้วยความเร็วขนาดนั้นแล้วข้าเชื่อว่าไม่เป็นไร ต่อให้บาดเจ็บแต่ก็ไม่น่าจะหนักหนานัก”

“เราจะทำยังไงกันดีศิษย์พี่หลู่ พี่ใหญ่เฉินเฉียงถูกทั้งสามเผ่าพันธุ์ไล่ตามไปขนาดนี้ พวกเราต้องหาเขาให้พบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่เฉินเฉียงต้องเป็นอันตรายแน่ๆ”

หลู่ฟางพยักหน้ารับก่อนที่จะลองส่งข้อความไปหาเฉินเฉียง

“ศิษย์น้องเหมือนจะปิดกำไลสื่อสารนะ”

หลู่ฟางเงยหน้าขึ้นแล้วพูดออกมาอย่างหมดทางติดต่อ

“คุณหนูเว่ยอย่าได้กังวลไป กัปตันในตอนนี้ไม่เพียงจะมีระดับการบ่มเพาะที่สูง ท่าเท้าของเขานั้นยังเหนือกว่าใครทุกคนในเขตแดนแห่งนี้ เขาย่อมไม่เป็นอันตรายในตอนนี้แน่นอน”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังมียอดฝีมืออย่างองครักษ์หยานอยู่ ด้วยหน้าที่ของเธอแล้วนั้นกัปตันไม่มีทางได้พบเจออันตรายอย่างแน่นอน”

“ตอนนี้เอาเป็นเราควรจะเตี๊ยมกันไว้ก่อนดีกว่าว่าเมื่อเราออกไปแล้วเราจะรายงานเรื่องนี้ยังไงดี”

“ถูกต้อง สิ่งที่หนอนหนังสือพูดออกมานั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”

จางหยวนได้กล่าวเสริม “กัปตันได้คิดเรื่องนี้ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว”

“พี่หลู่ น้องหยันหลัน คุณหนูเว่ย หลังจากออกไปจากเขตแดนแล้วพวกท่านต้องไม่กล่าวถึงเรื่องที่พบกัปตันเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นเฉียวกังจะใช้เรื่องนี้ในการฆ่ากัปตัน”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือก่อนที่กัปตันจะเข้ามายังเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ เขาได้มีเรื่องกับผู้อาวุโสฮั่นจุย เพียงแค่เรื่องที่เฉียวกังบอกนี่ก็เพียงพอจะทำให้เขาลงมือโดยไม่แม้จะตรวจสอบด้วยซ้ำ”

“ในตอนนี้ทุกคนต้องถือว่ากัปตันไม่เคยปรากฏตัว ไม่เคยพบเจอเขาในที่นี้มาก่อน”

หลู่ฟางและพวกพยักหน้าตอบรับในทันที

“ไปกันเถอะ เขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้จะถูกเปิดออกอีกครั้งแล้ว พวกเราต้องไปให้ถึงพื้นที่ทางออกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้ ในระหว่างนี้ทุกคนก็คอยส่งข้อความบอกความเคลื่อนไหวให้เขาและดูข้อความไว้แล้วกัน จนกว่าเขาจะตอบกลับมา”

เมื่อพูดจบ จางหยวนก็ได้เปิดกำไลสื่อสารและก็ได้พบจุดที่เป็นทางออกของเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้วพาทุกคนไปที่นั่น

ในขณะเดียวกัน เฉินเฉียงที่ในตอนนี้บินไปไกลมากแล้ว ก็ได้พุ่งตรงฝังตัวลงพื้นไปนับสิบเมตรเพื่อหยุดพัก

เมิ่งน้อยในตอนนี้เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เมื่อได้เห็นเลือดที่ไหลรินออกจากปากของเฉินเฉียงก็อยากจะเลียตามสัญชาตญาณก็ถูกเฉินเฉียงห้ามไว้

“เมิ่งน้อย เจ้าคิดจะตายรึไงกันฮึ เลือดของป๊ะป๋ามีพิษร้ายนะ มันแรงพอที่จะฆ่าเจ้าได้หลายร้อยรอบเลย”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้เช็ดเลือดที่มุมปากก่อนที่จะนำแก่นวิญญาณหมายที่จะบีบให้เล็กแล้วป้อนเมิ่งน้อย แต่ยังไม่ได้ทำอะไรก็โดนเมิ่งน้อยแย่งไปจากมือของเขาในทันที

เฉินเฉียงเองก็พึ่งจะจดจำได้ว่าตอนที่เขาฝากเม่ยหลัวหลันให้ดูแลเมิ่งน้อย ดันลืมบอกไปว่าเมิ่งน้อยนั้นชอบกินแก่นวิญญาณไปซะได้

หลังจากแทะกินแก่นวิญญาณอย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่เปี่ยมสุขของมันก็ได้ปรากฏ

“เมิ่งน้อย เจ้าคงไม่ได้กินแก่นวิญญาณมาเป็นปีเลยสินะเนี่ย”

เป็นอย่างที่เขาคิด หลังจากได้ยินคำถามนี้ของเฉินเฉียง น้ำตาก็ได้ไหลเอ่อจากดวงตาน้อยๆของเมิ่งน้อยในทันที ก่อนที่จะหยิบแก่นวิญญาณที่เหลือชิ้นเล็กๆเข้าปากเคี้ยวในทันที

หลังจากเคี้ยวแก่นวิญญาณตุ้ยในปากแล้ว เมิ่งน้อยก็ได้กอดแขนของเฉิงเฉียนไว้อย่างแน่นหนาและซบลงอย่างสบายอารมณ์

“ฮี่ฮี่ฮี่ ไอ้ตัวตะกละตัวจ้อยเอ้ย”

เฉินเฉียงพูดในขณะที่กำลังลูบหัวของเมิ่งน้อย ก่อนที่จะถอดถอนลมหายใจพลางมองดูสภาพร่างของมัน

ก้อนแก่นวิญญาณที่เขาให้มันก่อนหน้านี้สมควรจะมอบค่าพลังงานให้เขาได้ห้าล้านหน่วยได้อย่างสบายๆ แต่มันกลับถูกเมิ่งน้อยกินจนเกือบหมดได้เพียงไม่ถึงนาที

กระนั้นนั่นก็ยังไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายของเมิ่งน้อยสักเท่าไหร่

แต่เมื่อถึงร่างกายอันใหญ่ยักษ์ของแม่มันแล้ว เฉินเฉียงเองก็รู้สึกชอบพอกับร่างกายของเมิ่งน้อยในตอนนี้มากกว่า

ในตอนที่เฉินเฉียงกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้เอง เสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้นในจิตวิญญาณของเขา

-เฉินเฉียง เจ้าอยู่ที่ไหนกัน ข้าอยู่บนพื้นดินตรงจุดที่เจ้าอยู่-

เป็นหยานเสวี่ย

เมื่อคิดว่าหญิงสาวคนนี้ติดตามเขาได้ราวกับวิญญาณพยาบาทแล้วนั้นก็ทำให้เฉินเฉียงปวดหัวได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

เขาล่ะสงสัยจริงๆว่าเธอหาเขาพบได้ยังไง

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงไม่ต้องการพบใครในตอนนี้ หลังจากที่ได้รับฟังเสียงของหยานเสวี่ยแล้ว เขาก็ได้ใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาพุ่งผ่านผืนดินไปอีกหลายสิบไมล์

แต่เพียงเขาหยุดได้ไม่นาน เขาก็รับรู้ได้ว่าหยานเสวี่ยยังคงติดตามเขามาได้

-อย่าบอกนะว่านางมีทักษะแบบเดียวกับข้า-

เฉินเฉียงนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนที่จะดำดินไปต่อ จนกระทั่งเขาพบทางน้ำใต้ดินก็ได้ทำการล้างหน้าและชำระล้างร่างกาย ก่อนที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ และใช้ทักษะเปลี่ยนรูปลักษณ์พร้อมกินเม็ดยาสีสัน ทำตัวราวกับคนเถื่อน

ในตอนนี้ไม่สมควรจะมีใครจดจำเขาได้

เฉินเฉียงที่เปลี่ยนรูปลักษณ์แล้วนั้นก็ได้ขึ้นสู่ผิวดิน ระหว่างทางเขาได้พบเจอนักรบจากทั้งสามเผ่าพันธุ์ และทั้งหมด ล้วนไม่สนใจเฉินเฉียงแม้แต่น้อย

เงียบได้สักที

เมื่อเห็นว่านักรบจากสามเผ่าพันธุ์ล่วงหน้าเขาไปไกลแล้ว เฉินเฉียงก็ได้ถอดถอนลมหายใจ ก่อนที่จะเดินเอื่อยเฉื่อยอย่างสบายอารมณ์โดยที่มีเมิ่งน้อยนอนหลับอยู่ในอ้อมแขน

แต่ไม่นานเขาก็ต้องขมวดคิ้วแน่น

ทำไมเขายังโดนเธอจับได้อีกกัน

“เฉินเฉียง ข้าบอกไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่าเจ้าน่ะหนีข้าไม่พ้นหรอก จะดีกว่าหากว่าเจ้าจะออกไปจากที่นี่พร้อมข้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้”

ที่ระยะไม่ห่างนัก คนที่เขาคุ้นเคยได้ปรากฏตัวจนเห็นได้ชัด โดยเฉพาะทรวดทรงของนาง เฉินเฉียงได้เห็นหยานเสวี่ยยิ้มเยาะให้กับเขา

“หึ”

เฉินเฉียงสบถออกมาก่อนที่จะดำลงดินไปอีกครั้ง

ในครั้งนี้เขาได้ดำดินต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อนกว่าครึ่งวัน

ครึ่งวันแต่มา เมื่อเฉินเฉียงได้ใช้กระแสจิตของตนตรวจสอบก็พบว่าหยานเสวี่ยยังคงตามเขามา

แต่ในตอนนี้ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ นั่นก็เพราะใบหน้าของหยานเสวี่ยกลับเต็มไปด้วยความร้อนรน เมื่อเธอมาอยู่จุดที่เฉินเฉียงอยู่ด้านล่างก็รีบส่งข้อความผ่านจิตวิญญาณในทันที “เฉินเฉียงรีบๆเปิดกำไลสื่อสารออกเร็วเข้า เขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้จะเปิดออกแล้ว หากเจ้าไม่ออกไปล่ะก็เจ้าจะไม่มีโอกาสได้ออกไปอีกนะ”

เฉินเฉียงหัวเราะตัวโยนไปหนึ่งทีเมื่อได้ยิน

นั่นก็เพราะต่อให้ไม่มีระดับราชาคอยเปิดทางให้ เขาจะออกไปจากนี่เมื่อไหร่ก็ได้

แต่เมื่อคิดดูอีกทีแล้ว เฉินเฉียงตัดสินใจเปิดกำไลสื่อสารออกมา

เพียงเขาเปิดกำไรสื่อสาร ข้อความและข้อมูลมากมายก็หลั่งไหลจนแทบจะทำให้กำไรสื่อสารค้างไปในทันที

หลังจากตรวจสอบข้อความทั่วไปแล้ว ที่เหลือนั้นเป็นข้อความของกองกำลังเทียนเว่ย เว่ยฉิงเชินและคนอื่นๆ

“กัปตัน ท่านอยู่ไหน รีบตอบกลับข้อความเร็วเข้า”

“กัปตัน พวกเรากำลังจะออกจากที่นี่ ทุกคนนั้นกังวลเกี่ยวกับท่านมากนัก”

“พี่ใหญ่เฉินเฉียง ตอบข้าหน่อยนะ ให้พวกเรารู้ว่าท่านปลอดภัยก็ยังดี”

“ไอ้น้องเล็ก ข้ากัวเหลียง เอ็งตายรึยังฟะ”

ส่วนข้อความสุดท้ายนั้นเป็นข้อความที่ถูกส่งมาโดยสภาสูงภาคกลางบอกว่าเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้กำลังจะเปิดออก ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์รีบกลับไปที่จุดที่เข้ามา หลังจากนั้นสองเดือน เขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้จะถูกปิดอย่างเป็นทางการ

หยานเสวี่ยไม่ได้โกหกเขา ตอนนี้เขตแดนจักรพรรดิกำลังจะถูกปิดลงแล้วจริงๆ แต่กระนั้นเฉินเฉียงก็ทำเพียงจ้องเขม็งไปที่ข้อความอย่างไม่ร้อนรน

หลังจากคิดไปสักพัก เฉินเฉียงได้ส่งข้อความไปหาจางหยวน

“จางหยวน บอกทุกคนให้ลบตำแหน่งเครื่องสื่อสารของข้าและข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับข้าจะได้ไม่ผิดสังเกต”

“แล้วพวกเจ้าก็ออกจากเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ไปได้เลย ข้าจะออกจากทางอื่น”

หลังจากส่งข้อความไปแล้ว เฉินเฉียงก็ปิดกำไลสื่อสารไปอีกครั้ง

จางหยวนที่กำลังนำคนของตนอยู่นี้ก็แทบจะลิงโลดในทันทีเมื่อเห็นข้อความ แต่เมื่อเขาส่งข้อความกลับไปก็พบว่าเฉินเฉียงปิดกำไลสื่อสารไปอีกแล้ว

“คุณหนูเว่ย ศิษย์พี่หลู่ ทุกคน กัปตันปลอดภัยดี เขาให้พวกเราลบข้อมูลทุกอย่างในกำไลสื่อสารที่เกี่ยวกับเขาและออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”

“แล้วพี่ใหญ่เฉินเฉียงล่ะ เขาจะออกไปตอนไหนกัน”

“คุณหนูเว่ยไม่ต้องกังวล กัปตันนั้นหากอยู่คนเดียวแล้วเขามีวิธีการออกไป”

“ห้ะ ออกไปเองเนี่ยนะ เป็นไปได้ยังไง” เว่ยฉิงเชินอุทานออกมาในทันทีเมื่อได้ยิน ไม่ว่าฟังยังไงเธอก็ไม่อยากจะเชื่อ

นั่นก็เพราะการที่จะเข้ามาที่นี่ได้นั้นจำเป็นต้องให้นักรบระดับราชาสามคนในการเปิดทางเข้าออก แล้วเฉินเฉียงจะออกไปเองได้ยังไง

“คุณหนูเว่ย หากท่านไม่รู้ในเรื่องนี้จะดีกว่า ยิ่งท่านรู้น้อยเท่าไหร่ กัปตันของเราก็จะยิ่งปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ยังไงซะหลังจากออกจากเขตแดนจักรพรรดิแล้ว กัปตันย่อมต้องถูกปัญหาถาโถมอย่างแน่นอน และปัญหาส่วนใหญ่นั้นล้วนแล้วมาจากผู้อาวุโสฮั่นจุย”

“แต่อย่างน้อยๆข้าสามารถรับรองได้ว่ากัปตันสามารถออกไปได้อย่างแน่นอน”

“แต่….” เว่ยฉิงเชินอยากจะถามต่อแต่ก็ถูกหยุดไว้โดยหลู่ฟาง

“คุณหนูเว่ย เชื่อศิษย์น้องของข้าเถอะ เขานั้นมีเหตุผลและความมั่นใจในการตัดสินใจของเขาเสมอ”

เว่ยฉิงเชินที่ได้ยินก็ไม่มีทางเลือกได้แต่ทำตาม และตามจางหยวนและพวกออกไป

อีกฟากฝั่งหนึ่ง เฉินเฉียงยังคงอยู่ใต้ดินไม่ขยับไปไหน แม้จะได้ยินคำพูดของหยานเสวี่ยมากมายขนาดไหนก็ตาม เขาก็ยังสงบนิ่ง

“เฉินเฉียง เหลืออีกเพียงสองเดือนเท่านั้น หากพวกเราไปไม่ทันก็จะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนับสิบปีจนกว่าเขตแดนแห่งนี้จะเปิดอีกครั้งนะ”

“เฉินเฉียง ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบนบันไดสู่สรวงสวรรค์และข้าก็ไม่สนด้วย ข้าเพียงจะพาเจ้ากลับไปเกาะเทียนเล่ยเพียงเท่านั้น ไม่ว่ายังไงก็ตามเจ้าก็เป็นคนที่ราชาสวรรค์สนใจ งานของข้าคือการพาเจ้าออกไปให้ได้อย่างปลอดภัย”

“ตอนนี้เหลืออีกเดือนครึ่งเท่านั้น เฉินเฉียง เจ้าต้องไปกับข้า”

“หากไม่มีเจ้าไปแล้ว ข้าก็ไม่มีหน้าไปพบกับราชาสวรรค์อีก หากเป็นอย่างนั้นจริง ข้าอยู่กับเจ้าไปอีกสิบปียังดีซะกว่า”

หยานเสวี่ยพร่ำพูดทำนองนี้ซ้ำไปซ้ำมาในทุกๆวัน แต่พาผ่านไปอีกหลายวัน เสียงของเธอก็ค่อยๆเบาลง

เฉินเฉียงได้ลองปล่อยกระแสจิตของเขาตรวจสอบดูก็พบว่าหยานเสวี่ยยังคงนั่งอยู่บนเขา เพียงแต่ว่าเธอนั้นกำลังเศร้าสร้อยอย่างที่สุด

หลังจากเฉินเฉียงนับนิ้วดูแล้วก็ต้องตกใจในทันที
———————-