เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะเย้ยหยัน ”คุณหนานกงเยี่ยพูดอย่างชัดเจนแล้ว เขาไม่อยากให้พี่แก้แค้น คุณหนานกงเยี่ยเห็นแก่ตัวมาก ไม่ยอมให้พี่แก้แค้น แต่กลับจะกักขังพี่เอาไว้เป็นผู้หญิงของเขา เขามีสิทธิ์อะไร” แสงสนธยาลาลับขอบฟ้า รอยยิ้มของเหลิ่งรั่วปิงเคล้าไปด้วยแสงสะท้อนสีแดง ”นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่พี่จะเลิกกับเขา ไม่ว่ายังไงพี่ก็จะแก้แค้น เขาห้ามพี่ไม่ได้ ถ้าคุณหนานกงห้ามพี่ พวกเราก็ทำได้แค่แก้ปัญหาด้วยความรุนแรง”
ในห้องหนังสือ มู่เฉิงซีขมวดคิ้วมองหนานกงเยี่ย ”หนานกง แกคิดจะทำยังไงต่อ”
สีหน้าหนานกงเยี่ยนิ่งสงบ แววตาเคร่งขรึม นิ้วมือขวาเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ เงียบอยู่นาน
หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน เสียงของหนานกงเยี่ยดังขึ้นในห้องหนังสือ ”ไม่รู้” เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะทำยังไงต่อไป เขาทำได้เพียงกักขังเธอเอาไว้ และตัวเขาเองก็ถูกกักขังไปพร้อมกับเธอ
คิ้วของมู่เฉิงซีขมวดเป็นปม ”แล้วเหลิ่งรั่วปิงคิดอยากจะทำยังไง”
“เหลิ่งรั่วปิงต้องการหย่ากับฉัน”
“แล้วหลังจากหย่าล่ะ”
“แก้แค้น”
มู่เฉิงซีถอนหายใจ ”ผู้หญิงคนนี้แข็งกระด้างมาก ถ้าเธอไม่ได้แก้แค้น เธอไม่มีวันสงบสุขหรอก แต่ถ้าเธอแก้แค้น พวกแก…เฮ้อ!”
หนานกงเยี่ยหลุบตาลง นิ่งเงียบ เรื่องพวกนี้เขารู้ดี และเพราะรู้ดีแก่ใจ เขาจึงจนปัญญา
ขณะที่ผู้ชายทั้งสองกำลังนิ่งเงียบ เวินอี๋เดินเข้ามาในห้องหนังสือ มู่เฉิงซีลุกขึ้นไปจับมือเธอ ”เกลี้ยกล่อมเป็นยังไงบ้าง”
เวินอี๋พยักหน้าเบาๆ ”คุณหนานกง ในตอนนั้นฉันเห็นด้วยตาตนเองว่าคุณลุงเจียงทุกข์ทรมานแค่ไหน และเห็นพี่รั่วปิงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดในไฟไหม้ครั้งนั้น ดังนั้นฉันเข้าใจเธอค่ะ พี่รั่วปิงไม่มีวันลืมความแค้นนี้ การที่คุณกักขังเธอเอาไว้ มีแต่จะทำให้เธอเจ็บปวดและเสียใจมากกว่าเดิม”
หนานกงเยี่ยเงยหน้าขึ้น แววตาของเขาฉายความเย็นยะเยือก ”ถ้าหากเธอมาเกลี้ยกล่อมให้ฉันปล่อยรั่วปิงไป ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”
เวินอี๋ที่อ่อนโยนมาโดยตลอด มองตาหนานกงเยี่ยด้วยความกล้าหาญ ”คุณหนานกง คุณเคยมองในมุมพี่รั่วปิงบ้างไหมคะ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาของพี่รั่วปิง ความแค้นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอมีชีวิต แต่ตอนนี้เธอกลับแต่งงานกับลูกชายศัตรู เธอทั้งเสียใจและเกลียดตัวเอง การแต่งงานในครั้งนี้ พี่รั่วปิงรู้สึกว่ามันเป็นความผิดบาป แค่ได้เห็นคุณ พี่รั่วปิงก็ไม่มีความสุข ดังนั้น ถ้าคุณรักพี่รั่วปิงจริงๆ คุณปล่อยเธอไปเถอะค่ะ”
ปัง!
จู่ๆ หนานกงเยี่ยก็อาละวาดขึ้นมา เขาพังโทรศัพท์บ้านที่ตั้งอยู่ด้านข้าง ดวงตาฉายความเหี้ยมโหด ”มู่เฉิงซี พาผู้หญิงของแกออกไป ขืนอยู่นานกว่านี้อีกหนึ่งวินาที อย่าหาว่าฉันไม่ไว้หน้า!”
หนานกงเยี่ยที่อยู่ภายใต้ความเจ็บปวด น่ากลัวจนทำให้ทุกคนตกใจ เวินอี๋ถอยหลังสองก้าวอย่างสั่นเทา ความเป็นจริงเธอเองก็สงสารผู้ชายที่มีความรักลึกซึ้งคนนี้ แต่เธอเห็นใจเหลิ่งรั่วปิงมากกว่า เทียบกับการให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันอย่างเจ็บปวด สู้ปล่อยให้เหลิ่งรั่วปิงเป็นอิสระและได้ทำในสิ่งที่เธออยากทำยังจะดีเสียกว่า
มู่เฉิงซีรู้จักนิสัยของหนานกงเยี่ยเป็นอย่างดี เขาถอนหายใจเบาๆ พาตัวเวินอี๋ออกไป ทั้งหนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิง ต่างเป็นคนที่ดื้อด้าน ไม่ว่าใครเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาทั้งสองไม่มีใครยอมถอย
ห้องหนังสือที่ว่างเปล่า โล่งและเดียวดาวย เงียบจนได้ยินแค่เสียงหายใจของหนานกงเยี่ย หัวใจของเขาถูกคำพูดของเวินอี๋ทำให้ฉีกขาด เจ็บจนเลือดไหลพราก
เธอเห็นเขา ก็จะไม่มีความสุข!
หึ! ความสุขมันสั้นมาก พวกเขาเพิ่งแต่งงานก็เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว
“คุณชายเยี่ย อาหารค่ำเตรียมเสร็จแล้วครับ คุณชายกับคุณผู้หญิงจะรับประทานตอนไหนครับ” พ่อบ้านสังเกตเห็นบรรยากาศมาคุ จึงพูดด้วยความระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด
หนานกงเยี่ยเงียบไปสองวินาที ”เตรียมเสิร์ฟเลย เดี๋ยวฉันไปตามรั่วปิงเอง”
“ครับ” พ่อบ้านคิ้วขมวด มองหนานกงเยี่ยเดินเข้าไปในห้องนอน ทอดถอนหายใจ
เขาเป็นคนเก่าคนแก่ของตระกูลหนานกง เคยทำงานรับใช้แม่ของหนานกงเยี่ยมานานหลายปี สนิทสนมกับหนานกงเยี่ยมาก เห็นสองสามีภรรยาทะเลาะกัน เขาเองก็รู้สึกเป็นห่วง
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทั้งสองมีปัญหาอะไรกัน แต่ก็ดูออกว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก หนานกงเยี่ยสั่งบอดี้การ์ดมาเฝ้าเต็มวิลล่าหย่าเก๋อ เพื่อป้องกันไม่ให้เหลิ่งรั่วปิงหนีไป เหลิ่งรั่วปิงเคยหนีไปครั้งหนึ่งแล้ว แค่ครั้งนั้น หนานกงเยี่ยก็เหมือนตกอยู่ในขุมนรก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากให้หนานกงเยี่ยในสภาพนั้นอีกแล้ว
หนานกงเยี่ยเปิดประตูห้องนอนเบาๆ มองดูเหลิ่งรั่วปิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ”กินข้าวกันเถอะครับ”
เหลิ่งรั่วปิงไม่ขยับ เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง
หนานกงเยี่ยเดินไปคว้ามือของเธอ เหลิ่งรั่วปิงสะบัดของเขาทิ้งอย่างไร้เยื่อใย ”คุณหนานกงเยี่ย คุณบอกฉันมา ต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมปล่อยฉัน”
หนานกงเยี่ยเงียบหลายวินาที พูดเสียงเบา ”ไปกินข้าว”
เหลิ่งรั่วปิงไม่ขยับ หนานกงเยี่ยคว้าข้อมือของเธออีกครั้ง ไม่สนใจการขัดขืนของเธอ ลากตัวเธอไปด้านนอก เหลิ่งรั่วปิงสะบัดแรงๆ สองครั้งแต่กลับไม่หลุดพ้นจากพันธนาการของเขา เธอโมโหแล้วก้มลงกัดแขนของเขาอย่างแรง
หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้หลบ และไม่ได้ห้ามเธอ ปล่อยให้เหลิ่งรั่วปิงกัดตามอำเภอใจ ถ้าแบบนี้ระบายอารมณ์ของเธอได้ เขายินดีให้เธอกัดอีกหลายครั้ง
จนกระทั่งกลิ่นคาวเลือดเตะจมูก เหลิ่งรั่วปิงจึงคายปากที่กัดมือเขา การกระทำแบบนี้ เธอเองก็ตกใจเหมือนกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอกัดเขา แต่นี่เป็นครั้งเดียวที่เธอรู้สึกปวดใจ มองดูเลือดไหลซิบตรงข้อมือของเขา หัวใจของเธอเต้นแรง ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง
ถึงแม้ความแค้นจะเข้าควบคุมทุกความรู้สึกของเธอ แต่สุดท้ายเธอก็ยังเห็นใจผู้ชายคนนี้
เธอรู้ดี เขาไม่ผิด ผิดที่โชคชะตา
หนานกงเยี่ยยิ้มบางๆ ยกมือขึ้นเช็ดคราบเลือดที่ริมฝีปากของเธอ ”ไปกินข้าวกันเถอะ”
ครั้งนี้ เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ขัดขืน เธอเดินลงไปชั้นล่างกับเขาอย่างว่าง่าย
เหมือนอย่างที่ผ่านมา เขานั่งอยู่ข้างเธอ คอยจัดอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารให้กับเธอ แล้วคีบอาหารให้”
เห็นแผลตรงข้อมือของหนานกงเยี่ย พ่อบ้านรู้สึกปวดใจเล็กน้อย รีบเดินเข้าไปถาม ”คุณชายเยี่ยครับ ผมเอายามาทำแผลให้คุณดีไหมครับ”
หนานกงเยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ ”ไม่ต้อง พวกนายออกไปให้หมด”
สองสามีภรรยาทะเลาะกัน ไม่มีใครช่วยได้ ด้วยเหตุนี้พ่อบ้านจึงส่งสายตา บอกให้สาวใช้ออกไปให้หมด ห้องอาหารกว้างใหญ่เหลือแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น
เหลิ่งรั่วปิงหิวแล้ว อีกทั้งเมื่อกี้เธอเพิ่งกัดเขา ในใจของเธอรู้สึกปวดใจ เธอจึงไม่โวยวายอีก ก้มหน้าลงกินข้าวอย่างว่าง่าย
หนานกงเยี่ยคีบเนื้อปลาที่เอาก้างออกวางลงบนจานของเหลิ่งรั่วปิง ยิ้มอ่อนโยน ”อากาศอบอุ่นแล้ว พรุ่งนี้ผมพาคุณไปเที่ยวที่ทะเลดีไหมครับ”
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้เงยหน้าขึ้น แววตานิ่งเฉย ”ฉันไม่คิดว่าเราควรจะไปเที่ยวด้วยกันนะคะ”
หนานกงเยี่ยไม่โกรธ เขาคีบซี่โครงไปวางบนจานของเหลิ่งรั่วปิง ”แล้วคุณมีอะไรอยากทำไหม ผมทำเป็นเพื่อนคุณ”
“สิ่งที่ฉันอยากทำที่สุด คือไปจากคุณ ตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลหนานกง”
หนานกงเยี่ยเงียบ เขายังคงไม่โกรธ ”รออีกสองสามวัน หลังจากก่วนอวี้ออกจากโรงพยาบาล ผมจะสั่งให้เขาจัดการเรื่องโอนทรัพย์สิน คุณแค่เซ็นชื่อก็พอแล้ว”
เหลิ่งรั่วปิงวางตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างแรง ”คุณหนานกงเยี่ย คุณคิดว่าการโอนทรัพย์สินทั้งหมดมาให้ฉัน ก็ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นได้เหรอคะ คุณคิดว่าการทำแบบนี้ชดใช้ชีวิตของพ่อฉันได้ ใช่ไหมคะ”
“ผมไม่ได้หมายความแบบนี้ ผมแค่อยากชดใช้ให้คุณบ้าง”
“ชดใช้?” เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะเย็นยะเยือก ”เงินของตระกูลหนานกงมีอะไรดี คุณคิดว่าฉันจะอยากไดเหรอคะ ถ้าอยากจะชดใช้ก็ชดใช้ด้วยชีวิต!”
พูดถึงชีวิตอีกแล้ว เขาไม่อยากใช้ปืนในการบีบบังคับเธออีก
หนานกงเยี่ยพยายามฝืนยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ”พวกเรากินข้าวกันก่อนดีไหมครับ”
เหลิ่งรั่วปิงรู้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เธอก็เปลี่ยนเขาไม่ได้ ในทางเดียวกัน เขาเองก็เปลี่ยนเธอไม่ได้เช่นกัน ดังนั้น พูดไปก็ไร้ประโยชน์
เธอก้มหน้าลง กินอาหารในจานจนหมดอย่างรวดเร็ว วางตะเกียบ แล้วเดินขึ้นห้องตามลำพัง
มองดูที่นั่งว่างเปล่า หนานกงเยี่ยนิ่งเงียบ จนกระทั่งอาหารเย็นชืด เขาจึงค่อยๆ กินทีละคำ
“คุณชายเยี่ย?” พ่อบ้านเดินเข้ามาในห้องอาหารเงียบๆ
หนานกงเยี่ยเงยหน้าขึ้น ”มีธุระอะไร”
พ่อบ้านลังเลพักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมพูด ”คุณชายเยี่ยครับ ผมรู้ดี ด้วยฐานะของผมแล้ว ผมไม่ควรพูด แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะพูดอะไรสักหน่อย”
หนานกงเยี่ยพยักหน้า อนุญาตให้พ่อบ้านพูด เขารู้ดี พ่อบ้านไม่ได้มีเจตนาร้าย เขาจงรักภักดีกับตน พ่อบ้านคนนี้เคยเป็นคนสนิทของแม่ เห็นตนตั้งแต่เล็ก
“ถึงแม้ผมจะไม่รู้ คุณชายกับคุณผู้หญิงมีปัญหาอะไรกัน แต่ดูจากเรื่องที่เกิดขึ้น คงไม่ใช่เรื่องเล็ก ผมอาบน้ำร้อนมาก่อน สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือ อยากจะรั้งผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ วิธีที่ดีที่สุดคือมีลูกครับ”
ลูก?
ติ๊ง!
น้ำใสหยดลงในทะเลสาบ เกิดเสียงติ๊งดังขึ้น ตามด้วยระลอกน้ำ
จริงหรือ ถ้าหากพวกเขามีลูกด้วยกันสักคน เธอก็จะทิ้งความแค้นที่มี แล้วอยู่กับเขา?
หนานกงเยี่ยหันไปถามพ่อบ้าน ”ลูกสามารถปลดเปลื้องความแค้นทั้งหมดได้หรอ”
พ่อบ้านพยักหน้า ”ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่แข็งกระด้างแค่ไหน ล้วนมีสัญชาตญาณความเป็นแม่ เมื่อมีลูกจะกลายเป็นผู้หญิงอ่อนโยน พูดได้ว่า ลูกปลดเปลื้องความแค้นทุกอย่างในใจของผู้หญิงได้ เพื่อลูก เธอทิ้งทิฐิของตนลงได้
พ่อบ้านพูดต่อ ”คุณชายยังจำแม่ของคุณผู้หญิงใหญ่ได้ไหมครับ ความเป็นจริงคุณผู้หญิงใหญ่ไม่ได้รักคุณท่านมาโดยตลอด ตอนที่คุณผู้หญิงแต่งงานเข้ามาในตระกูลหนานกง เธอต้องทนกับการดูถูกมากมาย ความรักของหญิงสาวที่มีต่อเจ้าชาย ได้ถูกคุณท่านทำลายลงช้าๆ จนหมดไป คุณผู้หญิงใหญ่คับแค้นใจ เธอเคยอยากจะฆ่าคุณท่านเพื่อชดใช้กับการดูถูกที่ได้รับ แต่ตอนที่คุณผู้หญิงกำลังคิดจะแก้แค้น เธอกลับตั้งครรภ์”
“ทุกครั้งที่คุณผู้หญิงใหญ่คิดถึงชีวิตน้อยๆ ในครรภ์ เธอรู้สึกเหมือนแสงแห่งความสุขกำลังสาดส่องมาที่เธอ นำพาความคับแค้นให้จางหายไป”
“สุดท้าย คุณผู้หญิงใหญ่เลือกที่จะรักคุณท่าน รักพ่อของลูกในท้อง เพราะคุณผู้หญิงกับคุณท่านมีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน”
เสียงของหนานกงเยี่ยสั่นเทา ”ดังนั้น แม่ก็เลยเลือกที่จะอดทน ไม่ถือสาที่พ่อเลี้ยงผู้หญิงคนอื่นไว้ด้านนอก ไม่ถือสาความเย็นชาที่พ่อทำกับแม่ รักเดียวใจเดียว?”
พ่อบ้านพยักหน้า ”ครับ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการมาของคุณชายเยี่ย”
หนานกงเยี่ยกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
มีลูกกับเธอสักคน เป็นสิ่งที่เขาปรารถนามาโดยตลอด แต่ว่า ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เธอจะยอมมีลูกกับเขาได้อย่างไร เขาบีบบังคับเธอไม่ได้
ถ้ามีลูกสักคน เธอยอมใช้ชีวิตกับเขา เขาจะมอบความรักที่ดีที่สุดในโลกให้กับเธอ
เมื่อเห็นหนานกงเยี่ยกำลังครุ่นคิด พ่อบ้านเดินถอยออกไปเงียบๆ
หลังจากผ่านไปนานพักใหญ่ หนานกงเยี่ยลุกขึ้น เดินขึ้นชั้นบน เปิดประตูห้องนอน