เช้าวันถัดมา
เบเจอร์พาเซรัลผู้เป็นภริยา และลาลาเน่กับเบเลซักเข้าไปยังห้องทำงานของเจ้าตระกูล
เบเจอร์เดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของเจ้าตระกูลอย่างเชื่องช้า ราวกับตั้งใจจะดื่มด่ำกับช่วงเวลานี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด เขากระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ หัวเราะเสียงดังลั่น
“นี่สินะ ความรู้สึกนี้นี่เอง!”
ช่วงเวลาที่เขาปรารถนาและโหยหามาโดยตลอด คืบคลานเข้ามาหาเขาเร็วกว่าที่คิดไว้เสียอีก
ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ตำแหน่งชั่วคราว กินระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนก็ตาม แต่เขาไม่สนใจหรอก
การได้สัมผัสรสชาติของตำแหน่งที่วันหนึ่งมันจะกลายเป็นของตนเช่นนี้ ช่างน่าพึงพอใจจริงๆ
“ยินดีด้วยนะคะ ที่รัก”
เซรัลโอบไหล่ของเบเจอร์อย่างอ่อนโยนในขณะที่พูดขึ้น
“เรื่องที่ท่านพ่อหมดสติไป ไม่นึกเลยว่าเรื่องร้ายจะเปลี่ยนกลายเป็นโชคดีแบบนี้นะคะเนี่ย”
“นั่นน่ะสิ สวรรค์ต้องช่วยเหลือข้าไม่ผิดแน่”
“บางทีท่านปู่อาจจะถอยไปจากตำแหน่งตลอดกาลเลยก็ได้ไม่ใช่หรือครับ”
เบเลซักเอ่ยแทรกขึ้น
เบเจอร์ส่งสายตามองไปยังบุตรชายของตน ก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น
“จะให้คงอยู่ตลอดไปคงไม่ได้หรอก ท่านพ่อเองก็อายุมากแล้ว เมื่อถึงเวลาก็ย่อมต้องอยากพักใช้เวลาที่เหลืออย่างผ่อนคลายเช่นกัน”
ในตอนนั้นเองสายตาของเบเจอร์ก็พลันสังเกตเห็นลาลาเน่ที่กำลังยืนทำหน้าไม่ค่อยพอใจนัก
ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน นางเริ่มสนิทสนมกับฟีเรนเทียมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงนี้ก็เอาแต่แสดงพฤติกรรมที่เขาไม่ค่อยจะพอใจเสียเท่าไหร่นัก
“เช่นนั้นเจ้าสองคนก็ออกไปก่อนเถอะ”
เบเจอร์ไม่อยากให้สิ่งใดมาทำลายช่วงเวลาอันแสนสุขของตน เขาจึงออกปากไล่เบเลซักกับลาลาเน่ออกไปจากห้อง
เมื่อถูกบิดาไล่ เบเลซักก็เบ้ปากด้วยความแง่งอน ยังไงก็ใกล้ถึงเวลาที่อาจารย์สอนฟันดาบจะมาถึงแล้ว เขาจึงยอมออกไปจากห้องทำงานอย่างว่าง่าย
และแสยะยิ้มพลางพูดขึ้น
“ได้ยินว่าฟีเรนเทีย นังนั่นเจ็บหนักเลยสินะหึ สมน้ำหน้า”
หลังจากเกือบกลายเป็นอาหารนกเมื่อคราวก่อน เบเลซักก็ได้แต่กัดฟันทน โดยหวังอยู่เสมอว่าสักวันเขาจะได้แก้แค้นฟีเรนเทีย
มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดนัก
เรื่องที่เขากลัวนกมันเป็นความลับที่ไม่มีใครรู้เลยสักคนชัดๆ
แล้วนังนั่นไปรู้เรื่องนั้นมาได้ยังไงกัน
ในระหว่างที่เขาลอบวางแผน ตั้งใจว่าหากสบโอกาสจนทำให้นังนั่นหวาดกลัวได้แล้วละก็ เขาจะต้องจัดการเค้นเรื่องนั้นออกมาให้ได้เป็นอย่างแรก กลับได้ยินข่าวดีขึ้นมาเสียก่อน
ฟีเรนเทียช่วยท่านปู่เอาไว้จนกลิ้งตกบันได
มีข่าวลือกระทั่งว่าเลือดสาดกระจายไปทั่ว จนขนาดข้ารับใช้ที่ไปทำความสะอาดบริเวณนั้นยังต้องร้องไห้โฮเสียงดังเลยทีเดียว
“สภาพนั้นข้าควรได้เห็นแท้ๆ !”
ทำไมเรื่องสนุกแบบนั้นต้องเกิดขึ้นในวันที่เขาเข้าวังด้วยนะ
เบเลซักยิ้มเจ้าเล่ห์
“ในเมื่อขยับไม่ได้อีกพักใหญ่ก็ถือว่าดี…”
“เบเลซัก! ”
จู่ๆ ก็มีเสียงตวาดลั่นดังขึ้นจากด้านข้าง
“พะ พี่?”
เบเลซักเบิกตากว้าง เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าคนที่ตวาดเสียงดังใส่ตนจะเป็นลาลาเน่ที่เดินอยู่ข้างกายเขา
“เจ้า พูดจาแบบนั้นได้ยังไงกัน!”
ลาลาเน่กำหมัดทั้งสองข้างแน่น นางโมโหมากเสียจนใบหน้าแดงก่ำ
ตั้งแต่เกิดมา เบเลซักเพิ่งเคยเห็นพี่สาวของเขาเป็นเช่นนี้
ลาลาเน่เป็นคนที่จะไม่มีวันโมโหขนาดนั้นเด็ดขาด
“ต่อให้เกลียดเทียแค่ไหนก็เถอะ! แต่นี่เทียช่วยท่านปู่เอาไว้ ถึงได้บาดเจ็บเช่นนั้นนะ!”
นัยน์ตาของลาลาเน่ถึงกับมีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาเล็กน้อย
“ตอนนี้ก็น่าเป็นห่วงจะแย่ ไม่รู้ว่าเจ็บหนักแค่ไหน! แต่เจ้ากลับ…!”
ลาลาเน่ยกนิ้วขึ้นมาชี้ขู่เบเลซักในขณะที่เดินเข้าไปใกล้เด็กชาย
เบเลซักเผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
“ระหว่างที่เทียบาดเจ็บ ลองเจ้าเสนอหน้าไปยุ่งกับเทียสิ ถ้าเจ้าทำเช่นนั้น เบเลซัก เจ้า…”
ลาลาเน่หรี่ตาลง นางจ้องเบเลซักเขม็งในขณะที่พูดต่อ
“จบแน่”
เบเลซักพูดอะไรไม่ออก ในระหว่างที่เขาได้แต่อ้าปาก ‘พะงาบ ๆ’ ลาลาเน่ก็หมุนตัวเดินจากไปไกล ทิ้งไว้เพียงแค่สายลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่าน
* * *
พรวด!
“ท่านฟีเรนเทีย! ท่านฟีเรนเทียอยู่ที่ไหนครับ!”
เสียงประตูถูกเปิดออกอย่างแรงดังขึ้น พร้อมกับเสียงของเครย์ลีบันที่ร้องตะโกนตามหาเธออย่างร้อนรน
“ข้าอยู่นี่ค่ะ เครย์ลีบัน! ห้องนอนค่ะ!”
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังตึง ตึง โดยที่เธอยังตอบไม่ทันจบประโยค เครย์ลีบันก็มาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูห้อง
“ท่านฟีเรนเทีย!”
เครย์ลีบันวิ่งเข้ามาในห้อง ใบหน้าของเขาซีดเผือด เหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นทั่วใบหน้า
“มาแล้วหรือคะ”
เธอยกมือข้างที่เป็นปกติดีขึ้นโบกทักทายเครย์ลีบัน
“มาแล้วหรือคะท่านพี่ คุณหนูทานผลไม้อีกชิ้นนะคะ”
“อื้อ ขอบใจนะ ลอรีล”
เครย์ลีบันยืนดูท่าทางผ่อนคลายไร้กังวลของเธอ ที่กำลังนั่งกินผลไม้ที่ลอรีลช่วยหั่นให้เป็นชิ้นขนาดพอดีคำ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วถามขึ้น
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ได้ยินว่าช่วยท่านเจ้าตระกูลไว้จนกลิ้งตกจากบันได เลยรีบวิ่งมาหา…”
“กลิ้งตก? ดูเหมือนเรื่องราวเติมสีใส่ไข่ไปกันใหญ่แล้วนะเนี่ย”
“ถะ ถ้างั้นบริเวณที่บาดเจ็บ…”
“ก็เจ็บอยู่เหมือนกันค่ะ ที่ไหล่ข้างขวา แล้วก็มีแผลฉีกขาดก็อย่างที่เห็นแหละค่ะ เลยเคลื่อนไหวไม่สะดวกนัก”
“อา ว่าแล้วเชียว…”
เครย์ลีบันเดินตัวเซเข้ามาด้วยใบหน้าแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง
“แต่ไม่ได้เป็นหนักขนาดในข่าวลือหรอกนะคะ เอาละ ทานผลไม้หน่อยเถอะค่ะ”
เธอใช้ส้อมจิ้มผลไม้ขึ้นมาหนึ่งชิ้น แล้วจัดการยัดมันใส่มือของเครย์ลีบัน
เครย์ลีบันมองเธอสลับกับผลไม้ในมือไปมาอยู่ครู่หนึ่ง เขาถอนหายใจเสียงแผ่ว แล้วกัดผลไม้ชิ้นนั้นหนึ่งคำอย่างเลี่ยงไม่ได้
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่ครับ ท่านฟีเรนเทีย”
แต่ถึงยังไงก็ได้เห็นกับตาแล้วว่าเธอเป็นปกติดี เครย์ลีบันถึงได้คลายความกังวลลงไปได้บ้าง เขาถามเธอด้วยสีหน้าดีกว่าเดิมมาก
“ตอนนั้นข้ากำลังจะลงไปทานอาหารด้วยกันกับท่านปู่…”
เธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟังคร่าวๆ
เครย์ลีบันฟังเธอเงียบๆ ไม่พูดอะไร เขาพยักหน้ารับฟังเรื่องราวแล้วจึงเปิดปากพูด
“ถึงยังไงก็โล่งอกไปทีนะครับ ท่านฟีเรนเทียเองก็ไม่ได้บาดเจ็บหนักอะไร ทั้งยังค้นพบโรคของท่านเจ้าตระกูลได้เร็วแบบนี้ด้วย…”
“ทั้งสองท่านไม่กังวลกันเลยเหรอคะ”
คนที่ถามผสมเสียงถอนหายใจคือลอรีลที่เพิ่งไปปลอกผลไม้มาเพิ่มให้
“เบเจอร์คนนั้นได้เป็นรักษาการเจ้าตระกูลแท้ๆ ตอนนี้ลูกจ้างในตระกูลต่างก็ตื่นตกใจกันทั้งนั้นนะคะ แล้วทั้งสองท่านทำไมยังสงบแบบนี้ได้อีกล่ะคะ”
คำถามของลอรีลทำให้เธอกับเครย์ลีบันต้องหันไปมองหน้ากันและกัน
และเครย์ลีบันก็ตอบด้วยเสียงไม่แยแสอะไรนัก
“ข้าคิดว่าเบเจอร์ได้เป็นรักษาการเจ้าตระกูลแบบนี้ ถือว่าน่าโล่งอกแล้วละครับ”