บทที่ 113 หลิงอู๋

“แหวะ น่าขยะแขยงเป็นบ้า” ไป๋ชินหยุนรู้สึกอยากอาเจียนออกมาแล้ว “เจ้าแกะดำกล้าพูดถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?”

“เจ้ามั่นใจว่าตนเองจะชนะแน่นอนใช่หรือไม่?” เฉาพั่วเถียนกวาดตามองหน้าหลินเป่ยเฉิน พูดว่า “ดูเหมือนเจ้าจะยโสโอหังเกินกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เยอะทีเดียว”

“ฮ่าฮ่า ข้าว่าตัวข้าเองยโสแล้วนะ ไม่นึกเลยว่าจะมีลูกเต่าน้อยในเมืองบ้านนอกโอหังยิ่งกว่าข้าเสียอีก” เสว่เหยียน เด็กหนุ่มผมแดงหน้าเหลี่ยมหัวเราะในลำคอ

“เอื๊อก…”

เด็กหนุ่มร่างอ้วนที่อ่านคัมภีร์ไปพรางรับประทานอาหารไปพลางส่งเสียงเรอออกมา ตอนที่ได้ยินหลินเป่ยเฉินบอกว่ายินดีจะเปลือยกายยืนกลับหัว เพราะเมื่อนึกภาพตามแล้ว เขาก็แทบอยากจะคายอาหารในปากทิ้งทันที

ตงฟางจัน ซ้งเชวอี้ ซ้งชิงเฟิง หมิงลั่วเถียน หลิวเหยียนเว่ย เซี่ยหยุนหรงและมือกระบี่ดาวรุ่งคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงให้กับความมั่นใจของเจ้าแกะดำ

“ความเร็วในการอ่านระดับความพิวเตอร์ควอนตั้ม?” เฒ่าทะเลทวนคำด้วยความไม่เข้าใจ “มันหมายถึงสิ่งใดกันหรือ?”

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “มันเป็นเคล็ดวิชาที่ช่วยเพิ่มพูนความฉลาดของสติปัญญาน่ะขอรับ”

เมื่ออยู่ในโลกจอมยุทธ์ใบนี้ หลินเป่ยเฉินก็ไม่ต้องกลัวว่าความลับจะแตกเพราะใช้คำศัพท์วิทยาศาสตร์แน่นอน

“อย่างนี้นี่เอง” เฒ่าทะเลทำสีหน้าเหมือนเข้าใจ “ลืมเรื่องถ่ายทอดสดไปได้เลย การถ่ายทอดสดแต่ละครั้งต้องใช้พลังลมปราณจำนวนมหาศาล ไม่ว่าเจ้าหรือข้า ต่างก็รับไม่ไหวแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครอยากเห็นเจ้าเปลือยกายสักหน่อย เอาเถอะ…ในเมื่อเจ้ามีความมั่นใจ ข้าจะรอดูก็แล้วกัน เมื่อหมดช่วงเวลา 2 ก้านธูป เราจะได้รู้กันว่าเจ้าเป็นดั่งเช่นที่ปากพูดจริงไหม”

“ได้เลยขอรับ”

หลินเป่ยเฉินหมุนตัวเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของตนเอง

แต่ในใจกำลังคิดสงสัยว่า “ที่โลกนี้มันถ่ายทอดสดได้ด้วยเหรอ?”

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็รินเครื่องดื่มใส่แก้วด้วยความสบายอกสบายใจ เพียงไม่นานทุกคนก็ได้ยินเสียงดังปัง เมื่อหันไปดูจึงรู้ว่าหลินเป่ยเฉินฟุบหลับคาโต๊ะอาหาร กำลังส่งเสียงกรนออกมาเสียแล้ว

“เจ้าแกะดำ…กำลังหลับอย่างนั้นหรือ? นี่ยอมรับความจริงไม่ได้จนต้องหนีเข้าโลกความฝันเลยหรือไง มันทำอะไรของมันกันนะ?” ฉู่เหินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง “หลินเป่ยเฉิน อย่าทำเป็นเล่นให้ข้าใจหายได้ไหม ตอนนี้เจ้าคือความหวังของสถานศึกษากระบี่ที่สามเชียวนะ อย่าว่าแต่จะแกล้งหลับเลย ต่อให้เจ้าแกล้งตายมันก็ไม่ทันการณ์แล้ว”

แต่ในขณะเดียวกันนั้น ดวงตาของติงซานฉือก็เป็นประกายแวววาว ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก “นอนหลับแล้ว เจ้าลูกเต่าน้อยนอนหลับแล้ว! แม้แต่งานเลี้ยงที่เสียงดังขนาดนี้ก็ยังหลับได้ลง ใช่แล้ว ไม่มีอะไรที่ข้าต้องสงสัยอีกต่อไป หลินเป่ยเฉินสามารถฝึกวิชาได้ในความฝันจริงๆ”

เฒ่าทะเลถึงกับพูดอะไรไม่ออก

เป็นเพราะก่อนหน้านี้ ในใจเกิดความรู้สึกแง่ลบกับเด็กหนุ่ม ดังนั้น ชายชราจึงตัดสินใจว่าไม่ว่าผลการทดสอบจะออกมาเช่นไร เขาก็ต้องสั่งสอนบทเรียนให้หลินเป่ยเฉินได้รู้ซึ้งสักหน่อย

ไป๋ชินหยุนกำลังจะเดินกลับไปปลุกหลินเป่ยเฉิน แต่พวกของตงฟางจันก็ขยับมายืนขวางหน้าเสียก่อน

“อย่าไปแทรกแซงการฝึกวิชาของผู้อื่น” เฒ่าทะเลพูดเสียงเข้ม

ไป๋ชินหยุนพยายามอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถฝ่าวงล้อมของกลุ่มเด็กหนุ่มไปที่โต๊ะอาหารได้สำเร็จ สุดท้ายนางก็ต้องยอมแพ้ “คนเสเพล ข้าช่วยท่านได้เพียงเท่านี้ ใครใช้ให้ท่านทำตัวอวดดีมากเกินไปเล่า”

พื้นที่ด้านในคฤหาสน์จวนผู้ว่า

สนามหญ้าด้านข้างตั้งไว้ด้วยตึกขนาดเล็กที่ก่อสร้างจากหินใหญ่ บริเวณโดยรอบโอบล้อมด้วยแปลงดอกไม้ สวนหิน และสระน้ำสวยงาม

บรรยากาศเงียบสงบ

ตึกหินหลังนั้นมีด้วยกันทั้งหมด 2 ชั้น อิฐแดงและหินเขียวที่เป็นส่วนประกอบของผนัง ทำให้ตัวตึกดูงดงาม โอ่อ่า และทรงคุณค่า

แต่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นประตูทางเข้า หน้าต่าง หรือประตูบานไหนๆ กลับถูกปิดผนึกด้วยค่ายอาคม ส่งผลให้คนในตึกไม่สามารถออกมาข้างนอกได้เด็ดขาด

“ท่านป้า ปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้” หลิงเฉินส่งเสียงตะโกนออกมาจากด้านในตึก

ชินหลันอี้ หัวหน้าคณะอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่หลวง ซึ่งมีสถานะเป็นพี่สาวของฮูหยินท่านผู้ว่าการเมือง กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ริมสระน้ำ ในมือกำลังถือคันเบ็ดตกปลาที่เหลาจากไม้ไผ่ขนาดความหนาลำปล้องเท่านิ้วมือคน สีหน้าของนางเย็นยะเยียบ คล้ายกับว่าไม่ได้ยินเสียงตะโกนของเด็กสาวอย่างไรอย่างนั้น

ผิวน้ำราบเรียบราวกระจก

ปลาหางแดงตัวอ้วนพีจำนวนมากแหวกว่ายอยู่ในผืนน้ำอย่างสบายอารมณ์

“ท่านป้า ปล่อยข้าออกไปเถิด ข้าแค่อยากออกไปชมการประลอง ข้าก็เป็นมือกระบี่เหมือนกันนะ การรับชมงานประลองครั้งนี้จะช่วยมอบประสบการณ์ให้ข้าได้เยอะแน่ๆ ท่านกลัวว่าข้าจะเข้าไปหาหลินเป่ยเฉินใช่หรือไม่? อิอิ ข้าสัญญาเลยว่าจะไม่พูดคุยกับเขาเด็ดขาด ท่านตกลงหรือไม่?”

“ท่านป้าเจ้าคะ ท่านป้าเจ้าขา ข้ารักท่านป้ามากที่สุดเลย”

หลิงเฉินยืนเกาะประตูทางออก ทั้งพยายามทำตัวเหมือนเด็กน้อยก็แล้ว พยายามใช้เหตุผลก็แล้ว พยายามขอร้องก็แล้ว พยายามข่มขู่ก็แล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นผลใดๆ

นางถูกมารดาจับมาขังไว้ในตึกหินหลังนี้ตั้งแต่ตอนเช้า เพราะเด็กสาวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานประลองกระบี่

แล้วแบบนี้หลิงเฉินจะทนอยู่เฉยได้อย่างไร?

แต่ไม่ว่านางจะส่งเสียงตะโกนดังขนาดไหน ชินหลันอี้ก็ไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย

สุดท้าย เด็กสาวก็ต้องคำรามออกมาเสียงดังด้วยความฉุนเฉียวว่า “ท่านป้า ข้าทนอยู่ในนี้ไม่ได้อีกแล้ว ถ้าท่านไม่ปล่อยข้าไป…ขะ ขะ ข้า…ข้าจะพังประตูออกไปเอง”

“เหลวไหล”

นั่นเอง ชินหลันอี้ถึงได้วางเบ็ดตกปลาในมือลง ลุกขึ้นยืนและเดินกลับไปหยุดอยู่หน้าประตู “เฉินเอ๋อร์ เจ้าก็รู้จักตัวเองดีกว่าใคร คืนนี้เป็นงานสำคัญที่มือกระบี่ชื่อดังจากเมืองใหญ่ๆ มารวมตัวกันมากมาย ที่มารดาเจ้าขังเจ้าไว้ในนี้ ก็เพื่อผลดีต่อตัวเจ้าเอง”

“เพื่อผลดีของตัวข้าเองเนี่ยนะ? ท่านแม่กำลังกักบริเวณข้าต่างหาก” หลิงเฉินโวยวายด้วยความฉุนโกรธ “ข้ารู้ว่าท่านแม่กังวลเรื่องอะไร แต่อย่างน้อยท่านแม่ก็ควรเชื่อใจลูกสาวตัวเองหน่อยสิ ข้าไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้วนะ”

“ในสายตาของบิดามารดา เจ้ายังคงเป็นเด็กอยู่เสมอ”

ชินหลันอี้ส่ายหน้าดิก

แต่ก่อนที่เสียงของนางจะจางหายไป ทันใดนั้น หญิงวัยกลางคนก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง นางหันขวับไปมองทางด้านหลังและตะเบ็งเสียงว่า “นั่นใคร? แสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้”

ทันใดนั้น ร่างของคนผู้หนึ่งก็ไถลลงจากกำแพง ทิ้งตัวมายืนอยู่ข้างสระน้ำ

เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณ 17 – 18 ปี สวมใส่ชุดเครื่องแบบนายทหารของจักรวรรดิเป่ยไห่ ร่างกายสูงใหญ่ล่ำสัน ผิวสีน้ำตาลเข้มทำให้ดูน่าเกรงขามมากยิ่งกว่าเดิม ผมของเขาสีดำขลับยาวสลวย หน้าตาหล่อเหลาละม้ายคล้ายผู้ว่าการหลิงจุนเซวียนอยู่หลายส่วน

“โฮะๆ ท่านป้าเห็นข้าน้อยด้วยหรือขอรับ?” เด็กหนุ่มถามพร้อมกับยิ้มกว้าง

“พี่รองใช่ไหม?” หลิงเฉินอุทานออกมาด้วยความดีใจ “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ชินหลันอี้มีสีหน้าอ่อนโยนขึ้นมาทันทีขณะถามว่า “หลิงอู๋ เจ้าควรอยู่ที่ชายแดนเขตเหนือไม่ใช่หรือ? แล้วกลับมาที่นี่ทำไม?”

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาร่างกายล่ำสันผู้นี้ มีนามว่าหลิงอู๋ เขาคือบุตรชายคนที่สองของผู้ว่าการเมือง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายทหารดาวรุ่งพุ่งแรงประจำกองทัพรับใช้ราชวงศ์ เมื่อดูจากความสามารถของเด็กหนุ่มแล้ว ในอนาคตจะต้องเป็นหนึ่งในสิบแม่ทัพใหญ่ประจำจักรวรรดิแน่นอน

“ข้าน้อยกลับมาทำภารกิจขอรับ”

หลิงอู๋เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “เมื่อสักครู่นี้ ข้าน้อยอุตส่าห์ระวังตัวแทบตาย แต่ก็ยังถูกท่านป้าสังเกตเห็นจนได้”

ชินหลันอี้ตอบว่า “เจ้าใช้วิธีเดียวกับพวกทรชนข้างถนน เจ้าตัวแสบ ในเมื่อกลับบ้านแล้ว แทนที่จะแวะมาหาน้องสาว ทำไมไม่ไปคำนับบิดามารดาก่อน?”

“อิอิ พี่รองน่ารักที่สุดในโลกเลย” หลิงเฉินรีบส่งเสียงด้วยความตื่นเต้น

สำหรับนางแล้ว พี่ใหญ่กับพี่รองคือวีรบุรุษประจำใจ เป็นคนที่นางเคารพนับถือ และยินดียืนหยัดเคียงข้างไม่ว่าสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม

“น้องเล็ก เจ้าถูกท่านแม่จับขังอีกแล้ว คราวนี้ไปทำผิดอะไรมาอีก?” หลิงอู๋ถามด้วยความสงสัย