ตอนที่ 203 เข้าหลังวัดไม่ได้

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ถ้าบอกว่าซ่อนของ เจ้าสามตัวนี้ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญ หมาป่าขุดหลุม ลิงขึ้นไปบนคาน กระรอกมุดโพรง…เวลานี้กองกางเกงในในห้องลอยเต็มฟ้า ชุดชั้นในซ่อนตามที่ต่างๆ กุฏิเล็กมาก เจ้าสามตัวนี้จึงไปทำกันที่หลังวัด

แต่ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าหลังวัดใกล้จะขึ้นสวรรค์กันแล้ว เขายิ้มเปิดประตูใหญ่วัด ประนมสองมือ “อมิตาพุทธ สีกา มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”

“ไม่มีธุระก็มาไม่ได้เหรอคะ?” หลี่เสวี่ยอิงทำหน้าฉันมาแล้วคุณจะทำไม

ฟางเจิ้งจะพูดอะไรได้อีก? จะให้ตบเธอออกไป? เลยเอียงตัวกล่าว “ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าสีกาจะจุดธูปเชิญด้านในอุโบสถ ถ้าไม่มีอะไรอาตมาขอตัวก่อน” ฟางเจิ้งไม่วางใจข้างหลังวัดจริงๆ แม้เจ้าสามตัวนั้นจะปราดเปรื่อง แต่ก็สร้างปัญญาไม่น้อย

หลี่เสวี่ยอิงยิ้มแห้งๆ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง พูดจริงๆ นะ ฉันมาหลบคนน่ะ”

“หลบคน?” ฟางเจิ้งงงงัน แม้ไม่รู้เรื่องราวข้างนอก แต่พอเข้าไปในกองถ่าย ได้สัมผัสหนังเรื่องล่มเมืองว่าเป็นยังไง แถมยังรู้ตำแหน่งของหลี่เสวี่ยอิงว่าไม่ธรรมดาแค่ไหนแล้ว ผู้หญิงแบบนี้จะมีปัญญาได้เหรอ?

“ใช่ค่ะ เฮ้อ…ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อคืนวานกองถ่ายพวกเราถูกขโมย” หลี่เสวี่ยอิงถอนหายใจ

ฟางเจิ้งใจสั่น ถาม “สีกาถูกขโมย?”

หลี่เสวี่ยอิงยิ้มแห้งๆ “ค่ะ”

ฟางเจิ้งมองหลี่เสวี่ยอิงที่สวยหยดย้อยตรงหน้าพลางนึกถึงชุดชั้นในกองนั้นบนเตียง เลือดวัยรุ่นสูบฉีด หัวแทบจะกลายเป็นไข่พะโล้ รีบสวดมนต์เงียบๆ เบี่ยงความคิดไปถึงสงบลง

หลี่เสวี่ยอิงไม่รู้ว่าตรงหน้านี่ต่างหากที่เป็นหัวหน้าขโมย จึงถอนหายใจเศร้าๆ “ข้างนอกวุ่นวายจนว้าวุ่นใจไปหมด ฉันมาหลบหาความสงบ ได้ไหมคะ?”

ฟางเจิ้งอยากบอกมากว่า ‘ไม่ได้ ออกไป!’

แต่ถ้าเอ่ยออกไปอาจจะเผยพิรุธ ได้แต่ฝืนยิ้ม “อย่างนี้เอง ถ้าอย่างนั้นสีกาเชิญตามสบาย อาตมาขอตัวก่อน”

“ค่ะ ฉันจะพักสักเดี๋ยว ไม่รบกวนไต้ซือหรอกค่ะ” หลี่เสวี่ยอิงพยักหน้า

ฟางเจิ้งกำลังจะไป ดวงตาพลันเบิกโต เห็นบนกำแพงข้างหลังหลี่เสวี่ยอิงมีกระรอกตัวหนึ่งถือกางเกงในสีขาววิ่งผ่านไป อ้อมจะเข้าอุโบสถ! ฟางเจิ้งเหงื่อแตกตรงหน้าผาก นี่มันจังหวะจะฆ่าเขาชัดๆ!

“หลวงพี่ฟางเจิ้ง เป็นอะไรคะ?” หลี่เสวี่ยอิงถามด้วยความแปลกใจ

ฟางเจิ้งพยายามสงบลง กล่าว “ไม่มีอะไร อาตมาไปทำความสะอาดอุโบสถก่อน”

พูดจบก็รีบเข้าไปในอุโบสถ พอเข้ามาก็เห็นกระรอกอยู่บนคาน กำลังกระดกก้นซ่อนบางอย่าง

ฟางเจิ้งหน้าเขียวปัด ซ่อนกางเกงในในอุโบสถเนี่ยนะ กระรอกโง่นี่คิดได้ยังไง? แต่จะต่อว่าใส่ข้างหลังหลี่เสวี่ยอิงไม่ได้ ได้แต่อดกลั้นไว้ ขณะเดียวกันยังส่งสายตาให้ก้นอ้วนๆ ของกระรอกตลอด น่าเสียดายตรงก้นกระรอกไม่มีตามองเห็น

“หลวงพี่ฟางเจิ้ง นี่ต้นโพธิ์เหรอคะ?” หลี่เสวี่ยอิงมองต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่มพลางรู้สึกแปลกใจมาก เป็นครั้งแรกที่มองแล้วเต็มไปด้วยความฉงน ต้นโพธิ์ทางใต้มีชีวิตอยู่ทางเหนือ ที่แปลกกว่านั้นคือแตกกิ่งออกใบในฤดูหนาว…มันต้านหนาวได้แบบนี้ ต้นไม้ทางภาคเหนือยังอาย เพื่อความแน่ใจว่าตนมองไม่ผิด เธอเลยค้นหาข้อมูลเป็นพิเศษถึงออกปากถามกันขายหน้า

ฟางเจิ้งหันกลับมา “ใช่ ต้นโพธิ์ ตอนนั้นโยมท่านหนึ่งถวายให้ มันตายมาหลายปีแล้ว ปีก่อนดันฟื้นกลับมา ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ แต่แตกกิ่งออกใบในหน้าหนาวแบบนี้ มันเป็นต้นไม้รนหาที่ตายน่ะ”

“ฮ่าๆ…” หลี่เสวี่ยอิงหัวเราะคำพูดฟางเจิ้ง ยิ้มว่า “ถ้าเป็นต้นโพธิ์จริงๆ ก็คงเป็นปาฏิหาริย์ แตกกิ่งออกใบในหน้าหนาวทางเหนือ แถมบนเขาสูงอีก จึ๊ๆ…หลวงพี่ฟางเจิ้ง ด้านบนมีกระถางดอกไม้ด้วยเหรอคะ?”

“เป็นรังกระรอกน่ะ” ฟางเจิ้งพูดจบพลันนึกอะไรออก กระรอกบ้านั่นคงไม่ซ่อนของในรังหรอกนะ?

ขณะเดียวกันกระรอกบนคานตัวสั่น หันกลับมาโดยพลัน มองฟางเจิ้งพลางยักคิ้วหลิ่วตา ร้องจี๊ดๆ “ในรังฉันมีอันหนึ่ง”

ฟางเจิ้งแทบจะกระอักเลือด นี่กะจะฆ่าเขาตายจริงๆ!

ตอนนี้เองหลี่เสวี่ยอิงพูด “ฉันปีนขึ้นไปดูได้ไหมคะ? รังน่าสนใจ นี่เจ้ากระรอกอยู่ข้างในไหม?”

ฟางเจิ้งตกใจสะดุ้ง รีบเดินออกมา ประนมสองมือ “อมิตาพุทธ สีกา ต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพุทธศาสนา ไม่ควรปีน”

หลี่เสวี่ยอิงได้ยินดังนั้นก็แลบลิ้น พูดยิ้มๆ “เอาเถอะ ฉันก็พูดไปอย่างนั้นเอง”

ฟางเจิ้งถอนหายใจโล่งอก ถ้าจะขึ้นไปจริงๆ ฟางเจิ้งน่าจะร้องไห้

“หลวงพี่ฟางเจิ้ง ฉันไปดูหลังวัดได้ไหมคะ?” หลี่เสวี่ยอิงอยากรู้อยากเห็นในตัวฟางเจิ้งจริงๆ เอกลักษณ์เฉพาะของเขาไม่ธรรมดา ที่สำคัญที่สุดคือเขาเป็นผู้ชายคนแรกที่แย่งซีนจากเธอทั้งหมดในฉากตลอดหลายปีมานี้! เธออยากรู้มากว่าสภาพแวดล้อมแบบไหนถึงบ่มเพาะดอกไม้มหัศจรรย์แบบนี้ออกมาได้! สวดมนต์ให้เธอฟังทั้งคืนได้ ฟังไม่มีเบื่อ การแสดงก็ดีจนเธอเสียความมั่นใจ…

ฟางเจิ้งคิดในใจ ‘กลัวอะไรได้อย่างนั้นจริงๆ โว้ย เฮ้อ’

ฟางเจิ้งตอบ “อมิตาพุทธ สีกา หลังวัดเป็นที่พักของอาตมา ไม่เปิดให้คนนอก”

“อย่างนั้นเองเหรอ น่าเสียดายจัง หืม? หมาป่าของท่านนี่? ชาวบ้านบอกว่าเป็นหมาป่า ฉันไปดูมันได้ไหม?” หลี่เสวี่ยอิงเห็นหางใหญ่ข้างหลังวัด เห็นดินกระจุยกระจายใต้คาง เห็นได้ว่ากำลังขุดอะไรอยู่

ฟางเจิ้งอยากจะเตะก้นหมาป่าบ้านี่สักที แกขุดหลุมฝังของก็หาที่ดีๆ ไม่ได้เรอะ? แต่ปากกลับพูดไปว่า “อาตมาจะไปเรียกมันให้ สีการอเดี๋ยว”

พูดจบ วินาทีที่ฟางเจิ้งหมุนตัวกลับใบหน้าพลันเขียวปัด อาตมาจะผิดศีลฆ่าสัตว์!

แต่ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง ฟางเจิ้งรีบหันไปมอง เห็นหลี่เสวี่ยอิงเดินตามมาเงียบๆ พอถูกพบหลี่เสวี่ยอิงหน้าแดง แบมือออก “ฉันก็แค่อยากดูนี่…ไม่ได้จริงๆ เหรอ?”

ฟางเจิ้งยิ้มแห้งๆ “สีกา นี่คือที่พักของอาตมา ไม่เหมาะจะให้สีกาเข้าไป”

“ไม่เป็นไรค่ะ ท่านมองว่าฉันเป็นผู้ชายแล้วกัน ดูฉันไว้ผมสั้น พ่อแม่ฉันมองว่าฉันเป็นผู้ชายมาตลอด เฮ้ย หมานั่นออกมาแล้ว” หลี่เสวี่ยอิงพูด

ฟางเจิ้งหันไป เสียงรองเท้าส้นสูงดังขึ้นตึกๆๆ มีลมหอมๆ ผ่านข้างกาย เขาตกใจจนยกเท้าถีบก้นหมาไปทีหนึ่ง ไม่ว่ายังไงก็จะให้หลี่เสวี่ยอิงเห็นของพวกนั้นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เขากระโดดไปในแม่น้ำหวงเหอก็อธิบายไม่ขึ้น!

หมาป่าเดียวดายเฮ่าทีหนึ่งแล้วกระโดดขึ้นมา หันหน้ามาด้วยหน้ามึนงง “เจ้าอาวาส นายเตะฉันทำไม? ขุดหลุมฉี่ไม่ได้รึไง? นายเตะฉันฉี่เปื้อนขาหมดเลย ต้องกลั้นหายใจอีกเนี่ย!”

ฟางเจิ้งเห็นหลุมชื้นๆ จึงถอนหายใจโล่งอก

เขาไม่สนหมาป่าเดียวดาย แต่พูดขึ้น “สีการะวังหน่อย หมาป่านี่ดุร้ายมาก”