อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเขามีท่าทีครุ่นคิด ใจก็ร้อนรนดุจน้ำไหลเชี่ยว เป็นเขานั่นล่ะ ถ้าไม่ใช่เขา ยังเป็นใครได้อีก ถ้าไม่เคยไปบ้านตน ทำไมต้องลังเลใจด้วย พูดออกมาเลยว่า ‘ไม่เคย’ ก็สิ้นเรื่อง?!
คิ้วของเจี่ยงยิ่นเหมือนหนอนไหมในฤดูใบไม้ผลิ ก่อนพูดขึ้นช้าๆ
“ไม่เคย ข้าไม่เคยไปบ้านสกุลอวิ๋นของเจ้า”
แน่นอน เขารู้ว่า ตอนนี้เขาได้กลายเป็นผู้ร้ายหมายเลขหนึ่งในสายตาของแม่นางน้อยคนนี้ไปแล้ว ความสงสัยยากขจัดออก ต่อให้ปฏิเสธไป นางก็คิดว่าตนกำลังโป้ปด
อวิ๋นหว่านชิ่นคิดว่าเขาไม่ยอมรับหรอก พลางถอนหายใจในใจ ผู้ชายอะไร กล้าทำไม่กล้ารับ จึงจัดการล้วงผ้าเช็ดหน้าสีทองอ่อนออกจากอกเสื้อ สลัดออกตรงหน้าเขา แล้วพูดอย่างนอบน้อม
“พระมาตุลาเพคะ ทรงระบุให้หน่อยได้ไหมเพคะว่า ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ใช่ของพระองค์หรือไม่ ลายปักและกลอนที่อยู่บนผ้า ทรงวาดและแต่งด้วยองค์เองใช่หรือไม่”
ชาวต้าเซวียนนิยมปักภาพและกลอนที่แต่งเองลงบนผ้าเช็ดหน้ามานานนม อีกทั้งลายตวัดอักษรพู่กันและภาพดอกเหมยบนผ้าเช็ดหน้าก็สอดคล้องกันมาก นางจึงฟันธงได้ในเบื้องต้นว่า เจ้าของผ้าเช็ดหน้าก็คือผู้ซึ่งวาดภาพและแต่งกลอนบนผ้าเช็ดหน้า
ภาพและบทกลอนทั้งหมด ปรากฏอยู่ตรงหน้าเจี่ยงยิ่น
สีหน้าของบุรุษไม่สงบนิ่งและเฉยเมยเช่นเมื่อครู่อีก เขาเบิ่งตามอง อวิ๋นหว่านชิ่นจงใจกางผ้าเช็ดหน้าให้เห็นในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป ทำให้เขาเห็นลายพู่กันไม่ชัด
และเจี่ยงยิ่นก็คว้าเอาไปดูให้ถ้วนถี่จริง ดูแล้วดูอีก สีหน้าของเขามีครบทุกอารมณ์ ผ่านไปสักพัก ค่อยคืนสู่ท่าทีดังเดิม
ผิดคาด เขามิได้ปฏิเสธในทันที เพียงเงียบไปพักหนึ่ง
ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นมีความอดทนในการรอ
ในที่สุด เจี่ยงยิ่นก็คืนผ้าเช็ดหน้าให้นาง “ยัยหนู ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไม่ใช่ของข้า”
เขาได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็นความผิดหวังบนใบหน้าของเด็กสาว ก่อนยกชุดนักพรตขึ้น คิดเดินจาก แต่กลับได้ยินเสียงใสเย็นดังขึ้นที่ด้านหลัง น้ำเสียงสามส่วนเป็นการตำหนิแบบผู้หญิง อีกเจ็ดส่วนเป็นการดูหมิ่นแบบเย็นชา
“เมื่อพระมาตุลายอมรับว่าบกพร่องต่อหน้าที่ในคดีถังโจว แล้วเหตุใดถึงไม่กล้ายอมรับอดีตช่วงหนึ่งในวัยหนุ่ม แม้แต่คดีถังโจว ที่หลายร้อยชีวิตต้องตายไปอย่างไม่เป็นธรรม พระองค์ยังกล้าแบกรับและชดใช้ให้ แล้วเหตุใดทรงไม่กล้ายอมรับการมีอยู่ของผู้หญิงคนหนึ่งเล่า”
แผ่นหลังผอมบางของเจี่ยงยิ่นนิ่งค้าง ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มขมขื่น เมื่อคดีถังโจวสิ้นสุดลง เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตได้รับการแก้ไขแล้ว ไม่คิดว่ายังมีเรื่องยุ่งยากเข้ามาอีก
ลมเย็นปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาวพัดมา เจี่ยงยิ่นเพิ่งหายจากอาการป่วย จึงกำมือขึ้นไอสองสามครั้ง ก่อนหันแผ่นหลังผอมบางกลับมา ก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าอวิ๋นหว่านชิ่น
เขาจ้องมองนาง จริงด้วย เหมือนสาวงามที่ตนรู้จักในปีนั้นจริงๆ ดวงตาเล็กๆ อดไม่ได้ที่จะทอแววสงสาร พลางยกมือขึ้นลูบแก้มนุ่มนิ่มของนางโดยไม่รู้ตัว ก่อนปล่อยมือลงอย่างรวดเร็ว
“ยัยหนู จะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ ข้ากับแม่เจ้า ไม่มีอะไรกัน”
อวิ๋นหว่านชิ่นขยับตัวไปข้างหน้า ถ้าถูกชายอื่นแต๊ะอั๋งแบบนี้ ตนคงรู้สึกขยะแขยงมาก ไม่แน่ว่าอาจตบกลับไปหนึ่งฉาดด้วยซ้ำ แต่เมื่อเจี่ยงยิ่นแสดงกิริยาเช่นนี้กับตน คล้ายเป็นไปตามธรรมชาติ ตนจึงไม่รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด เหมือนผู้อาวุโสรักและเอ็นดูเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น
ทว่า…ตั้งแต่ต้นจนจบ ตนไม่ได้บอกว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นแม่ตน เขาเป็นคนพูดออกมาเอง ตนจึงยิ่งไม่เชื่อว่าเขากับท่านแม่ไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อกัน แต่อย่างไรเขาก็ไม่ยอมพูดความจริงในปีนั้นออกมา และตนก็ไม่สามารถง้างปากเขาได้ จึงได้แต่สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อน แล้วมองดูเขารีบเดินจากไป
ช่างเถอะ ไม่เสียแรงเปล่า อย่างน้อยก็ชัดเจนแล้วว่า ในปีนั้น เจี่ยงยิ่นกับท่านแม่พบเจอกันที่วัดเซียงกั๋วจริง
ไม่ไกลกันนัก หลังกอหน่อไม้ไผ่ตงที่เรียวยาว ร่างเรียวบางในชุดสาวชาววังร่างหนึ่งขยับ ฉากที่ได้เห็นได้ยินเมื่อครู่ถูกนางจดจำไว้หมด ตอนนี้พอเห็นเจี่ยงยิ่นเดินจาก ก็เกรงว่าจะพบตนเข้า จึงรีบย่องเบาๆ ออกมา
หญิงสาววิ่งออกจากป่าไผ่ พอเห็นคนในวังเดินลาดตระเวน ค่อยหยุดฝีเท้าลง แล้วเดินแบบปกติ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นค่อยเปลี่ยนทิศทาง วิ่งกลับไปยังปรัมพิธี ปรี่มาอยู่ตรงหน้าเด็กสาวสวมชุดขี่ม้าสตรีสีชมพูกุหลาบอย่างรวดเร็ว โค้งตัว แล้วกระซิบรายงานสถานการณ์ที่เพิ่งสืบรู้มา
ท่านหญิงหย่งจยาฟังแล้วก็หน้าเครียด วางถ้วยชาในมือลง แต่แล้วก็หยิบขึ้นบิดไปมากับนิ้วมือเรียวยาว ริมฝีปากแดงดุจกลีบดอกไม้ค่อยๆ ยิ้มอย่างบอกไม่ถูก
“นึกไม่ถึงว่านางกับเจี่ยงยิ่นจะมีความเกี่ยวพันกันอยู่”
“แต่บ่าวดูท่าทีของพระมาตุลาแล้ว ไม่เหมือนกำลังโป้ปด เหมือนไม่ใช่พระองค์จริงๆ” เฉี่ยวเย่ว์พูดเสียงต่ำ
ท่านหญิงหย่งจยาขบคิด “เฉี่ยวเย่ว์ เจ้าไปจับตาดูพระมาตุลาให้ดี”
เฉี่ยวเย่ว์เลิกคิ้วขึ้น “เพคะ ท่านหญิง”
ขณะสองนายบ่าวกำลังพูดคุยกัน กระโจมทองก็มีเสียงความเคลื่อนไหวดังวุ่นวาย
มเหสีรองเหวยยกถ้วยชาขึ้นจิบ มองไปตามเสียง แล้วจึงแค่นเสียงขึ้นจมูกออกมา
ท่านหญิงหย่งจยาเห็น ก็โบกมือ บอกให้เฉี่ยวเยว์ถอยออก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นยิ้มหวาน พลางเดินเข้าหา “มเหสีรองเป็นอะไรไปเพคะ หรือเสด็จลุงฝ่าบาทตรงนั้นกำลังจะออกล่าสัตว์กัน”
มเหสีรองเหวยพูดเสียงเย็นชา
“เฮอะ เนื้อติดมันในปีนี้ ถูกองค์ชายสามที่ยากจะก้าวออกจากประตูของเรารับเอาไป ป่วยแบบนั้นน่ะ ยัง
คิดล่าสัตว์ป่าอีก ไม่รู้จะล้มกลางทางหรือเปล่า…”
ในคำพูดเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ริษยาและเกลียดชัง อยากให้ฉินอ๋องล้มเหลวในหน้าที่แทบไม่ทัน หงุดหงิดที่ตอนนี้เว่ยอ๋องถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในจวนอ๋อง เดินทางมาไม่ได้ หาไม่แล้วเรื่องดีๆ เช่นนี้ ตนต้องให้โอรสรับไปแน่ๆ!
ท่านหญิงหย่งจยารู้ว่า ‘เนื้อติดมัน’ ที่มเหสีรองพูดถึงหมายความว่าอะไร
ในทุกๆ ปีของประเพณีล่าสัตว์ ฝ่าบาทจะกำหนดชนิดของสัตว์ใหญ่ไว้ เหล่าเชื้อพระวงศ์และแม่ทัพนายกองที่ออกล่าสัตว์ ไม่ว่าใครก็ตาม จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน โดยใครสามารถล่าสัตว์ใหญ่ตัวนั้นได้ ก็จะได้รางวัลชิ้นใหญ่สุดไป ซึ่งก็คือผู้ที่โดดเด่นสุดในประเพณีล่าสัตว์ของปีนั้น
ซึ่งเดิมทีนางคิดว่า องค์ชายสามแค่ตามเสด็จอย่างสงบเสงี่ยมเท่านั้น คิดไม่ถึงว่า จะรับทำหน้าที่นี้ได้