ส่วนที่ 12 ฝืนชะตาคนไร้ค่า ตอนที่ 22 ฝืนชะตาคนไร้ค่า (22)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

สามวันต่อมา ในขณะที่ทุกอย่างในเมืองเหมยเท่อฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ ตระกูลซูก็ปิดเมืองจัดงานแต่งงานครั้งยิ่งใหญ่ให้แก่ซูรุ่ยและซูหว่านอย่างอลังการ และในครั้งนี้คู่สามีภรรยาซูเต๋อถูกจัดให้เป็นแขกผู้มีเกียรติ คนทั้งหมู่บ้านตระกูลซูต่างก็มาเข้าร่วมงานแต่งงานในครั้งนี้

นี่คือการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งตาก่อตั่งเมืองเหมยเท่อมาเลยทีเดียว

ประชาชนคนธรรมดาทั่วทั้งเมืองเหมยเท่อ ยังมีผู้นำตระกูลใหญ่อีกหลายตระกูล ต่างก็จัดเตรียมเหล้ามงคลมาเข้าร่วมอวยพรในงานแต่ง

เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ผ่านมาซูจั้นได้พิชิตใจของคนเมืองเหม่นเท่อทั้งเมือง ขนาดตระกูลใหญ่อีกสามตระกูลก็ยังต้องยอม และยังต้องมาพิชิตใจของตระกูลซูอีก

ในตอนนี้ ตระกูลซูเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดอันดับหนึ่งของเมืองเหมยเท่อ

ตระกูเซียวทำได้แค่เพียงยอมให้อย่างเงียบๆ และยังต้องไม่มีข้อตำหนิใดๆ

ในครั้งนี้เจ้าเมืองหลงเชียนจั้นได้นำขวัญอันยิ่งใหญ่มาเข้าร่วมพิธีงานแต่งงาน ยิ่งไปกว่านั้นยังโดนซูหยาลากไปเป็นสักขีพยานในงานแต่งงาน

งานแต่งงานของนักอัญเชิญไม่ได้ยุ่งยากขนาดนั้น ซูรุ่ยและซูหว่านสวมใส่ชุดแต่งงานสีแดงปักด้วยลวดลายสีทอง ทั้งสองคนโดยสารสัตว์มารวนรอบเมือง และได้รับคำอวยพรจากผู้คนในเมือง

ส่งตัวเข้าหอในคืนวิวาห์ หลังจากร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา

นี่เป็นเรื่องที่มงคลที่สุดในชีวิต ถึงแม้ว่านี่ไม่ใช่การแต่งงานครั้งแรก แต่ทุกครั้งแม่ทัพซูก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ราวกับเป็นการแต่งงานเป็นครั้งแรก

รู้สึกถึงซูรุ่ยจับมือทั้งสองข้างของตัวเองแน่นขึ้นเรื่อยๆ ซูหว่านเอนตัวไปซบอกของเขาแล้วหลับตาพริ้ม จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา

ในตอนที่ได้พบเจอกับคนคนนั้นท่ามกลางผู้คนตั้งมากมาย คุณถึงจะได้รู้ถึงความหมายแฝงของความสุขที่แท้จริง

ไม่ต้องผ่านอุปสรรคใดๆ และไม่จำเป็นสารภาพรักอย่างสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ขอแค่คนสองคนอยู่ด้วยกัน ต่อให้จะไม่ทำอะไรสักอย่าง ก็จะอยู่ด้วยกันความเต็มใจอย่างมีความสุข

ในคืนนี้ผ้าสีแดงโบกสะบัดไปมา และเป็นหนึ่งคืนที่กอดกระกวัดรัดเกี่ยวกันอย่างไม่อาจแยกจากกันได้

พอถึงวันต่อมา คนของตระกูลซูต่างคนต่างยุ่งเรื่องของตัวเอง ไม่ได้ไปยุ่งกับนายน้อยใหญ่และฮูหยินนายน้อยใหญ่

ท่านหวังว่าพวกเขาเพิ่งแต่งงานเสร็จแล้วจะออกมาปรากฏตัวตั้งแต่วันแรกอย่างนั้นหรือ ท่านนี่มันไร้เดียงสาจริงๆ เลย!

ซูเลี่ยงพูดขึ้นมาว่า “ข้าพนันสิบเหรียญทอง อย่างน้อยก็ห้าวันถึงจะออกมา!”

ซูเพ่ยตอบไปว่า “ไอ้คนขี้งก ข้าพนันยี่สิบเหรียญทองเลย อย่างน้อยเจ็ดวัน!”

ซูหยาพนันต่อไปว่า “พันเหรียญทอง สิบวัน”

ซูเลี่ยง/ซูเพ่ย “…”

ท่านผู้นำตระกูล ท่านให้จะให้คนจนเขาเล่นกันอย่างมีความสุขได้ไหม~

ผู้อาวุใหญ่ต่างนึกในใจว่า ท่านผู้นำตระกูล ท่านรีบกลับเข้าห้องไปกินยาเถอะ

ซูหยา “…”

หนึ่งเดือนต่อมา หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกฝนเซียวเยี่ยนและพวกพ้องต่างก็เดินทางกลับไปใช้ชีวิตที่เมืองหลวง ส่วนท่านอาจารย์อวิ๋นฟานที่หวังว่าจะลากตัวปีศาจผู้ร้ายกาจกลับไปที่สถานศึกษาทำได้เพียงคว้าน้ำเหลว

ไม่ต้องพูดถึงซูจั้นเลย ขนาดคนอื่นๆ ในตระกูลซูต่างก็ไม่อยากให้เขาแยกจากไป…

ราชวิทยาลัยนักอัญเชิญมันยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยหรือ

ราชวิทยาลัยนักอัญเชิญมีแต่อัจฉริยะหรือ

จะมาเก่งสู้นายน้อยใหญ่ของพวกเราได้อย่างไร จะมาอัจฉริยะสู้นายน้อยใหญ่ของพวกเราได้อย่างไร

โดยสรุปแล้ว เดินตามรอยนายน้อยใหญ่ แม้ว่าถูกฆ่าตายก็จะไม่เสียใจภายหลัง

พี่น้องตระกูลซูแสดงให้เห็นว่า นายน้อยใหญ่จะอยู่ที่ไหน พวกเราก็จะอยู่ที่นั่น

อาจารย์อวิ๋นถูกคนของตระกูลซูดูถูกเหยียดหยาม สุดท้ายก็ได้แค่จากไปทั้งน้ำตา

หลังจากที่อวิ๋นฟานและผู้ติดตามของเขาจากไป การประทานรางวัลของราชสำนักก็ได้กลับมาอีกครั้งตามที่สัญญาไว้ ในคราวนี้ตระกูลซูได้มีส่วนข้าไปช่วยเหลือเจ้าเมืองต่อต้านสัตว์มาร เพื่อที่จะดึงให้ตระกูลซูมาเป็นพรรคพวกกับราชสำนักแคว้นเอ้าหลิน แน่นอนว่าอันที่จริงแล้วเขามีความสนใจในตัวซูจั้นผู้มีพรสวรรค์ เพื่อที่จะดึงผู้มีพรสวรรค์ผู้นี้มาเป็นพรรคพวก ราชสำนักยอมที่จะประทานรางวัลสิ่งนี้ให้ สิ่งที่จะประทานให้ก็คือทรัพยากรสำหรับฝึกฝนมากมายจนแสงส่องระยิบระยับทำผู้คนแสบตาเลยทีเดียว

และเมื่อผู้คนเห็นสิ่งของเหล่านี้พวกเขาต่างพากันอิจฉาตาร้อน แต่ซูรุ่ยกลับมอบมันให้กับลูกๆ หลานๆ ของตระกูลซู ไม่ว่าจะเป็นผู้สืบเชื้อสายหลัก หรือจะเป็นกองทัพใหม่ของสาขาย่อย ทุกคนก็ต่างได้รับทรัพยากรสำหรับฝึกฝนไปไม่น้อย

สำหรับการพัฒนาอย่างเคร่งครัดของตระกูลซู และความเผด็จการของนายน้อยใหญ่ซู ทำให้ผู้คนมากมายในเมืองเหมยเท่อต่างก็พากันประทับใจ ณ เวลานี้กองทัพนักอัญเชิญของตระกูลซูก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา มองไปยังซูจั้นที่กำลังฝึกฝนคนไร้ค่าทั้งหลายให้กลายเป็นนักอัญเชิญชั้นยอด ประชาชนที่อยู่ในเมืองเหล่านั้นต่างก็เริ่มสนใจจะมาเป็นนักอัญเชิญ และในที่สุดมีอยู่วันหนึ่ง มีชายชราคนหนึ่ง พาหลานของตัวเองมาคุกเข่าลงที่หน้าประตูใหญ่ของเรือน เขาหวังว่าตระกูลซูจะยอมรับหลายชายเขา พวกเขายินดีจะทำสัญญาวิญญาณ เพื่อให้หลานชายของเขาได้รับโอกาสในการฝึกเป็นนักอัญเชิญ มีคนแรกเข้ามาก็ย่อมมีคนที่สอง และในไม่ช้า ผู้ที่มีความหวังในเมืองเหมยเท่อต่างก็รวมตัวกันมาที่เรือนของตระกูลซู

และคนเหล่านี้หลังที่จากที่ได้ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้น ผู้คนส่วนมากก็ได้รับการคัดเลือกจากซูรุ่ย

ความจริงแล้วตระกูลซูไม่ต้องการรับคนเข้าแล้ว แต่ซูรุ่ยอยากจะให้ตระกูลซูเป็นตระกูลที่ใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองเหมยเท่อ เขาไม่อยากปฏิเสธการสนับสนุนของประชาชนคนธรรมดาเหล่านี้

หนึ่งปีต่อมา กองทัพนักอัญเชิญของตระกูลซูก็ได้ขยายใหญ่ขึ้นเป็นพันคน และในขณะนี้ซูอู่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนักอัญเชิญระดับกลางขั้นที่ห้า ยังมีซูชิงและซูจื้อที่ได้รับการเลื่อนขั้นไปเป็นนักอัญเชิญระดับกลางไปพร้อมๆ กับนาง

และในตอนนี้ทั้งสามคนก็ได้เป็นผู้นำนักอัญเชิญกลุ่มเล็ก พวกเขาเริ่มที่จะเป็นเหมือนลูกศิษย์สายตรงของตระกูลซู พากลุ่มเล็กๆ ของตนทำสิ่งต่างๆ เพื่อตระกูลซู

ในเวลาหนึ่งปี ซูรุ่ยยังคงดำรงตำแหน่งนักอัญเชิญขั้นที่หนึ่ง อันที่จริงแล้วเขาสามารถเลื่อนขั้นไปได้สูงกว่านี้ได้ เป็นระดับขั้นใหม่ เรียกว่านักอัญเชิญระดับแผ่นดิน

นักอัญเชิญระดับแผ่นดินแบ่งเป็นสามระดับ หลังจากระดับแผ่นดินก็คือระดับฟ้า สุดท้ายคือระดับราชัน ระดับสูงสุดในแผ่นดินใหญ่ และจะได้รับการเรียกขานว่าเป็นราชนักอัญเชิญ

ตอนนี้ซูรุ่ยในฐานนะราชันมาร ถ้าเขากระตุ้นพลังในร่างกายของเขาอย่างเต็มที่ เขาก็สามารถเลื่อนขั้นไปเป็นนักอัญเชิญระดับราชันได้โดยตรง แต่ว่าพวกระดับอะไรเนี่ย มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับเขาเลย

ในตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ซูหว่านก็ได้เลื่อนขั้นไปเป็นนักอัญเชิญขั้นที่สามด้วยเช่นกัน สองสามีภรรยาคู่นี้รักกันมาก ตระกูลซูก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ระดับขั้นของซูจั้นที่หยุดอยู่กับที่มานานหลายปี ก็ยังมีการเค้าลางว่าจะบรรลุระดับอย่างเงียบๆ

โดยรวมแล้วทุกอย่างก็กำลังดำเนินไปในทางที่ดี แม้แต่ภารกิจของซูหว่านไม่ได้มีการคลาดเคลื่อนใดๆ

ในขณะนี้ซูอู่ก็ได้เป็นคุณหนูใหญ่ในตระกูลซูที่แท้จริง นางยังยกโทษให้ซูหยาที่ตอนนั้นซูหยาไม่สนใจไยดีนาง

ความจริงแล้ว ผู้นำตระกูลซูไม่ได้เฉยเมยและไร้ความรู้สึกเหมือนที่ซูอู่คิดไว้ในตอนแรก ในหลายวันที่ผ่านมา ซูอู่ก็ค่อยๆ เข้าใจว่าการที่ไม่สนใจไยดีต่องบุตรสาว ‘ไร้ค่า’ ของตนในตอนแรก นี่อาจจะเป็นวิธีการปกป้องนางของซูหยา

และในขณะนี้ซูอู่ อยู่ที่บ้านของตระกูลซูเพื่อคอยช่วยเหลือสนับสนุนท่านพ่อและพี่ชายด้วยความสบายใจ นางไม่ได้มีจิตใจโหดร้านป่าเถื่อนขนาดนั้น พูดได้ว่าแผนการของซูหว่านตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ประสบความสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่ง มีแค่ความรู้สึกของใต้เท้านางเอกที่ใช้ชีวิตมาถึงตอนนี้ก็ยังคงมีไม่มีใครในใจ

เซียวเหยี่ยนผู้อยู่เมืองหลวงแสนห่างไกลก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เปลี่ยนใจไปรักคนอื่น ภารกิจนี้จึงติดอยู่ตรงนี้ ไม่มีความคืบหน้ามาโดยตลอด

เมื่อเห็นว่าซูชิงเหมือนจะสิ้นหวัง ครั้งนี้ซูรุ่ยต้องลองทำอะไรที่เสี่ยงสักหน่อยแล้ว!

“คุณจะทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”

หลังจากได้รู้ความคิดของซูรุ่ย ซูหว่านประหลาดใจไปสักพัก นางไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องใช้วิธีนี้ เพราะว่านางไม่รู้ว่าเจ้าหมอนั่นจะทำสำเร็จหรือไม่

“ผมตัดสินใจได้แล้ว คุณล่ะคิดยังไง”

ซูรุ่ยมองซูหว่านขณะกำลังรอคำตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ฉันจะเคารพในสิ่งที่คุณตัดสินใจ!” ซูหว่านขยิบตาให้ซูรุ่ยเห็น ที่เรียกว่าผัวหาบเมียคอน ฮูหยินซูไม่เคยคัดค้านข้อเสนอแนะของสามีของตัวเอง

และด้วยเหตุนี้ ในคืนนั้น

ในคืนที่มีเมฆปกคลุม เสี่ยวไป๋นอนหลับอยู่ที่ห้องของตัวเอง จู่ๆ มันก็ได้กลิ่นอายมารที่คุ้นเคยและน่าสะพรึงอย่างยิ่ง มันลืมตาขึ้นมาทันที และดวงตาสีม่วงอันแปลกประหลาดคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอยู่ตรงหน้าของมัน

นี่มัน…

กลิ่นอายของราชันมารแห่งห้วงลึก