“หงหลิน เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม เจ้ารู้ว่าเพลิงนพเก้ามอดนภาอยู่ที่ไหนหรือ?” เพลิงนพเก้ามอดนภาเป็นเพลิงอัคคีอันดับหนึ่ง แต่งูหลามเพลิงธรรมดากลับรู้ว่าอยู่ที่ไหน
“ไม่ได้ล้อเล่นสิ ข้าอยู่กับเพลิงนพเก้ามอดนภาตั้งแต่อยู่ในไข่แล้ว พวกเจ้าเชื่อข้าสิ” หงหลินร้อนใจ
“ตอนที่อยู่ในไข่?” จื่อฉีพูดทวน
“ใช่สิ ใช่แล้ว พวกเจ้าไปกับข้า แล้วจะรู้เองว่าข้าไม่ได้หลอกพวกเจ้า” หงหลินเคาะหัวตัวเองแล้วพูดขึ้น
“ไปเถอะ นี่คือความหวังเดียวที่เหลืออยู่” เอ๋าเลี่ยกล่าว
“เจ้าเด็กสกุลหนานกง มีคนสามารถช่วยหลิวหลีได้ จะไปด้วยกันไหม” เอ๋าเลี่ยเห็นสภาพของหนานกงเวิ่นเทียนก็รู้สึกปวดใจ เฮ้อยังดีที่เขาพอจะมีหัวจิตหัวใจอยู่บ้าง
“ช่วยหลิวหลีได้หรือ ตกลง ข้าจะไป” หนานกงเวิ่นเทียนอุ้มหลิวหลี เตรียมออกเดินทาง ส่วนเพลิงอัคคีที่ถูกทอดทิ้งอยู่ข้างๆก็ตามทั้งสองคนไปเป็นพรวน
“หมู่บ้านหมู่บ้านเพลิงอัคคี” เอ๋าเลี่ยมองดูสถานที่ที่คุ้นตา เป็นสวรรค์ของผู้บำเพ็ญที่มีแกนวิญญาณเพลิงทุกคน มิน่าล่ะ ก็มีเพลิงอัคคีอันดับหนึ่งคอยดูแล ถึงแม้จะหาเพลิงอัคคีไม่เจอ แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหาย
“ใช่ ไปกันเถอะ” หงหลินเดินกระโดดโลดเต้น
“รอก่อน ข้าขอไปซื้อหยกเหมันต์ก่อน ไม่อย่างนั้นพวกเราจะไม่ทนอุณหภูมิของที่นั่นไม่ไหว” เอ๋าเลี่ยย้อนนึกถึงตอนที่หลิวหลีเหมาหยกเหมันต์อย่างใจกว้าง เรื่องราวในอดีตผ่านไปเร็วราวสายลม
หนานกงเวิ่นเทียนถูกอิงเสวี่ยจับจูงไปมาราวตุ๊กตา เขาจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อมีคนสัมผัสโดนตัวหลิวหลี
“ไม่ต้องหรอก อาจิ่วไม่มีทางทำให้พวกเจ้าละลายหรอก” หงหลินร้อนรน เมื่อหนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกตัวก็เดินตามหงหลินไป คนอื่นๆจึงต้องเดินตามไปด้วย ช่วยไม่ได้ หลิวหลีเป็นคนสำคัญที่สุด
อยู่ๆเหมือนมีอะไรกำลังดูดร่างกายของหลิวหลี หนานกงเวิ่นเทียนสัมผัสได้ถึงพลังงานกลุ่มหนึ่งที่ดึงร่างของนางไปข้างหน้า
จนกระทั่งเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง ร่างของหลิวหลีก็หลุดออกจากอ้อมแขนของหนานกงเวิ่นเทียน ตกลงไปในธารลาวา หนานกงเวิ่นเทียนอยากจะตามลงไป แต่ถูกพลังงานบางอย่างรั้งไว้
“เจ้าคือหนานกงเวิ่นเทียนล่ะสิ ไม่ต้องเป็นห่วง นังหนูอยู่ในนี้แล้วนางจะหายดี กลับกันหากเจ้าตามนางลงไป นางจะต้องเสียน้ำตาแน่”
“เจ้าคือใคร?” หนานกงเวิ่นเทียนเอ่ยเสียงแหบพร่า
“ข้า ข้าก็คือเพลิงนพเก้ามอดนภาเพลิงอัคคีอันดับหนึ่งที่พวกเจ้าตามหากันอย่างไรล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง นังหนูจะไม่เป็นอะไรไปอย่างแน่นอน ข้ารอมาเป็นหมื่นปีกว่าจะเจอผู้สามารถประสานกับข้าได้ จะปล่อยให้คนอื่นทำร้ายนางได้อย่างไร วางใจเถอะ พลังหยินพวกนั้นเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย” เพลิงนพเก้ามอดนภาพูด
“อาจิ่ว เจ้าพูดมากจริงๆ” หงหลินที่อยู่ข้างๆกลอกตาใส่อีกฝ่าย
“นี่ไม่ใช่ถ้ำที่เจอหงหลินครั้งแรกหรอกหรือ” เอ๋าเลี่ยกล่าวขณะมองถ้ำที่คุ้นตา
“ใช่แล้ว ตอนนั้นข้าให้หงหลินติดตามพวกเจ้า นางคือเด็กที่งูหลามเพลิงคู่หนึ่งใช้พลังชีวิตทั้งหมดที่มีคลอดออกมา ข้าเห็นนางมาตั้งแต่เล็กจนโต นางเป็นราวลูกแท้ๆของข้า” เพลิงนพเก้ามอดนภากล่าว ตอนนี้เขาอยู่ในร่างของชายหนุ่มวัยกลางคน
“เจ้ามีจุดประสงค์อะไร?” เอ๋าเลี่ยไม่เชื่อว่าบนโลกนี้จะมีของที่ได้มาฟรีๆ
เพลิงอัคคีที่เหลือทั้ง 8 วนไปรอบๆเพลิงนพเก้ามอดนภาประหนึ่งเจอคนในครอบครัว
“ฮ่าฮ่า พวกเด็กๆนังหนูเลี้ยงพวกเจ้าไม่เลวเลย ต่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ไม่น้อยเลย” เพลิงนพเก้ามอดนภามองพี่น้องตนเองอย่างมีความสุข
“จุดประสงค์น่ะหรือ ง่ายมาก ข้าอยากจะเป็นเส้นลมปราณธาตุไฟเส้นสุดท้ายของนาง ช่วยให้นางได้กลายเป็นร่างวิญญาณเพลิงอัคคีผสมได้สำเร็จ” เพลิงนพเก้ามอดนภากล่าว
“ร่างวิญญาณเพลิงอัคคีผสม” ทุกคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน ราวได้ยินเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ
“ใช่แล้ว พวกเจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก ร่างวิญญาณเพลิงอัคคีผสม ทุกคนต่างก็รู้ว่า ยากนักที่คนคนเดียวจะมีทั้งร่างหยางล้วนแล้วร่างธาตุไฟสุริยา ที่สำคัญคือนางเป็นผู้หญิง มีความสมดุลหยินหยางในตัวเอง นับว่าเหมาะที่จะกลายเป็นร่างวิญญาณเพลิงอัคคีผสมที่สุด” เพลิงนพเก้ามอดนภาพูดด้วยความตื่นเต้นน้อย ๆ
“เจ้าพูดจนพวกเราสับสนไปหมดแล้ว แต่ช่วยหลิวหลีก่อนได้หรือไม่” เอ๋าเลี่ยเริ่มมึนหัว นี่คือเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่
“ไม่ต้องเป็นห่วง หลิวหลีกำลังได้รับการรักษาอยู่ นี่คือร่างเพลิงที่เป็นร่างเดิมของข้า นางจะหายดีในไม่ช้า” เพลิงนพเก้ามอดนภากล่าว
“ตอนนี้มีเรื่องสำคัญ โลกมารเริ่มรุกหนักขึ้น พวกเขาประกาศว่าพวกเจ้าสองคนโดนจับตัวไป ทำให้ตอนนี้ฝั่งผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายธรรมตกอยู่ในความวุ่นวายไม่น้อย จำเป็นต้องให้หนานกงเวิ่นเทียนกลับไปควบคุมสถานการณ์” เพลิงนพเก้ามอดนภากล่าว
“ทำไมเจ้ารู้ดีเช่นนี้” เอ๋าเลี่ยรู้สึกไม่เชื่อ
“แน่นอน เรื่องที่เกิดบนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องไหนที่ข้าไม่รู้ ขอแค่มีพลังอัคคี ข้าก็จะรู้ทุกเรื่องในทุกที่” เพลิงนพเก้ามอดนภากล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“หลิวหลี” ตอนนี้ในหัวของหนานกงเวิ่นเทียนมีแต่เรื่องของหลิวหลีเท่านั้น
“วางใจเถอะ คนรักของเจ้าไม่เป็นอะไรหรอก อีกอย่าง เอ๋าเลี่ย พวกเจ้าอสูรเทพทั้งสามก็ต้องไปเหมือนกัน หยาจื้อกับต้าเฟิ่งโตเต็มที่แล้ว พวกนั้นได้ชื่อว่าเป็นอสูรที่ร้ายกาจที่สุด จำเป็นต้องให้พวกเจ้าไปต้านไว้ จำไว้เพียงแค่ต้านไว้เท่านั้นต้องรอให้หลิวหลีฟื้นขึ้นมาก่อนเท่านั้นถึงจะจัดการพวกเขาได้” เพลิงนพเก้ามอดนภากำชับ
“เวิ่นเทียน หากโลกบำเพ็ญถูกทำลายลง หลิวหลีก็จะยากจะฟื้นขึ้นมา” อิงเสวี่ยปิดปากเงียบ อาศัยพลังพันธสัญญาถึงได้รู้ว่าความหวังที่จะทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อคือหลิวหลี
“ได้ ข้าจะไป” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า หลิวหลีชอบโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นเขาจะปกป้องโลกใบนี้เพื่อนาง
“พวกเราก็จะไปด้วย” เอ๋าเลี่ย เฟิ่งอิงเสวี่ยและจื่อฉีพูดขึ้นพร้อมกัน
“วางใจเมื่อหลิวหลีฟื้นขึ้นมาแล้วจะตามไปเอง” เพลิงนพเก้ามอดนภากล่าว
“ตกลง”
ณ บริเวณชายแดน ผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายธรรมรบบ้างถอยบ้าง ข่าวเรื่องหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนถูกจับกุม ทำให้พวกเขาหวั่นใจไม่น้อยจนส่งผลให้กำลังใจในการสู้รบลดลง
“หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนถูกจับไปแล้วจริงหรือ ไม่เจอพวกเขาเลย” หลงจิ่งอู๋กล่าว
“โคมวิญญาณของพวกเขายังไม่ดับ เพียงแต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกัน หลายปีมานี้หลิวหลีเป็นแกนนำคนสำคัญที่บริเวณชายแดน พอหายตัวไป จึงส่งผลกระทบไม่น้อย” หลงจิ่งหลินกล่าว
“อีกอย่างอสูรสองตัวนั้นคือหยาจื้อกับต้าเฟิ่ง พวกมันร้ายกาจมากจริงๆ คนของเราจำนวนไม่น้อยที่ต้องบาดเจ็บเพราะเดรัจฉานสองตัวนั้น” คนบริเวณชายแดนจำนวนมากเมื่อเจอกับความลำบาก จึงเริ่มรู้สึกหมดหวัง
ทันในนั้นเองหยาจื้อกับต้าเฟิ่งก็เริ่มลงมือ มีคนกำลังจะจบชีวิตลงด้วยฝีมือของอสูรร้ายทั้งสอง บางคนถึงขนาดต้องหลับตาลง
อยู่ๆก็มีเสียงร้องของมังกรกับหงส์ดังลอยมาจากฟากฟ้า หงส์เหมันต์ร่างขาวกับมังกรยักษ์สีแดงโลหิตปรากฏตัวขึ้นบนฟ้า ทำให้หยาจื้อกับต้าเฟิ่งต้องถอยออกไป
“มังกรโลหิตเอ๋าเลี่ย”
“หงส์เหมันต์อิงเสวี่ย”
“คนผมขาวคนนั้นคือ พระเจ้า นั่นมันหนานกงเวิ่นเทียน เกิดอะไรขึ้น ทำไมผมเขาถึงเป็นสีขาวเช่นนี้ หลงหลิวหลีไปไหน”
“ทั้งสองถูกจับตัวไปไม่ใข่หรือ ทำไมหนานกงเวิ่นเทียนออกมาแล้ว”
“กลับมาแล้วงั้นหรือ สมแล้วที่เป็นหลงหลิวหลี ยอมเสียสละตัวเองช่วยเหลือคนรัก พลังความเย็นบนตัวของแม่โฉมงามเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ดูท่าแล้วหลงหลิวหลีคงไม่ค่อยสู้ดีนัก ถือเป็นเรื่องที่ดี” เยี่ยซิงหวงเห็นหนานกงเวิ่นเทียนก็ประหลาดใจ แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ออกมาได้
“เวิ่นเทียน ทำไมมีแต่เจ้า แล้วหลิวหลีล่ะ” หลงจิ่งอู๋ถามขึ้น
“ไม่เป็นไร” หนานกงเวิ่นเทียนตอบไม่ตรงคำถาม
“วางใจเถอะ เด็กน้อยสกุลหลง หลิวหลีไม่ไร ส่วนที่นี่พวกเราจะคอยรับมือไว้ เอง รอจนกว่าหลิวหลีจะกลับมา” เอ๋าเลี่ยตอบแทนหนานกงเวิ่นเทียน หลังจากที่หลิวหลีกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา หนานกงเวิ่นเทียนก็เย็นชาราวกับเป็นน้ำแข็ง ไม่น่ารักยิ่งกว่าเดิม
“นังหนูเป็นอะไรหรือไม่”หลงจิ่งหลินสัมผัสได้ว่าประโยคนี้ทำให้หนานกงเวิ่นเทียนเย็นชามากกว่าเดิม ดูแล้วคงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหลิวหลีแน่
“ไม่มีอะไร นี่เป็นโชคชะตาและโอกาสของหลิวหลี บอกกับพวกเจ้าได้เพียงว่า นางหนูเจอเพลิงนพเก้ามอดนภาที่เป็นเพลิงอัคคีอันดับหนึ่งแล้ว” เอ๋าเลี่ยกล่าว
“เจอแล้ว” เพลิงอัคคีอันดับหนึ่งลึกลับซับซ้อน แต่นังหนูกลับหาเจอ ความโชคดีของนางคงจะหาใครเปรียบไม่ได้เลยจริงๆ
“อืม ตอนนี้พวกเราต้องอย่าให้เผ่ามารรุกรานเข้าไปได้มากกว่านี้” เอ๋าเลี่ยกล่าว
“ตอนนี้ได้เทพแห่งสงครามให้ความช่วยเหลือ ก็เหมือนรวมใจเราให้เป็นหนึ่งเดียว อีกอย่างรู้สึกว่าท่านกับท่านเฟิ่งน่าจะสามารถจัดการหยาจื่อกับต้าเฟิ่งได้ ส่วนเยี่ยซิงหวงดูจะจัดการได้ยากไม่น้อย” หลงจิ่งอู๋กล่าว นึกไม่ถึงเลยว่าเยี่ยซิงหวงแห่งเผ่ามารจะแข็งแกร่งขนาดนี้
“ข้าเอง” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“เด็กสกุลหนานกง เยี่ยซิงหวงน่ะมีพลังเหลือล้น เจ้าจะจัดการได้หรือ” หลงจิ่งอู๋เศร้าสร้อย
“ได้” หนานกงเวิ่นเทียนไม่พูดอะไรมากมายนัก
“แล้วเด็กบ้านหนานกง อย่าฝืนล่ะ”
“ไม่ขอรับ” หนานกงเวิ่นเทียนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา นังหนูชอบโลกใบนี้ เขาจะปกป้องมันเพื่อนาง จนกว่านางจะกลับมา
ส่วนฟากหมู่บ้านหมู่บ้านเพลิงอัคคี เพลิงนพเก้ามอดนภามองดูหลิวหลีที่นอนแช่อยู่ในลาวาราวคนตาย
“เฮ้อ ไม่รู้จริงๆว่านังหนูจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่” เพลิงนพเก้ามอดนภามองหลิวหลีอย่างเศร้าใจ คนที่มีคุณสมบัติร่างกายเหมาะสมมีเพียงคนเดียวเท่านั้น เกือบจะไม่มีแล้วไหมล่ะ
“อาจิ่ว เจ้าไม่มั่นใจหรือ” หงหลินถามขณะมองหลิวหลี
“เป็นไปได้อย่างไร ข้าเป็นถึงเพลิงอัคคีอันดับหนึ่งในโลกบำเพ็ญเชียวนะ” เพลิงนพเก้ามอดนภาโอ้อวด
“พอเถอะ เลิกโม้ได้แล้ว รักษาท่านพี่ข้าให้หายก่อน จึงจะถือว่าเก่งจริง” หงหลินมองหลิวหลีอย่างกังวล ท่านพี่ ท่านจะต้องอดทนไว้นะ
หลิวหลีรู้สึกว่าหนาวอย่างมาก หนาวจนราวตัวเองจะกลายเป็นน้ำแข็ง แต่ในตอนที่รู้สึกว่ากำลังจะตัวแข็งนั้นเอง อยู่ๆก็มีความอบอุ่นให้ความอบอุ่นกับนาง อุ่นจริงๆ