บนถนนของนครหลวง ในตรอกอันเงียบสงัดนอกร้านเล็กๆ ของฟางฟาง
แสงจากดวงดาวส่องให้พื้นตรอกสว่างขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นสุนัขสีดำตัวอ้วนที่กำลังเยื้องย่างไปข้างหน้าด้วยท่าทางเหมือนแมว ทิ้งเงาทอดยาวเอาไว้ด้านหลัง
เจ้าดำมองไปที่คนโง่บ้าเซ่อซึ่งยืนอยู่ด้านหน้า ไอ้หนอนเน่าที่กล้าเอาคมมีดมาแทงท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้
ในตอนนี้หัวใจของฉางเต๋อรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกฝูงสุนัขนับหมื่นตัววิ่งมาเหยียบจนตายคาอุ้งเท้า สุนัขสีดำตัวใหญ่อ้วนท้วนตรงหน้าเขาเปิดปากพูดออกมาเป็นภาษาคนได้อย่างไรกัน เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่
ฉางเต๋อสะกดความรู้สึกหวาดกลัวจนขนหัวลุกเอาไว้ไม่ไหว ถึงกับแข้งขาอ่อนทรุดลงกองกับพื้น เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นับร้อยนับพัน ความร้ายแรงของสถานการณ์ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันที
“สุนัขพูดได้… ข้าอยากจะขอลาตายกับพระพุทธองค์! หวังว่าสุนัขนี่จะไม่ใช่อสูรเวทที่เจ้ามู่เฉิงบอกนะ” ทันใดนั้นความสับสนของเขาก็ถูกซัดหายไปราวกับโดนสายฟ้าฟาด เหมือนเปลวเทียนที่สว่างวาบขึ้นกลางความมืด ใบหน้าของฉางเต๋อซีดขาวประหนึ่งเป็นกระดาษ หน้าตาเหมือนเพิ่งถูกผีหลอกไม่มีผิด
อสูรเวทที่เขาเฝ้าระวังมาตลอดทั้งวัน กลับกลายเป็นเป้าหมายของเขาในคืนนี้ไปเสียได้! ฉางเต๋อยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมน้ำตานองหน้า ใบหน้าบูดเบี้ยวด้วยความขุ่นหมองเหมือนกำลังสวดมนต์ลาตายให้ตนเอง นักบวชหนุ่มรู้สึกอยากจะเงยหน้าก่นด่าสวรรค์ที่กลั่นแกล้งเขาเหลือเกิน
อสูรเวทที่แข็งแกร่งเพียงนั้นมีหน้าตาเหมือนสุนัขอ้วนธรรมดาได้อย่างไร แล้วสุนัขที่อ้วนเหมือนหมูตัวนี้เป็นอสูรเวทได้ด้วยหรือ
เจ้าดำค่อยๆ เยื้องย่างมาข้างหน้า ใบหน้าของมันดูเยาะเย้ยเย่อหยิ่งเหมือนกำลังยั่วเหยื่อให้โกรธ ทำให้ฉางเต๋อสั่นสะท้านด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ เขาพลันรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจผิดพลาดของตนเอง เหตุใดเขาถึงตกเป็นทาสกิเลสและคิดมายุ่มย่ามกับสุนัขสีดำตัวนี้กัน
“ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ได้กลิ่น… รังสีสังหารมาจากตัวเจ้า” เจ้าดำพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนน่าฟัง ใบหน้าของมันไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ “เหตุใดเจ้าจึงอาฆาตมาดร้ายอยากสังหารข้า” ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรในปฐพีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนตามแบบฉบับพลางหยุดเดิน ดวงตามองไปยังนักบวชหัวโล้นเบื้องหน้า
ฉางเต๋อดวงตาเบิกกว้าง เขาเอามือกุมหัวและตบแรงๆ หนึ่งที ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่มองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยสายตาไม่ใส่ใจ นักบวชหนุ่มเตะพื้นทะยานขึ้นไปในอากาศ เท้าเหยียบไปที่กำแพง ดูเหมือนว่าตั้งใจจะหนีไปภายในหนึ่งลมหายใจ
เจ้าดำมองไอ้หนอนเน่าที่กำลังสติแตกวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน แล้วก็แลบลิ้นออกมาเลียอุ้งเท้าสวยน่ารักของมัน
“ข้าถามคำถามเจ้า จะวิ่งหนีไปเพื่ออะไร”
เจ้าดำพึมพำอย่างรำคาญใจ จากนั้นก็สะบัดอุ้งเท้าใส่แผ่นหลังของฉางเต๋ออย่างรุนแรง
หัวใจของฉางเต๋อรู้สึกเหมือนถูกคลื่นยักษ์ซัดสาดจนไม่เหลือชิ้นดี เขาคิดอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือการหนีออกจากที่นี่ไปให้เร็วที่สุด
แม้เขาจะจับกระแสพลังปราณจากสุนัขสีดำอ้วนท้วนตัวนี้ไม่ได้ แต่หัวใจก็ไม่นึกสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไร ความรู้สึกนี้… เหมือนตอนที่เขาต้องเผชิญกับอสูรเวทระดับแปดในทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาไม่มีผิด
ตอนที่เขาต้องเผชิญหน้ากับอสูรเวทระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม พลังปราณของเขาอยู่เพียงขั้นราชันยุทธการเท่านั้น
“ที่สำคัญคือ… อสูรเวทขั้นเทพแห่งสงครามตนนั้นก็พูดภาษาคนได้เช่นกัน”
เมื่อใดก็ตามที่เจอเข้ากับอสูรเวทที่พูดภาษาคนได้ สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือ วิ่ง!
ตูม!
ขณะที่ความคิดนี้กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในใจของฉางเต๋อ เขาก็รู้สึกถึงพลังกดดันมหาศาลที่โผล่ขึ้นด้านหลัง ร่างทั้งร่างของชายหนุ่มแข็งทื่อไปทันที ทำไม่ได้แม้แต่จะขยับตัวสักนิด ขณะถูกอุ้งเท้าฟาดบดลงกับพื้น
“เหตุใดเจ้าจึงย่องมาดึกดื่นค่ำคืน แล้วพยายามเอากริชแทงท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้กัน” เจ้าดำยกอุ้งเท้าน่ารักขึ้นพลางทอดถอนใจ
ใบหน้าของฉางเต๋อเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง แม้ร่างกายจะแน่นด้วยกล้ามเนื้อทุกกระเบียดนิ้ว แต่เขากลับขยับตัวไม่ได้เลยสักนิด ราวกับถูกโซ่ตรวนตรึงเอาไว้อย่างแน่นหนาไม่มีผิด… ความรู้สึกนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าพลังกดดันที่เขาสัมผัสได้จากอสูรเวทขั้นเทพแห่งสงครามเมื่อตอนนั้นเสียอีก!
ไอ้หมานี่!
“ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้รู้สึกได้ว่าเจ้ามีเจตนาไม่ดี… รีบคายออกมาเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อยากมีสภาพเช่นนี้…” เจ้าดำพูด
โครม!
ฉางเต๋อหมอบคลานอยู่กับพื้น ร่างทั้งร่างชุมโชกด้วยเหงื่อเย็น เขาเหลือบตามองไปด้านข้าง รูม่านตาหดแคบทันที ชายหนุ่มเห็นพื้นอิฐแหลกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปต่อหน้าต่อตา… บนพื้นนั้นมีรอยอุ้งเท้าสุนัขประทับอยู่
“ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ ท่านศิษย์พี่สุนัขผู้ยอดเยี่ยมที่สุดในปฐพี! โปรดเมตตาข้าน้อยด้วยขอรับ!” เมื่อโดนกลั่นแกล้งเช่นนี้ เขาก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา
“หือออ”
เจ้าดำกลอกตามองไอ้หนอนเน่าผู้แสนขี้ขลาด
“เอ่อ ที่ข้าน้อยมาที่นี่ดึกๆ ดื่นๆ เอ่อ ก็เพราะว่า… ข้าชื่นชมร่างกายกำยำเนื้อแน่นของท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ข้าเลยคิดว่า…” เหงื่อเย็นไหลย้อยลงมาจากศีรษะของชายหนุ่ม… เขาควรพูดหรือไม่นะ
“แล้วอย่างไร เจ้าต้องการอะไร” เจ้าดำกะพริบตาพร้อมเอ่ยถาม
“ข้าเลยคิดว่า… ข้าอยากจะขอยืมเนื้อสุนัขมาลองชิมสักนิดหนึ่งน่ะขอรับ!” หัวใจของฉางเต๋อสั่นสะท้าน ในที่สุดเขาก็โพล่งประโยคที่คิดแล้วคิดอีกว่าจะพูดดีหรือไม่ออกมา จากนั้นก็หุบปากลงฉับพลัน รู้ได้โดยไม่ต้องสืบว่าตนเองเห็นทีจะชะตาขาดแล้ว
แล้วก็จริงเสียด้วย ในตอนนั้นเองพลังปราณชั่วร้ายรุนแรงก็พุ่งเข้ากระแทกหลังของชายหนุ่ม
“เจ้ากล้าพูดว่าอยากกินเนื้อสุนัขเช่นนั้นรึ!”
ตูม!
พลังปราณกดดันทับเมืองทั้งเมืองเอาไว้ทันที ราวกับอสูรร้ายที่หลับไหลถูกแหย่ให้ตื่นไม่มีผิด
นครหลวงทั้งเมืองเดือดพล่านราวกับถูกจับโยนใส่หม้อน้ำร้อน ขั้นนักพรตยุทธการทุกคนที่กำลังนอนหลับสบายแทบปัสสาวะราดที่นอน พวกเขาลืมตาโพลงพลันพุ่งออกจากห้องทันที รู้สึกได้ถึงพลังงานน่ากลัวที่โถมทับลงมาบนร่างกาย
พลังนี้เกินกว่าจะรับมือได้ไหวจริงๆ!
ในวินาทีนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องพาลตัวสั่นกันทุกคน
หนี่หยันที่อยู่ในโรงเตี๊ยมลืมตาขึ้น นางบิดร่างผอมเพรียวพลางกระโจนออกจากเตียง ก่อนพุ่งออกจากห้อง ทะยานไปบนฟ้า
ร่างบางอีกร่างหนึ่งตามออกมาเช่นกัน
“พี่หญิงหนี่หยัน… พลังนี้! หรือว่าจะเป็นอสูรเวทขั้นเทพแห่งสงครามเจ้าคะ”
ยี่จือหลิงไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อยว่าตนเองกำลังกุมคันธนูที่สะพายอยู่บนหลังเอาไว้แน่น มือเปียกโชกด้วยเหงื่อ
“ไม่สิ… มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับพลังนี้ มันดูแข็งแกร่งกว่าอสูรเวทขั้นเทพแห่งสงครามมากนัก เหมือนกับว่า…” จือหลิงมุ่นคิ้ว นางรู้สึกว่าพลังนี้คุ้นเคยชอบกล เหมือนเคยสัมผัสมาก่อน
“ไม่ว่าจะเป็นอะไร นครหลวงเห็นทีจะลำบากแน่นอน!” หนี่หยันถอนใจ
…
“แม่นาง พวกเรายังควรลงมืออยู่หรือไม่ขอรับ” ร่างของอาจารย์อาอู๋สั่นไปทั้งตัว ใบหน้าของเขามืดมนเมื่อถูกกดทับเอาไว้ด้วยพลังงานนี้
“ใครจะไปคิดว่านครหลวงมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่ด้วย… พลังนี้อยู่ในระดับเดียวกับเจ้าสำนักของเราเลยทีเดียว! นครหลวงแอบซ่อนไพ่ตายเช่นนี้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ไม่สิ! เรามาใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์กันดีกว่า ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจกับพลังนี้อยู่ เราควรรีบฉวยโอกาสเข้าไปช่วยตัวประกันออกมา!” อู๋อวิ๋นไป่กัดริมฝีปากขณะเอื้อนเอ่ย
ใบหน้าของอาจารย์อาอู๋ซีดเผือด ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากต้องลงมือ พวกเขาให้มนุษย์อสรพิษอาหนี่เป็นคนดูต้นทาง จากนั้นเงาสองเงาก็กระโจนข้ามกำแพงไป
…
ร่างของฉางเต๋อสั่นเทิ้ม “ข้าน้อยก็บอกแล้วอย่างไรขอรับ ว่าข้าน้อยขอไม่พูดดีกว่า ดูสิ… พอพูดแล้วท่านก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ!”
ฉางเต๋อรู้สึกเหมือนกินยาขม เขาเพียงแต่อยากจะจับสุนัขตัวอ้วนไปประกอบอาหารกินเท่านั้น เหตุใดสุนัขตัวนี้ ที่ความจริงแทบจะกลายร่างเป็นหมูไปแล้วถึงได้ซ่อนพลังน่ากลัวร้ายกาจถึงเพียงนี้เอาไว้
“กินเนื้อสุนัขเช่นนั้นรึ! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดชั่วทำชั่วมหันต์เช่นนี้” เจ้าดำบันดาลโทสะเป็นอันมาก ร่างของมันที่ปกคลุมไปด้วยขนนุ่มเรืองแสงออกมา
ตูม! ตูม!
อิฐบนพื้นแหลกสลาย เนื่องจากทนแรงกดดันมหาศาลไม่ได้
“ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ขอรับ! เรามาพูดจากันดีๆ เถิด!” แสงสว่างกระจายโอบล้อมชายหนุ่มเอาไว้ การที่ฉางเต๋อสามารถต้านทานพลังร้ายกาจของเจ้าดำได้ เหตุผลก็ไม่ใช่ใดอื่น นอกจากร่างมายาของพระพุทธองค์ที่ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา ขณะที่ชายหนุ่มลุกขึ้นจากพื้นกลับมายืนได้อีกครั้ง
โครม!!!
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดต่อ อุ้งเท้าสุนัขที่บดบังท้องฟ้าอยู่ก็ตบลงมาที่พื้นอย่างไร้ความปรานี ร่างมายาของพระพุทธองค์แตกสลายกลายเป็นผุยผงราวกับเศษแก้วเปราะบาง
ฉางเต๋อรู้สึกราวกับร่างทั้งร่างถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิง ชายหนุ่มตกลงมาจากฟากฟ้าเหมือนดาวตกที่มอดใหม่
เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดี ผิวเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ร่างดูเหมือนถูกทับจนแบนทั้งยังกระอักเลือดออกมาไม่หยุด
ตูม! ตูม!
เสียงระเบิดดังไปทั่วนครหลวงยามค่ำคืน พร้อมด้วยกระแสเสียงที่พุ่งออกเป็นวงกว้าง จากนั้นก็เหลือเพียงความเงียบงัน
กำแพงรอบนอกของนครหลวงทะลุเป็นรูลึก อิฐร่วงกราวลงมาตามแรงโน้มถ่วง
ร่างหนึ่งกำลังคลานออกจากซากความเสียหายนั้น ร่างทั้งร่างชุมโชกไปด้วยเลือด แทบจะยืนขึ้นไม่ไหว ที่หน้าอกมีรูปจำลองของพระพุทธองค์ที่กำลังแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
“ไอ้หมาเวรนั่น… โชคร้ายกว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว!”
ฉางเต๋อโชกเลือดไปทั้งตัว หากไม่ใช่เพราะรูปจำลองของพระพุทธองค์ที่ช่วยรับแรงทำลายล้างแทนเขาไปเกือบหมด ตัวเขาคงกลายเป็นซากเนื้อเละๆ ไปแล้ว
หลังจากที่กินเนื้อสุนัขมานานหลายปีดีดัก สุดท้ายเขาก็โดนสุนัขซัดจนแทบไม่เหลือชิ้นดี… เรียกได้ว่ากรรมตามสนองโดยแท้
ฉางเต๋อพาร่างที่บาดเจ็บจนจะตายไม่ตายแหล่และหัวใจที่หม่นหมองมอดไม้ ค่อยๆ เดินกลับตำหนักของเจ้ามู่เฉิง
เจ้าดำทำจมูกฟุดฟิดในอากาศอย่างไม่พอใจ มันมองไปที่ร่างรุ่งริ่งของฉางเต๋ออย่างโกรธเคืองไม่หาย จากนั้นก็ถอนหายใจ แล้วนอนลงที่ปากทางเข้าร้านในที่สุด
…
ปู้ฟางยืนพิงกรอบหน้าต่างอยู่ที่ชั้นสอง เมื่อเห็นพื้นตรอกถูกทำลายอีกครั้ง เขาก็ยิ้มออกมา
“ข้าก็บอกเจ้าดำไปแล้วอย่างไรว่าให้เบามือกับพื้นอิฐหน่อย ดูสิ ทำพังอีกแล้ว”
ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขอให้ใครมาซ่อมให้ในวันรุ่งขึ้น ปู้ฟางได้แต่ถอนหายใจแล้วปิดหน้าต่าง ปีนขึ้นเตียงอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวนอน
แต่คืนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นคืนที่ขั้นนักพรตยุทธการทั้งหลายในนครหลวงข่มตาหลับไม่ลง