บทที่ 190 หล่อเหลาจนน่าโมโห

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ความงดงามของสู่มิได้อยู่ที่อาภรณ์

ประโยคง่ายๆ นี้กลับแฝงไปด้วยข้อมูลมากมาย สู่อ๋องเข้าใจว่า ‘แม้นอาภรณ์จะงดงามทว่าก็ยังห่างไกลยุคที่เจริญรุ่งเรืองของรัฐสู่’

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากซ่งชูอีไม่สวมชุดหรูหราก็อาจจะทำให้ฉินกงอับอายมากขึ้นไปอีก! รัฐสู่มิได้มอบอาหารชั้นเลิศและเครื่องแต่งกายหรูหราให้กับซ่งชูอี ทว่านางก็ยังอยู่ในรัฐสู่ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าฉินสู่สองรัฐมีความแตกต่างกันมาก

เมื่อสู่อ๋อง “คิดได้” ถึงจุดนี้ ก็เลิกโน้มน้าวให้ซ่งชูอียอมรับเครื่องแต่งกายหรูหราอีกและส่งสาวใช้ไปถามด้วยความสนใจว่า – ความงามของสู่อยู่ที่ใด?

มันเป็นเพียงการเล่นละครไร้สาระเท่านั้น ซ่งชูอีก็ให้ความร่วมมือโดยกล่าวคำพูดน่าฟังสองสามคำอย่างไม่เต็มใจนัก ในเมื่ออิ๋งซื่อได้รับจดหมายยั่วยุของสู่อ๋องแล้วยังคงมาอย่างเงียบๆ ก็จะไม่สนใจเรื่องพรรค์นี้

นี่คือโอกาสที่ดีในการสังเกตโครงสร้างกองทัพรัฐสู่

ซ่งชูอีอยู่ในรัฐสู่ไม่ค่อยสะดวกนัก ทุกย่างก้าวล้วนอยู่ในสายตาของสู่อ๋อง การที่สามารถติดต่อซือหม่าชั่วตบตาผู้อื่นได้ก็ลงแรงไปไม่น้อยแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะตรวจสอบกองทัพของรัฐสู่โดยละเอียดเลย ในเมื่อบัดนี้ง่วงนอนแล้วมีคนส่งหมอนมาให้ จะให้ขัดขืนได้เยี่ยงไรเล่า?

สำหรับความอัปยศนั้น การแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการทำลายรัฐสู่

วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส

นอกพื้นที่ล่าสัตว์มีแท่นดินที่เดิมทีใช้สำหรับบูชายัญจอมเวทย์ สู่อ๋องสั่งให้คนบูรณะภายในชั่วข้ามคืนเพื่อเป็นสถานที่ “ต้อนรับ” ฉินกง แท่นดินถูกสร้างขึ้นเพื่อการสื่อสารกับเทพเจ้า จึงดูเคร่งขรึมอย่างเป็นธรรมชาติ แม้ว่าจะไม่ได้ใช้งานมาเป็นเวลานานแต่ก็ไม่ทิ้งความน่าเกรงขามเลย

สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ทิศเหนือและหันหน้าไปทางทิศใต้ สู่อ๋องประทับตรงตำแหน่งทางซ้าย ซ่งชูอีนั่งอยู่ทางขวาร่วมกับขุนนางอื่นๆ แห่งรัฐสู่

“ฉินกงเสด็จ!”

เสียงรายงานดังขึ้น ทุกคนล้วนกระหายใคร่รู้เนื่องจากได้ยินมาว่าจวินองค์ใหม่แห่งรัฐฉินอายุเพียงสิบเก้ายี่สิบปีเท่านั้น คิดว่าน่าจะยังไม่มีความน่าเกรงขามแห่งองค์จักพรรดิเท่าใด สู่อ๋องเองก็แสดงออกเช่นนี้ด้วย ผู้คนส่วนใหญ่มีความคิดที่จะดูเรื่องขำขันของฉินกง

อย่างไรก็ดี หลังจากสิ้นสุดเสียงก้องกังวาลนั้น ชายหนุ่มในชุดจีนสีดำเดินเข้ามาบนแท่นสูงที่ล้อมรอบด้วยชุดเกราะสีดำช้าๆ สู่อ๋องอดที่จะนั่งตัวตรงมิได้

ประการแรกบุคคลผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ดวงหน้าหล่อเหลาเย็นชา การก้าวเดินนั้นสงบเสงี่ยมดุจมังกรที่แหวกว่ายไปรอบๆ ก้อนเมฆและเสือที่กำลังลงจากภูเขา ความอหังการทำให้ผู้คนนับพันที่นี่กลั้นลมหายใจ มองจากภายนอกแล้วดูไม่ออกเลยว่าจะอายุเพียงยี่สิบเท่านั้น!

ที่น่าโมโหไปกว่านั้นก็คือรูปลักษณ์ของบุคคลนี้เกินกว่าที่จะเปรียบเทียบกับชูหลี่จี๋ได้! สองคนมาจากบิดาคนเดียวกัน ทว่าก่อนหน้านี้สู่อ๋องคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่สกุลอิ๋งแห่งฉินจะหน้าตาดีกันทุกคน ดังนั้นจึงไม่นึกว่าอิ๋งซื่อจวินองค์ใหม่จะน่าชื่นชมถึงเพียงนี้

ครุ่นคิดดูแล้ว สู่อ๋องก็รู้สึกว่าความสูงของตนนั้นไม่โดดเด่น หากยืนเคียงข้างอิ๋งซื่อก็จะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เสียหน้าและเสียศักดิ์ศรีแห่งรัฐสู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงนั่งอยู่บนพระที่นั่งหลักอย่างปลอดภัย มองต่ำลงมายังอิ๋งซื่อที่กำลังเดินขึ้นไปยังแท่นสูง

อิ๋งซื่อไม่สนใจอาการเสียมารยาทของสู่อ๋อง ประสานมือน้อยๆ “อิ๋งซื่อมาช้า ได้โปรดสู่อ๋องให้อภัย”

สู่อ๋องเห็นว่าอิ๋งซื่อไว้หน้าเพียงนี้ เขาก็แสดงละครอย่างเก่งกาจอีกครั้ง เผยรอยยิ้มอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง “ฉินกงเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญนั่ง”

ผู้ที่เข้าร่วมการล่าสัตว์ในครั้งนี้ล้วนเป็นกองทัพชั้นยอดของรัฐสู่ หากรวมจำนวนคนทั้งหมดแล้วก็มากถึงหนึ่งหมื่นห้าพันคน ด้วยจำนวนเช่นนี้แทบจะสามารถฆ่าสัตว์ที่บินและเดินไปมาทั้งหมดบนภูเขาตรงหน้าภายในระยะเวลาเพียงครึ่งวัน ชาวสู่ เชื่อเรื่องผีและเทพเจ้าอย่างมาก ทุกปีจะมีพิธีกรรมมากมายเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งภูเขาและสายน้ำ ไม่มีทางที่จะทำเรื่องให้เหล่าเทพเจ้าขุ่นเคือง และเนื่องด้วยภายใต้การทำนายของจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ มันจะเป็นการดีที่สุดหากทำการล่าสัตว์ภายในหนึ่งชั่วยาม

สู่อ๋องเงยหน้ากล่าวกับบ่าวรับใช้ข้างกายสองสามคำ บ่าวผู้นั้นค้อมตัวตอบรับเสียงหนึ่ง ลงจากแท่นดินเพื่อเดินไปหาซ่งชูอี “ท่านขอรับ ฝ่าบาทเชิญให้ท่านขึ้นไป”

ซ่งชูอียิ้มขมขื่นอยู่ในใจ รู้ว่าตนจะต้องเป็นมือธนูให้ผู้อื่นสักครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงทำได้เพียงลุกขึ้นเดินตามไปแล้ว

“เกรงว่าฉินกงจะไม่เข้าใจภาษาและประเพณีของสู่ จึงได้เชิญซ่งซูอีปรมาจารย์ลัทธิเต๋าแห่งรัฐข้ามาเป็นพิเศษเพื่ออธิบายให้ฉินกงฟัง” สู่อ๋องแนะนำซ่งชูอีด้วยรอยยิ้มกว้าง

อิ๋งซื่อเหลือบตาไปมองซ่งชูอีอย่างเฉยเมย ประสานมือน้อยๆ พร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ในเมื่อสู่อ๋องมีปรารถนาดี อิ๋งซื่อก็ขอบคุณแล้ว”

ในความประทับใจของซ่งชูอี อิ๋งซื่อดูเหมือนจะเกิดมาพร้อมกับใบหน้าที่เย็นชา ทว่าสู่อ๋องมิได้มองกิริยานี้ไปในทิศทางนั้น

สู่อ๋องคิดว่าอิ๋งซื่อไม่พอใจ รอยยิ้มบนใบหน้าจึงสดใสขึ้นเล็กน้อย และมิได้ถามความประสงค์ของอิ๋งซื่อ แต่ให้ซ่งชูอีนั่งถัดจากเขาโดยพลการ ส่วนจางอี๋ก็ถูกบีบออกไปด้านข้างแล้ว

อย่างไรก็ตามสู่อ๋องก็ไม่คาดคิดว่าซ่งชูอีนั้นจะหน้าหนาพอสมควร ทันทีที่นั่งลงก็เล่าถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของรัฐสู่อย่าง “เป็นเรื่องเป็นราว” อิ๋งซื่อมาพร้อมกับแผนการ แม้ว่าใบหน้าจะสงบนิ่งแต่หูกลับตั้งใจฟังคำพูดของซ่งชูอีเป็นอย่างยิ่ง ประเพณีเหล่านั้นที่ฟังดูธรรมดายิ่งอาจจะมีประโยชน์ในสงครามก็เป็นได้

เดิมทีสู่อ๋องยังต้องการถากถางอิ๋งซื่อด้วยคำพูดอีกเล็กน้อย ทว่าเมื่อเห็นท่าทางที่ไม่สะทกสะท้านของทั้งสองคนตรงหน้าแล้วก็รู้สึกขาดความสนใจในทันใดและมุ่งความสนใจไปที่กองทัพแทน

ในสนามเหลือทหารหกพันนายเพื่อฝึกซ้อม ส่วนที่เหลือขึ้นไปบนภูเขาแล้ว

ซ่งชูอีเห็นว่าการฝึกทหารกำลังจะเริ่มขึ้นจึงยืดตัวตรงและกล่าวกับสู่อ๋องทันที “ฝ่าบาท หวยจินเพิ่งเข้ารัฐสู่ได้ไม่นาน ไม่คุ้นเคยกับกองทัพ ฝ่าบาทหาผู้ที่เข้าใจด้านกองทัพอธิบายให้ฉินกงฟังดีหรือไม่?”

“เพราะข้าเลินเล่อเกินไปแล้ว” สู่อ๋องต้องการจะข่มขวัญรัฐฉินจึงมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด รีบหาผู้เชี่ยวชาญมาอธิบายเรื่องการทหารของรัฐสู่ทันที

อิ๋งซื่อเห็นว่าเขาหาผู้ที่ดูเหมือนขุนนางพลเรือนมาก็เอ่ยขึ้น “ช้าก่อน”

สู่อ๋องอึ้งไปครู่หนึ่ง เกิดความไม่พอใจเล็กน้อย “ฉินกงมีอะไรเชิญว่ามา”

ขุนนางพลเรือนสามารถพูดได้ แต่สิ่งที่พวกเขาพูดนั้นอาจไม่ถูกต้องเสียทั้งหมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อิ๋งซื่อเอ่ยถาม “ข้าอิ๋งซื่อเป็นแขก ไม่ทราบว่าสามารถเลือกผู้อธิบายด้วยตนเองได้หรือไม่?”

คำพูดนี้จะให้สู่อ๋องตอบเยี่ยงไร? พูดว่าข้าเป็นแขกก่อน หากไม่ตอบก็แสดงให้เห็นว่ารัฐสู่ของพวกเขาทั้งไร้มารยาทและทั้งแล้งน้ำใจ หากตอบรับ…ผู้ที่เขาเลือกคือขุนนางฝ่ายพลเรือนที่มีฝีปากยอดเยี่ยมที่สุดในรัฐสู่ หากอิ๋งซื่อเลือกผู้ที่ไร้วาทะศิลป์ จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่เป็นการเสียศักดิ์ศรีของรัฐหรอกหรือ?

สู่อ๋องหัวเราะเอ่ย “ขุนนางของข้าผู้นี้พูดจาคล่องแคล่ว รู้ภาษาโจวและเข้าใจการทหาร เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว”

อิ๋งซื่อเหลือบมองจางอี๋

จางอี๋เข้าใจ รีบลุกขึ้นยืนโค้งคำนับต่ำให้กับสู่อ๋อง กล่าวด้วยภาษาสู่ช้าๆ “การทหารมิได้อยู่ที่วาจา กระหม่อมเห็นความเกรียงไกรแห่งกองทัพฝ่าบาทแล้วก็รู้ว่าจะต้องมีผู้นำทัพชั้นยอด เหตุใดจึงต้องทำทุกอย่างเองด้วยเล่า? หรือว่าท่านแม่ทัพชั้นยอดของรัฐฝ่าบาทรู้จักเพียงการสู้รบทว่าไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูต?”

หัวใจของสู่อ๋องสั่นไหวและรู้สึกไม่ไว้ใจจางอี๋ ก่อนหน้านี้เขาเห็นจางอี๋ในพระราชวังครั้งหนึ่ง เห็นเขาทำงานด้วยความเงอะงะ ปากก็พูดเป็นแต่คำว่า “เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว” จึงมิได้เก็บเขาเอามาใส่ใจ ใครจะไปรู้ว่าจะเป็นผู้เก่งกาจ! คำพูดนี้เป็นการบีบบังคับกลายๆ สู่อ๋องไร้คำโต้แย้งไปชั่วขณะ

หากไม่รับปากก็จะเป็นการทำผิดต่อเหล่าแม่ทัพในราชสำนัก สงครามระหว่างปาสู่หลายปีมานี้ล้วนพึ่งเหล่าแม่ทัพในการสู้รบ และขุนนางส่วนใหญ่รับใช้สู่อ๋องเพียงผู้เดียว หากเปรียบเทียบกันแล้ว กิจการของรัฐต้องพึ่งพาท่านแม่ทัพมากกว่า ไม่อาจล่วงเกินได้ ครั้นย้อนกลับมาดู การที่อิ๋งซื่อต้องการจะเลือกผู้อธิบายด้วยตัวเองก็เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ เดิมทีเขาตั้งใจจะอวดความแข็งแกร่งของกองทหารอยู่แล้ว หากเขาขัดข้องก็จะไม่เป็นผลดีต่อหน้าตาตนเองนัก

“ฮาฮา วาจาล้ำเลิศจริงๆ” สีหน้าสู่อ๋องเปี่ยมด้วยความชื่นชม ทว่าในใจกลับเกลียดชังจางอี๋เข้าให้แล้ว “เช่นนั้นก็เชิญฉินกงเลือกเถิด”

อิ๋งซื่อหันหน้ากวาดตามองด้านล่างแท่นเล็กน้อย ดูเหมือนจะยกมือขึ้นสุ่ม “รบกวนท่านแม่ทัพท่านนั้นแล้ว”

สู่อ๋องเหลือบตา ลังเลในใจ ผู้ที่อิ๋งซื่อเลือกมีชื่อว่าถูอู้ลี่ เมื่อปีกลายจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งชนเผ่าถูอู้เพิ่งปลดปล่อยชาวภูเขาออกมา

ท่านแม่ทัพส่วนใหญ่ของรัฐสู่แทบจะมาจากชนเผ่าโบราณถูอู้ทั้งสิ้น โดยชนเผ่านี้มีชื่อเสียงในด้านการรบตั้งแต่ยุคสมัยฉานฉงแล้ว ไม่รู้ว่าตั้งแต่สมัยใดที่เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นในชนเผ่าถูอู้ แม้แต่พวกเขาเองก็ออกมาจากหุบเขาไม่ได้ ทว่าจะส่งชายหนุ่มไปยังราชสำนักทุกๆ สิบปี อีกทั้งทันทีที่บุคคลผู้นี้ออกจากหุบเขาก็ได้รับการเรียกใช้จากองค์จวินและมีส่วนร่วมในสงครามในฐานะรองแม่ทัพโดยตรง จนกระทั่งแม่ทัพใหญ่ไม่สามารถรบได้อีกต่อไปแล้วจึงจะเปลี่ยนตัวออก ภายในสิบปีนี้หากท่านแม่ทัพใหญ่โชคร้ายสิ้นชีพก็จะไม่ส่งคนอื่นออกมาเพิ่มอย่างเด็ดขาด

ท่านแม่ทัพถูอู้คนก่อนถูอู้ลี่สิ้นชีพมาได้หกปีแล้ว คนที่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพในตอนนี้เป็นเพียงคนในชนเผ่าธรรมดา

ซ่งชูอีเคยสอบถามเรื่องเหล่านี้โดยละเอียดแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจของนางรู้สึกเลือนรางว่าถูอู้ลี่เป็นกำลังต่อต้านอันยิ่งใหญ่ของรัฐสู่

ด้วยกำลังเพียงคนคนเดียวจะสามารถพลิกผันสิ่งต่างๆ ได้หรือไม่? คำตอบนั้น…ซ่งชูอีก็ไม่กล้ามั่นใจ

ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ถูอู้ลี่ก็เดินขึ้นไปบนแท่นที่นั่งแล้ว ทหารในชุดเกราะสีดำโดยรอบเกร็งโดยไม่รู้ตัวและบรรยากาศก็ดูเคร่งขรึม

แม้ว่าจางอี๋จะไม่รู้สถานะของถูอู้ลี่แต่เมื่อได้เห็นอารมณ์ลึกลับของเขา บวกกับเหมือนจะรู้สึกได้ถึงความกระหายเลือดที่อัดอั้นอยู่ในตัวเขาจางๆ เหงื่อก็อดไม่ได้ที่จะไหลออกมา ในความเป็นจริงการสุ่มเลือกนายพลก็จะพอจะทำให้เข้าใจกองทัพของรัฐสู่ได้แล้ว เขาคิดไม่ถึงว่าอิ๋งซื่อจะเลือกใบมีดคมกริบเช่นนี้ การให้บุคคลเช่นนี้เข้าใกล้มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดเลย!

สู่อ๋องเห็นว่าทันทีที่ถูอู้ลี่ปรากฏตัวก็แทบจะข่มจางอี๋และทหารในชุดเกราะสีดำไว้ได้ อดรู้สึกภาคภูมิใจมิได้และสลัดความไม่พอใจเมื่อครู่ทิ้งไป มอบหมายให้ถูอู้ชี่อธิบายให้ฉินกงฟังแทน

จางอี๋โน้มตัวเข้าไปหาอิ๋งซื่อ คั่นกลางระหว่างอิ๋งซื่อและถูอู้ลี่ “เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด ข้าน้อยจะเป็นคนแปลอยู่ข้างๆ”

“ไม่ต้อง” ถูอู้ลี่พูดภาษาโจวได้ยอดเยี่ยมมาก

“จางจื่อลงไปก่อนเถิด” อิ๋งซื่อกล่าว

จางอี๋ลังเลครู่หนึ่ง ลงไปจากแท่นดินตามพระบัญชา อิ๋งซื่อก็เป็นผู้ที่ชำนาญด้านการต่อสู้เช่นกัน หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ เขาอยู่ที่นั่นมีแต่จะเป็นภาระ มีทหารในชุดเกราะสีดำคอยอารักขาอยู่ใกล้ๆ ยังจะปลอดภัยกว่า

ซ่งชูอีชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะตามลงไปจากแท่นดิน

การเดินทางครั้งนี้อิ๋งซื่อพาขุนนางเช่นจางอี๋มาเพียงผู้เดียว ที่นั่งด้านขวาใต้แท่นว่างเปล่า ทั้งสองคนนั่งลงตรงที่นั่งที่สามารถมองเห็นทั้งการฝึกทหารและอิ๋งซื่อได้ถนัดตา

บนแท่นดิน ถูอู้ลี่อยู่ห่างจากอิ๋งซื่อเพียงครึ่งจั้งเท่านั้น เพียงการก้าวเท้ายาวๆ ก้าวเดียวก็สามารถสังหารเขาได้ ท่ามกลางลมเย็นสบายในเช้าตรู่ของต้นฤดูใบไม้ผลิ ทุกคนในกองทัพเกราะดำกลับมีชั้นเหงื่อบางๆ ซึมอยู่บนหน้าผาก

สู่อ๋องอดไม่ได้ที่จะมองไปยังอิ๋งซื่อ ไม่แน่ใจว่าอิ๋งซื่อคือลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ? หรือว่ากำลังแสดงความจริงใจต่อรัฐสู่? ไม่ว่าจะเป็นอย่างใด ความสัมพันธ์ในปัจจุบันของฉินสู่บอบบางนัก สู่อ๋องบอกกับตัวเองว่าเขาจะไม่ยอมให้แม่ทัพของรัฐฉินเข้าประชิดตัวแน่นอน! ความกล้าหาญและความมุ่งมั่นของอิ๋งซื่อเช่นนี้ เกรงว่ามีองค์จวินในปัจจุบันเพียงไม่กี่องค์ที่เทียบเคียงได้

“ฝ่าบาทกำลังคิดอย่างไรกันนะ?” จางอี๋เหมือนพูดกับตัวเองแต่ก็เหมือนถามซ่งชูอี

“ผู้ที่ชื่นชอบคนเก่งจะสามารถเพิกเฉยต่อนายทหารระดับอู้ถูลี่ได้หรือ?” ซ่งชูอีกล่าว

จางอี๋ยิ้ม แต่ละเส้นบนใบหน้านั้นดูขบขันเป็นอย่างมาก ซ่งชูอีก็อดที่จะหลุดขำมิได้

ทางนั้น เสียงตะโกนฆ่าในสนามฝึกทหารดังขึ้นฉับพลัน เสียงนั้นระเบิดขึ้นเหมือนฟ้าร้องจนทำเอาซ่งชูอีและจางอี๋สะดุ้งโหยง ทั้งสองคนรีบหันไปมองทันที การแสดงการฝึกทหารได้เริ่มขึ้นแล้ว

จางอี๋จับจ้องอยู่เป็นเวลานาน และทนไม่ไหวมองขึ้นไปยังแท่นดินอีกครั้ง แม้เขาจะรู้ว่าไม่มีอันตรายใดๆ แต่กันไว้ก็ดีกว่าแก้มิใช่หรือ?

ครั้นจางอี๋ละสายตากลับมาแล้วซ่งชูอีก็หันไปมอง ในขณะที่กำลังจะละสายตากลับมานั้น อิ๋งซื่อกลับหันหน้ามาเล็กน้อย ในแววตาราวกับมีสาระสำคัญ ทว่าเพียงแวบเดียวก็หันกลับไป