บทที่ 71.2 ศัตรูมักจะต้องวนมาเจอกันเสมอ (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

หลินเทียนอ้าวพยักหน้าและกล่าวว่า “นั่นก็เป็นทางเลือกที่กลุ่มอื่นๆ คิดเอาไว้เช่นกัน อย่างน้อยก็เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะเก็บแรงไว้เพื่อเอาชนะกลุ่มที่มาจากอาณาจักรอื่นๆ เพื่อเข้าสู่ 8 อันดับแรกให้ได้”

“ถึงอย่างไรกลุ่มตัวเต็งเหล่านี้ก็ทรงพลังมาก แม้ว่าเราจะเอาชนะพวกเขาได้จริงๆ แต่นั่นก็ย่อมมาพร้อมกับความเสียหายที่รุนแรง หากเป็นเช่นนั้นเราจะมีพลังเหลือไว้ต่อสู้กับกลุ่มอื่นๆเพื่อเข้าสู่ 8 อันดับแรกได้อย่างไร? นี่ยังไม่รวมพวกกลุ่มตัวเต็งในสายอื่นๆ อีก”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้า อย่างไรก็ตาม ความคิดบางอย่างก็ผุดวาบขึ้นมาในใจของเขา บางทีหากสถานการณ์เอื้ออำนวย อาจไม่จำเป็นต้องรอถึงรอบ 8 อันดับแรกเพื่อต่อสู้กับกลุ่มตัวเต็งก็เป็นได้

“กฎการประลองเป็นเช่นนั้น แล้วการต่อสู้จริงล่ะ? เป็นการต่อแบบสู้เดี่ยวหรือแบบกลุ่ม?” โจวเหว่ยชิงกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ เขาจึงขอรายละเอียดเพิ่มเติมจากหลินเทียนอ้าว

หลินเทียนอ้าวกล่าวว่า “รอบอุ่นเครื่องเป็นการต่อสู้แบบเดี่ยว 4 รอบและแบบคู่ 1 รอบ สำหรับรอบชิงชนะเลิศเป็นแบบแพ้คัดออก กล่าวคือแต่ละกลุ่มจะส่งสมาชิก 5 คนออกไปผลัดกันต่อสู้แบบเดี่ยว ผู้ชนะยังคงอยู่บนสนาม ส่วนผู้แพ้จะถูกคัดออกไปเรื่อยๆจนกว่ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะตกรอบทั้ง 5 คน ส่วนการต่อสู้ในระดับสูงขึ้นไปอย่างการประลองของ 4 อันดับแรก ข้าไม่แน่ใจว่ารูปแบบเป็นอย่างไร”

“สำหรับประลองเดี่ยวในรอบอุ่นเครื่องทั้ง 4 รอบ จะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกไปประลองเดี่ยวได้ 2 ครั้ง ทว่าในการแข่งขันแบบคู่ สมาชิกที่เป็นตัวแทนการต่อสู้แบบเดี่ยวอาจออกไปต่อสู้แบบคู่ได้อีกครั้ง”

กฎและรูปแบบการประลองนั้นค่อนข้างเรียบง่าย ด้วยคำอธิบายของหลินเทียนอ้าว ทุกคนจึงสามารถทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว นี่คือเหตุผลหลักที่หลินเทียนอ้าวเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของโจวเหว่ยชิงที่ให้ทุกคนเข้าร่วมการประลองต่อ จริงๆแล้วก็เป็นไปได้ที่จะต่อสู้ด้วยสมาชิกเพียง 4 คนในรอบอุ่นเครื่อง แม้ว่านั่นจะยากลำบากมากก็ตาม โดยเฉพาะสมาชิกที่จะต้องต่อสู้ 2 ครั้งในการประลองแบบเดี่ยวและแบบคู่

“ในรอบอุ่นเครื่อง เราจำเป็นต้องชนะ 3 ใน 5 เท่านั้น 2 รอบแรกจะเป็นการต่อสู้แบบเดี่ยว จากนั้นก็เป็นการแข่งแบบคู่ ปิดท้ายด้วยการแข่งขันแบบเดี่ยวอีก 2 รอบ ดังนั้น ตราบใดที่เราชนะการประลอง 3 รอบแรกทั้งหมด ก็เป็นไปได้ที่สมาชิกทั้ง 4 คนจะต้องเหนื่อยเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะเราสามารถแพ้รอบที่ 4 และ 5 ได้”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

หลินเทียนอ้าวกล่าวต่อ “เหว่ยชิง จุดลงทะเบียนอยู่ใกล้ประตูราชวังอาณาจักรจ้งเทียน ตอนนี้เจ้าจงไปที่นั่นเพื่อลงทะเบียนให้กลุ่มของพวกเรา เมื่อวานนี้ข้าได้มอบเอกสารที่จำเป็นทั้งหมดให้เจ้าแล้ว ดังนั้นเจ้าสามารถตรงไปที่นั่นและรับแผ่นป้ายประจำกลุ่มของเรามาได้เลย พวกข้าจะรออยู่ที่นี่เพื่อฟื้นฟูพลังและฝึกปราณ พวกเราจะออกไปก็ต่อเมื่อถึงวันจับฉลากแบ่งสายก่อนที่งานประลองจะเริ่มขึ้น”

“เอาล่ะทุกคน พักผ่อนอยู่ที่นี่เถอะ ข้าจะออกไปแล้ว ปิงเอ๋อร์ มากับข้า”

“ข้าก็อยากไปด้วย!” อู่หยาจับแขนของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น แม้ว่าเธอจะมีร่างกายที่ใหญ่โต แต่เธอก็ยังเด็กมากและยังคงมีนิสัยเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วๆ ไป ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในสถานที่ลึกลับแห่งใหม่ เธอจึงอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างยิ่ง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกอู่หยาจับแขนเอาไว้ เมื่อทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันทำให้ขนาดของทั้งคู่แตกต่างกันมากขึ้นไปอีก

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและกล่าวว่า “เอาล่ะ งั้นไปด้วยกันเถอะ มาสิ”

เมืองหลวงจ้งเทียนมีขนาดใหญ่มาก ขณะที่พวกเขาเข้ามาถึงในเมืองเมื่อคืนก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว ความยิ่งใหญ่ของเมืองแห่งนี้จึงไม่ได้โดดเด่นกระแทกตาพวกเขามากนัก แต่เมื่อพวกเขาก้าวออกไปข้างนอกโรงเตี๊ยม แม้ว่าเวลานี้จะยังเป็นเวลาเช้าตรู่ แต่ความพลุกพล่านวุ่นวายในเมืองก็วิ่งเข้าสู่สายตาของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ตึกรามบ้านช่องล้วนสูงตระหง่าน ส่วนใหญ่มีความสูง 3 ชั้นขึ้นไปทั้งนั้น อาคารเหล่านี้ค่อนข้างแปลกตาและดูเป็นการออกแบบที่เก่าแก่โบราณ มีรูปปั้นและงานแกะสลักติดอยู่รอบผนังกำแพงและหลังคาบ้านเรือน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของใหม่ แต่ก็มีกลิ่นอายศิลปะโบราณและลึกลับ ทั้งหมดนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างจากที่อื่นๆ ศิลปะและวัฒนธรรมของเมืองนี้ดูล้ำลึกกว่าเมืองเฟยหลี่มากนัก

ขณะที่พวกเขาเดินไปตามถนน ร่างของอู่หยาก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เป็นอย่างดี แม้แต่ความงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็แทบจะถูกละเลยไปด้วยเหตุนี้ เห็นได้ชัดจากการที่ผู้สัญจรไปมาเกือบทุกคนมักจะจ้องอู่หยาขณะที่พวกเขาเดินสวนไป

อู่หยาดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจสายตาแปลกๆ พวกนั้นมากนัก เธอจึงสามารถเดินต่อไปอย่างเยือกเย็นโดยไม่รู้สึกลำบากใจ แม้บางครั้งจะตะโกนออกมาบ้างว่า “เจ้าจะจ้องมองอะไรกันนัก ไม่เคยเห็นหญิงงามมาก่อนเลยหรือ?!”

ผิวหน้าของโจวเหว่ยชิงนั้นหนาโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกลำบากใจเช่นกัน เขาทำเพียงแค่จับมือเล็กๆที่อ่อนนุ่มของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขณะสอดส่องสายตาไปยังร้านค้าต่างๆ อย่างสนอกสนใจ สินค้าท้องถิ่นในเมืองจ้งเทียนเป็นของแปลกใหม่สำหรับเขา และเขาก็ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินเกี่ยวกับพวกมันมาก่อน แน่นอนสิ่งที่ดึงดูดเขามากที่สุดคือร้านขายอาหาร กลิ่นหอมอบอวลเหล่านั้นทำให้ท้องของเขาร้องดังโครกครากและกระตุ้นให้เขาเริ่มอยากอาหาร อย่างไรก็ตาม เขาก็ตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่ออาหารเหล่านั้นและลงทะเบียนให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจปล่อยให้เพื่อนที่บาดเจ็บทนหิวอยู่ในโรงเตี๊ยมในขณะที่พวกเขาเล่นสนุกอยู่ข้างนอกได้ เมื่อเดินกลับมาที่นี่อีกครั้ง เขาก็สามารถซื้ออาหารกลับไปรับประทานร่วมกันได้

พวกเขาตามหาพระราชวังพบได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ถามทางกับกลุ่มคนที่เดินสวนไปมา ไม่นานพวกเขาก็มาถึงจุดลงทะเบียนจนได้ แม้ว่าเมืองชั้นในจะยังคงมีขนาดใหญ่มาก แต่ก็ยังถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับเมืองชั้นนอกทั้งหมด ไม่นานพวกเขาก็มาถึงหน้าพระราชวังจ้งเทียนที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองชั้นใน

“สมกับเป็นอาณาจักรใหญ่! ช่างเป็นพระราชวังที่งดงามมาก!” เมื่อมองไปที่ลานจตุรัสหน้าพระราชวังซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า 1 ตารางกิโลเมตร โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะอุทานกับตัวเอง ตรงใจกลางจตุรัสมีรูปปั้นขนาดใหญ่สูง 30 เมตรซึ่งดึงดูดความสนใจของพวกเขาทันทีที่มาถึง

รูปปั้นนั้นเป็นผู้ชายที่มีผมยาวเคลียไหล่ผู้หนึ่ง เขามีรูปร่างแข็งแรงกำยำ บนแผ่นหลังมีปีกขนาดใหญ่ยื่นออกมา สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของโจวเหว่ยชิงได้ในทันทีก็คือไข่มุก12 ดวงที่แกะสลักอยู่รอบข้อมือของเขา แม้ว่ารูปปั้นนั้นจะไม่ได้ทาสี แต่จำนวนมณีเพียงอย่างเดียวก็บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของเขาได้แล้ว! มันแสดงให้เห็นว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงของมณีสวรรค์ทั้ง 12 ชุดเสร็จสมบูรณ์แล้ว นี่คือผู้ทรงพลังระดับเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด! เป็นไปได้หรือไม่ว่าในอาณาจักรจ้งเทียนแห่งนี้มีจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทพเจ้าที่มีมณี 12 ชุดอยู่จริงๆ?

ลานจตุรัสหน้าพระราชวังไม่ได้เป็นเขตหวงห้ามอันใด ดังนั้นพวกเขาจึงเห็นว่ามีผู้คนจำนวนมากเดินไปที่รูปปั้นขนาดใหญ่นั้นเพื่อสักการะบูชาเขา เมื่อมองไปยังใบหน้าที่เปี่ยมศรัทธาของผู้คนก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุคคลในรูปปั้นนั้นจะต้องมีสถานะที่สูงส่งมากเพียงใดในอาณาจักรจ้งเทียน

พวกเขาซักถามคนที่เดินผ่านไปมาอย่างรวดเร็วและในไม่ช้าพวกเขาก็พบว่ารูปปั้นนั้นคือจักรพรรดิผู้ก่อตั้งอาณาจักรจ้งเทียน ชื่อของเขาคือซ่างกวนยู่หลง เขาไม่เพียงแต่ก่อตั้งอาณาจักรจ้งเทียนเท่านั้น แต่ยังได้สร้างเกาะมณีสวรรค์และวังสวรรค์ไพศาลขึ้นมาด้วย ดังนั้นเขาจึงเป็นปฐมกษัตริย์ที่แท้จริงของอาณาจักรจ้งเทียน รูปปั้นถูกแกะสลักจากเพชรและจะยืนยงคงกระพันเช่นนี้ตลอดไป นับตั้งแต่ที่รูปปั้นถูกสร้างขึ้น เขาผู้นั้นก็ยืนอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านสายลมกัดเซาะมานานกว่า 2,000 ปี ยืนโดดเด่นเป็นสง่าและคอยกวาดสายตามองทั่วเมืองจ้งเทียนอย่างอาจหาญ

“ปิงเอ๋อร์ ราชวงศ์จักรจ้งเทียนมีนามสกุลเดียวกันกับเจ้าล่ะ!” โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างให้เธอ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “ท่านแม่มักจะไม่เต็มใจพูดเกี่ยวกับท่านพ่อ ตอนที่ข้าอยู่โรงเรียน ข้าเคยถามอาจารย์เกี่ยวกับสกุลของข้า และเขาก็บอกว่าซ่างกวนเป็นตระกูลจากอาณาจักรจ้งเทียน มีความเป็นไปได้ว่าท่านพ่อของข้าอาจมาจากอาณาจักรจ้งเทียนจริงๆ แต่ก่อนที่ข้าจะจำความได้ ท่านแม่ก็ได้นำข้าจากมาแล้ว ข้าจึงไม่เคยเห็นหน้าท่านพ่อมาก่อน”

โจวเหว่ยชิงโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยนและพูดเบาๆ ว่า “ปิงเอ๋อร์ อย่าเศร้าไปเลย หากมีเวลาข้าจะพาเจ้าตระเวนไปรอบๆ อาณาจักรจ้งเทียนเพื่อค้นหาบิดาของเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าก็งดงามมาก ข้าแน่ใจว่าการตามหาบิดาของเจ้าต้องไม่ใช่เรื่องยากแน่นอน”

“อืม”

จากนั้นโจวเหว่ยชิงก็หันไปหาอู่หยาที่กำลังจ้องมองไปยังรูปปั้นนั้นและพูดว่า “อู่หยา ไปกันเถอะ พวกเรายังต้องไปลงทะเบียนอีก”

อู่หยาถอนหายใจอย่างชื่นชมและพูดว่า “คนในรูปปั้นนั้นดูแข็งแกร่งและทรงพลังมาก…หากสวรรค์มอบผู้ชายที่บึกบึนเช่นนี้มาให้เผ่าอีกาทองของเราบ้างจะดีสักแค่ไหนกันหนอ…”

“นี่ ไปกันเถอะ…ข้ามั่นใจว่าสวรรค์จะต้องมอบของขวัญให้เจ้าแน่ แต่หากสวรรค์ไม่ช่วยเจ้า เมื่อพวกเรากลับไป ข้าจะช่วยเจ้าตามหาเอง!” เมื่อได้ยินความปรารถนาต่อบุรุษเพศของอู่หยา โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องตลกเลยแม้แต่น้อย เขาเข้าใจความปรารถนาของอู่หยาอย่างแท้จริง ความกังวลใจเกี่ยวกับความอยู่รอดของเผ่า…นั่นเป็นสิ่งที่เขาสามารถเอื้อนเอ่ยออกไปได้อย่างแท้จริง!

จุดลงทะเบียนสำหรับงานประลองมณีสวรรค์อยู่ใกล้กับประตูทางเข้าพระราชวัง และอาณาจักรจงเทียนก็ให้ความสำคัญกับงานประลองเป็นอย่างมาก พวกเขาสร้างอาคารใหม่ขึ้นเป็นพิเศษเพื่อใช้ลงทะเบียนโดยเฉพาะ มีป้ายขนาดใหญ่ติดไว้ด้านบนอาคารพร้อมกับสลักตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่เอาไว้ว่า “งานประลองมณีสวรรค์”

เมื่อโจวเหว่ยชิงพาเด็กสาวทั้ง 2 เข้าไปในอาคาร ขั้นตอนการลงทะเบียนก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ด้วยจดหมายเชิญและเอกสารประจำตัวจากอาณาจักรเฟยหลี่ที่หลินเทียนอ้าวมอบให้เขาก่อนหน้า เขาจึงสามารถลงทะเบียนและรับแผ่นป้ายประจำกลุ่มมาได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เขายังได้รับแจ้งให้กลับไปรายงานตัวที่จตุรัสเพื่อจับฉลากแบ่งสายในอีก 3 วันถัดไป ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยังได้รับรายละเอียดเกี่ยวกับการประลองเพิ่มเติมและกุญแจสำหรับที่พักที่อาณาจักรจ้งเทียนได้จัดเตรียมไว้ให้กลุ่มของพวกเขา แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงไม่คิดจะย้ายคนในกลุ่มออกไปพักที่อื่นอีก เพราะถึงอย่างไรทุกกลุ่มจะต้องอยู่ที่นั่นแน่ และนี่ก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่พวกเขาจะเสี่ยงพาตัวเอาเข้าไปสู่ความขัดแย้งใดๆ

เมื่อทั้ง 3 คนลงทะเบียนเสร็จและกำลังมุ่งหน้ากลับออกไป พวกเขาก็พบเข้ากับกลุ่มคนที่กำลังเดินสวนเข้ามา

กลุ่มนี้มีจำนวนมากกว่าสิบคน และพวกเขาก็มาที่นี่เพื่อลงทะเบียนงานประลองเช่นกัน สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือหัวหน้ากลุ่มเป็นคนที่ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างก็จดจำได้!

ย้อนอดีตกลับไปไม่นาน เมื่อโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้พบกันหลังจากที่มณีแห่งสวรรค์ของเขาได้ตื่นขึ้น ไม่นานพวกเขาก็ประสบเข้ากับเหตุการณ์ลอบสังหารซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ซึ่งผู้นำในการลอบสังหารครั้งนั้นคือไป๋จิ่ว เจ้าชายลำดับที่ 9 ของอาณาจักรคาลิเซ และในขณะนี้บุคคลผู้นั้นก็อยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว

ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายพบกัน ไป๋จิ่วก็ชะงักไปทันที สำหรับโจวเหว่ยชิง เขาไม่ได้มีความประทับใจอะไรกับอีกฝ่ายมากนัก แต่เขาย่อมจดจำซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้อย่างง่ายดาย เพราะถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้เป็นเพียงอัจฉริยะที่อายุน้อยที่สุดจากอาณาจักรศัตรูของเขาและเป็นจ้าวมณีสวรรค์เพียงคนเดียวในรุ่นนี้เท่านั้น แต่เธอก็ยังเป็นผู้ที่มีความงามอันดับหนึ่งและเขาก็ประทับใจในตัวเธอเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยังเคยตกเป็นเป้าหมายในการลอบสังหารของเขามาก่อนด้วย

“เป็นเจ้า?!” ไป๋จิ่วจ้องไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างเร่าร้อน จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองคำว่า ‘งานประลองมณีสวรรค์’ ด้านบน “ช่างเป็นเรื่องน่าขันจริงๆ ที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเจ้าสามารถเข้าสู่งานประลองมณีสวรรค์ได้”

อู่หยายืนอยู่ข้างซ่างกวนปิงเอ๋อร์ กล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “พวกเราเป็นตัวแทนของอาณาจักรเฟยหลี่

ใบหน้าอันหล่อเหลาของไป๋จิ่วแสดงท่าทางรังเกียจออกมาทันที “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าอัจฉริยะที่อายุน้อยที่สุดของออาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ซึ่ง จ้าวมณีสวรรค์เพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา แม่นางซ่างกวนปิงเอ๋อร์ จะละทิ้งอาณาจักรของตนเองและแปรพักตร์มาอยู่กับอาณาจักรเฟยหลี่ ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าอาณาจักรคาลิเซของเราจะสามารถยึดครองอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ได้ในไม่ช้า! โจวสุ่ยหนิวไร้ผู้สืบทอดอย่างแท้จริง!”

โจวเหว่ยชิงเลิกคิ้วขึ้นและถามว่า “เจ้ากำลังบอกว่าตัวเองเป็นตัวแทนของอาณาจักรคาลิเซเข้าร่วมงานประลองงั้นรึ?”

จุดสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่ไป๋จิ่ว ท้ายที่สุดแล้วตามความทรงจำของเขา ไป่จิ่วเป็นเพียงจ้าวมณียุทธ์เท่านั้น เขาไม่ใช่จ้าวมณีสวรรค์ ด้วยระดับพลังปราณและพลังในปัจจุบันของเขา ไป่จิ่วไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับเขาแน่นอน คนที่เขาหมายตาคือสหายร่วมกลุ่มของไป่จิ่ว พวกเขาอายุมากกว่า 30 ปีหรือเด็กกว่านั้น แต่ละคนดูหนักแน่นมั่นคง ท่าทางลึกล้ำ และมีสีหน้าเย็นชา แม้ว่าภายนอกพวกเขาจะดูธรรมดา แต่โจวเหว่ยชิงก็สามารถสัมผัสกลิ่นอายอันตรายจากพวกเขาได้