ตอนที่ 207 ชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

โจวเสาจิ่นไม่รู้จะกล่าวอะไรดี

 

 

สาเหตุที่ท่านน้าฉือเชื่อคำพูดของนาง ก็เพราะเข้าใจผิดคิดว่านางไปได้ยินบางอย่างมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่นางไม่เคยได้รับการชี้นำจากผู้ใดมาจริงๆ นางคงไม่อาจสร้างตัวละครออกมาผู้หนึ่งหรอกกระมัง

 

 

“น่าจะไม่มีเจ้าค่ะ” นางพึมพำ ได้แต่กล่าวรับปากว่า “หากมีอะไรจริงๆ ข้าจะบอกท่านน้าฉืออย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงฉือรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยเล็กน้อย

 

 

ด้วยนิสัยของโจวเสาจิ่นแล้ว เกรงว่าหากไม่ทำให้นางจนมุม นางต้องไม่ยอมเปิดปากขอความช่วยเหลืออย่างแน่นอน

 

 

เขาไม่ได้กังวลว่าโจวเสาจิ่นจะไปได้ยินอะไรมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ที่เขากังวลคือจะมีใครตั้งใจให้โจวเสาจิ่นได้ยินอะไรมากกว่า

 

 

หากเป็นโจวเจิ้น เขาไม่มีทางทำร้ายบุตรสาวของตัวเองอย่างแน่นอน

 

 

แต่ถ้าเป็นผู้อื่น เจตนาของเขาผู้นั้นคืออะไรกันแน่

 

 

เฉิงฉือครุ่นคิด พลางกล่าว “คุณหนูจูของจวนเหลียงกั๋วกงยังติดต่อกับเจ้าบ่อยๆ อยู่หรือไม่”

 

 

“ก่อนเดินทางมาเมืองหังโจวข้ายังเขียนจดหมายไปให้นางหนึ่งฉบับ” โจวเสาจิ่นกล่าวตรงไปตรงมา “รับปากว่าจะเอาหวีสับกลับไปฝากนางสักสองสามอันเจ้าค่ะ”

 

 

“แล้วซื้อหวีสับแล้วหรือ”

 

 

“ซื้อแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าว “ซื้อตอนไปตรอกชิงเหอในวันนั้น ซื้อมาสองชุด ชุดหนึ่งเป็นสรรพความงามแห่งสระน้ำ อีกชุดหนึ่งเป็นดอกไม้แห่งความสมบูรณ์พูนพร้อมเจ้าค่ะ”

 

 

สรรพความงามแห่งสระน้ำนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นลายนกเป็ดน้ำยวนยาง

 

 

ตอนนางกล่าวมีอาการขัดเขินเล็กน้อย

 

 

เฉิงฉือไม่ได้สังเกตเห็น พึมพำกล่าวว่า “รู้หรือไม่ว่าเหลียงกั๋วกงกลับจินหลิงเมื่อไร”

 

 

“ทราบเจ้าค่ะ” เรื่องนี้จูจูเคยเอ่ยถึงมาก่อน โจวเสาจิ่นกล่าว “เห็นบอกว่าจะเร่งกลับมาให้ทันก่อนเทศกาลเก้าคู่เจ้าค่ะ”

 

 

เช่นนั้นไม่น่าจะใช่จวนเหลียงกั๋วกง

 

 

เหลียงกั๋วกงกลับมาถึงจินหลิงตั้งแต่วันที่สิบเดือนแปด

 

 

ตอนที่จางจวิ้นหวาลาออกนั้นเหลียงกั๋วกงออกเดินทางแล้ว เขาไม่น่าจะได้รับข่าว

 

 

เฉิงฉือคิดถึงเรื่องที่ตนเคยรับปากโจวเสาจิ่นว่าจะไม่จี้ถามนาง จึงตัดสินใจเฝ้าดูความเป็นไปของเรื่องนี้อย่างเงียบๆ ไปก่อน

 

 

เขาลุกขึ้น พลางกล่าว “นี่ก็ดึกแล้ว เจ้าพักผ่อนเถิด! พรุ่งนี้ยังต้องไปดูปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่แม่น้ำเฉียนถังอีก”

 

 

โจวเสาจิ่นขานรับอย่างเชื่อฟัง ไปส่งเฉิงฉือออกประตู

 

 

เฉิงฉือเดินไปถึงปากประตู กลับหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน พึมพำกล่าวว่า “หากคุณหนูใหญ่ตระกูลจูเชิญเจ้าไปเล่นที่บ้าน เจ้าอย่าลืมมาบอกข้าสักหน่อย”

 

 

โจวเสาจิ่นตอบอย่างเชื่อฟังว่า “เจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงฉือยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว มองท่าทางเชื่อฟังของนางใต้แสงตะเกียง กล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “เจ้าก็ดี ข้าพูดอะไรเจ้าก็เห็นดีเห็นงามหมด ไม่กลัวว่าจะถูกคนหลอกเอาได้”

 

 

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าท่านน้าฉือหวังดีต่อข้าเจ้าค่ะ”

 

 

มั่นใจขนาดนั้นเชียว!

 

 

แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะหวังดีกับนางไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่

 

 

เฉิงฉือยกคิ้วขึ้น นัยน์ตามีแววหยันจางๆ วาบผ่าน

 

 

ท่านน้าฉือต้องคิดว่าตนกำลังทำตัวเกรงใจเขาอยู่เป็นแน่

 

 

โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ข้าทราบดี ท่านกลัวว่าหลังจากจื่อซื่อของเหลียงกั๋วกงกลับมาแล้วจะเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานกับพี่สาวเจียขึ้นมาอีก แล้วข้าจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยโดยไม่รู้ตัว…”

 

 

เฉิงฉือใจกระตุก

 

 

นางรู้ว่าตนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ!

 

 

ปกติเห็นนางมึนๆ งงๆ คิดไม่ถึงว่าในเวลาคับขันกลับไม่โง่เขลาเลยแม้แต่น้อย

 

 

แววตาของเขาเป็นประกายเล็กน้อย ถึงแม้บนใบหน้าจะยังแต้มยิ้ม แต่แววหยันนั้นกลับค่อยๆ จางหายไป สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสง่างาม

 

 

ทันใดนั้นโจวเสาจิ่นรับรู้ได้ว่าเฉิงฉือเปลี่ยนไป

 

 

ถึงแม้ยามปกติเขาจะอ่อนโยน เป็นสุภาพบุรุษ รอยยิ้มอบอุ่น สีหน้าสงบนิ่ง นิสัยสุภาพและใจกว้าง แต่นางมักจะรู้สึกว่าตนกับท่านน้าฉือยังมีระยะห่างที่นางมองไม่เห็นขวางกั้นอยู่ ประหนึ่งดวงดาราที่อยู่บนฟากฟ้า เจ้ามองเห็นมันส่องแสงระยิบระยับ เจ้ารู้ว่ามันสว่างและสุกใส แต่มันกลับอยู่ห่างไกลจากเจ้านับร้อยล้านล้านหลี่ เจ้าอยากเข้าใกล้มันแต่กลับค้นพบความจริงอันหดหู่ว่าเจ้าไม่มีทางรู้ได้เลยว่าที่ใดมีบันไดให้ปีนขึ้นไปได้บ้าง

 

 

แต่ท่านน้าฉือในเวลานี้ ดูจริงจัง เข้มงวด เคร่งขรึม เฉยชา กระทั่งแฝงความดูถูกเย้ยหยันโลกใบนี้อยู่ด้วยเล็กน้อย

 

 

นี่ต่างหากถึงจะเป็นท่านน้าฉือที่แท้จริงกระมัง

 

 

ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาอะไรไปทำให้ฟางซินถงผู้ร่ำรวยจากเจียซิงวิ่งตามเขาได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาอะไรไปก่อตั้งร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาอะไรไปบุกลานประหารได้

 

 

เหมือนกับได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยรู้ที่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านหมอกหนาหลายชั้นได้ชัดเจนแล้ว

 

 

จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวสักเท่าใด

 

 

โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกวางใจลงได้ และรู้สึกมั่นใจขึ้นมา มองเฉิงฉืออีกครั้ง ลดความประหม่าลงได้หลายส่วน

 

 

นางกล่าวอธิบายว่า “องค์ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์ให้ผู้ปกครองแคว้นและอ๋องที่ประจำที่ต่างๆ ไปเข้าเฝ้าที่เมือหลวง จวนเหลียงกั๋วกงปรารถนาให้ท่านร่วมทางไปด้วย เห็นได้ชัดว่าเหลียงกั๋วกงไม่ได้มีความสำคัญต่อองค์ฮ่องเต้นัก ตระกูลเฉิงเป็นตระกูลที่สืบทอดกันมากว่าร้อยปีของจินหลิง หากจวนเหลียงกั๋วกงดองกับตระกูลเฉิงได้ คนในแวดวงบัณฑิตส่วนใหญ่ย่อมเห็นแก่ตระกูลเฉิงที่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างใจกว้างมาเสมอ ขอเพียงไม่มีคำตำหนิจากทางการมาถึงพวกเขา พวกเขาเพียงทำตัวต้อยต่ำเข้าไว้ ต่อให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จวนเหลียงกั๋วกงย่อมไม่ได้รับผลกระทบก่อนอย่างแน่นอน…

 

 

…พี่สาวเจียจึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับดองกันด้วยการแต่งงาน…

 

 

…แต่เรื่องนี้กลับไม่เป็นผลดีต่อตระกูลเฉิงเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เพียงไม่มีผลดีเท่านั้น การดองกับจวนเหลียงกั๋วกงยังอาจเป็นเหตุให้คนบางกลุ่มในแวดวงบัณฑิตรู้สึกว่าตระกูลเฉิงประจบสอพลอ ไม่มีเกียรติภูมิของตระกูลบัณฑิต ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเฉิงเสื่อมเสีย ตระกูลเฉิงย่อมไม่มีทางตอบรับอย่างแน่นอน…

 

 

…แต่จวนเหลียงกั๋วกงก็ไม่อาจยอมแพ้ไปเช่นนี้เช่นกัน…

 

 

…คราวก่อนซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงใช้ประโยชน์จากอาจูส่งของขวัญมาให้พวกข้า ใครจะรู้ว่าครั้งนี้เขาจะทำอะไรอีกบ้าง…

 

 

…อีกทั้งพี่สาวเจียเป็นคนของจวนสาม…

 

 

…ป้าใหญ่หลูปรารถนาจะหาตระกูลดีๆ ให้พี่สาวเจียมาโดยตลอด ถึงแม้สำหรับตระกูลเฉิงแล้ว เหลียงกั๋วกงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีอะไรนัก ทว่ามันช่วยส่งเสริมสถานะของพี่สาวเจียให้สูงขึ้นได้ ท่านป้าใหญ่หลูจึงมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างคลุมเครือ ไม่ชัดเจนนัก…

 

 

…ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่จวนเหลียงกั๋วกงต้องการในครั้งนี้คือใช้ตระกูลเฉิงเป็นเกราะป้องกันตัว…

 

 

…หากท่านป้าใหญ่หลูตอบปฏิเสธไปไม่ดี หรือหากปรารถนาจะใช้ประโยชน์จากเหลียงกั๋วกงเป็นบันไดส่งเสริมสถานะของพี่สาวเจีย หากไม่ระวังแม้เพียงนิดเดียว อาจกลายเป็นความเพลี่ยงพล้ำไปได้…

 

 

…ท่านน้าฉือกังวลว่าข้าจะถูกซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงใช้ประโยชน์หรือเจ้าคะ” นางเบิกดวงตาโตสีดำมองเฉิงฉือ “ท่านวางใจเถิด ข้าไม่ถูกพวกเขาใช้ประโยชน์อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ ถ้าพวกเขาใช้ประโยชน์จากข้า หากไม่ใช่เพราะอยากจะลากจวนหลักลงน้ำก็ต้องเป็นเพราะอยากจะทำให้จวนสี่ขายหน้า ข้าไม่มีทางทำเรื่องที่เป็นโทษต่อพวกท่านอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงฉือรู้สึกปวดฟันขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

เมื่อครู่ยังรู้สึกว่าในเวลาคับขันเด็กคนนี้ก็ไม่ได้โง่เขลานักอยู่เลย แต่ใครจะรู้ว่าความคิดนี้ยังไม่ทันได้หายไปไหน นางกลับพูดอะไรโง่เขลาออกมาเสียแล้ว

 

 

จวนหลักก็ดี หรือจวนสี่ก็ดี มีใครบ้างที่เฉียบแหลมน้อยกว่าเด็กผู้นี้ นางไม่กังวลว่าตนจะถูกผู้อื่นหลอกแล้วยังช่วยนับเงินให้ผู้อื่น แต่กลับกังวลว่าผู้อื่นจะถูกหลอก!

 

 

เฉิงฉือลูบหน้าผาก น้ำเสียงแฝงความหมดอาลัยตายอยากที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ตัวอยู่หลายส่วน กล่าวขึ้นว่า “ถึงเวลานั้นเจ้าอย่าลืมมาบอกข้าก็พอ”

 

 

โจวเสาจิ่นขานรับซ้ำๆ ว่า “เจ้าค่ะ” แล้วส่งเฉิงฉือออกจากห้องไป

 

 

ชุนหว่านเข้ามาเก็บจอกชา กระซิบถามนางว่า “นายท่านสี่ว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

 

 

นัยน์ตาทั้งสองข้างของนางเป็นประกาย

 

 

นับตั้งแต่ที่เฉิงฉือจ่ายเงินซื้อเครื่องประดับกองโตให้โจวเสาจิ่นเอากลับไปฝากคนเป็นต้นมา คนข้างกายของโจวเสาจิ่นก็มองเฉิงฉือประหนึ่งมองเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยก็ไม่ปาน

 

 

โจวเสาจิ่นกลั้นยิ้มเอาไว้อย่างยากเย็น หลอกนางว่า “เจ้าอย่าหวังอะไรลมๆ แล้งๆ! ครั้งนี้นายท่านสี่มาอบรมข้าชุดใหญ่ ต่อไปให้พวกเราอย่าเห็นอะไรก็ซื้อไปหมด ทำตัวเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก!”

 

 

ชุนหว่านเบิกตาโพลง กล่าวขึ้นว่า “ต้องเป็นเพราะเรื่องที่คุณหนูรองให้คนไปเอาอิฐจากเจดีย์เหลยเฟิงทำให้นายท่านสี่รู้สึกขายหน้าแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ!” นางลดเสียงลงกล่าวว่า “ท่านไม่ได้เห็นตอนที่ซางหมัวมัวอุ้มอิฐสองก้อนนั้นเข้ามา พวกป้าๆ ที่เฝ้าประตูอยู่ต่างมองพวกเราแปลกๆ ยังคิดว่าใครสักคนในพวกเราต้องการขอบุตรด้วยเจ้าค่ะ…”

 

 

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม

 

 

นางไม่ได้เป็นคนให้คนไปเอาอิฐที่เจดีย์เหลยเฟิงเสียหน่อย เห็นๆ อยู่ว่าท่านน้าฉือเป็นคนสั่งให้คนไป

 

 

เช่นนั้นเขาจะมาอบรมตนด้วยเรื่องนี้ได้อย่างไร

 

 

***

 

 

แม่น้ำเฉียนถังเป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดของเจ้อเจียง ทางเหนือมาจากแม่น้ำซินอัน ทางใต้มาจากลำน้ำหม่าจิน ไหลผ่านหังโจว ฉวีโจว จินหวา เซ่าซิง หลีสุ่ย และไหลเข้าสู่ทะเลฝั่งตะวันออกผ่านอ่าวหังโจว แต่ส่วนที่ชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงได้นั้นมีเพียงระยะสั้นๆ ของอ่าวหังโจวไม่กี่หลี่เท่านั้น

 

 

สถานที่ที่พวกโจวเสาจิ่นไปห่างจากบ้านพักของตระกูลจงไม่ไกล ค่อนข้างเปลี่ยว แต่เมื่อยืนอยู่บนตลิ่งจะมองเห็นกระแสน้ำของแม่น้ำเฉียนถังที่ม้วนตัวเข้ามาและถอยกลับออกไปเมื่อหมดแรงได้อย่างชัดเจน ชำระล้างเม็ดทรายบริเวณตลิ่งจนสะอาดสะอ้านและราบเรียบเป็นแนวเดียวกัน

 

 

โจวเสาจิ่นที่ลงมาจากรถม้ามองตาค้าง พลางกล่าว “นี่คือกระแสน้ำขึ้นน้ำลงของแม่น้ำเฉียนถังหรือ”

 

 

น้ำในแม่น้ำนั่นกับคลื่นทะเลที่เขาผู่ถัวไม่ต่างกันมากนัก แต่น้ำขาวใสไม่เท่าที่เขาผู่ถัว

 

 

จี๋อิ๋งเองก็ดูฉงนสงสัย

 

 

ฉินจื่อผิงที่คอยกำกับบ่าวชายเคลื่อนย้ายสิ่งของอยู่กล่าวยิ้มๆ ว่า “สาเหตุที่ปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงของแม่น้ำเฉียนถังมีชื่อเสียงก็เพราะ ที่นี่กับที่อื่นมีส่วนที่ไม่เหมือนกันอยู่มาก ปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงของที่นี่อาจเป็นเพราะอากาศและกระแสน้ำที่ต่างกันทำให้เวลาในการเกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงและขนาดใหญ่เล็กของปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงไม่เหมือนกัน นายท่านสี่คำนวณดูแล้ว ปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณใกล้ๆ บ้านพักของตระกูลจงในวันนี้ตรงกับยามซื่อพอดี หลังจากที่ชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงของแม่น้ำเฉียนถังเสร็จแล้ว พวกเราจะได้กลับไปรับประทานมื้อเที่ยงพอดี หากท่านยังอยากจะชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงอีก พวกเราคงต้องไปที่เซียวซาน ที่เซียวซานจะเกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงในยามเซิน”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก “ปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงนี้เร่งดูได้ด้วยหรือ”

 

 

“ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ของโลกไปเพื่ออันใด” ไม่รู้ว่าเฉิงฉือลงมาจากรถม้าตั้งแต่เมื่อไร เดินมายืนข้างๆ พวกเขา มองแม่น้ำเฉียนถังอันกว้างไพศาลพลางกล่าวขึ้น “หากพวกเจ้ารู้สึกเบื่อ ก็เดินเล่นอยู่บริเวณริมตลิ่งไปก่อน ข้าคำนวณเวลาเกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงของแม่น้ำเฉียนถังได้ ผู้อื่นก็น่าจะคำนวณออกมาได้เช่นกัน อีกประเดี๋ยวก็น่าจะมีคนมาแล้ว ถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็ไปนั่งดื่มชาอยู่บนรถม้า รอให้ถึงเวลาเกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงแล้วค่อยลงมาก็ยังไม่สาย”

 

 

ถึงว่าการเดินทางในวันนี้พวกนางเปลี่ยนมาใช้รถม้า

 

 

โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ พยักหน้าหงึก

 

 

จี๋อิ๋งสะกิดนางให้ไปดูหาดทราย

 

 

โจวเสาจิ่นเป็นคนที่ชอบอยู่นิ่งๆ ได้ยินแล้วก็ยิ้มพลางส่ายศีรษะ กล่าวขึ้นว่า “ข้ารอให้ถึงเวลาเกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงแล้วค่อยไปดูดีกว่า”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับคะยั้นคะยอนางว่า “เจ้าก็ตามไปดูด้วยเถิด! ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็ต้องเล่นให้สนุกถึงจะถูก ข้ามีสื่อมามาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง”

 

 

โจวเสาจิ่นยังคงลังเลเล็กน้อย

 

 

ชุนหว่านและคนอื่นๆ อีกหลายคนมองนางตาละห้อย กลัวว่านางจะเอ่ยปฏิเสธออกมา หากโจวเสาจิ่นไม่ไป พวกนางที่บ่าวรับใช้เหล่านี้จะไปได้อย่างไร

 

 

โจวเสาจิ่นหลุดยิ้ม ตอบตกลงไปเดินเล่นที่หาดทรายกับจี๋อิ๋ง

 

 

ชุนหว่านและคนอื่นๆ ยากที่จะปกปิดความยินดีเอาไว้

 

 

เด็กสาวหลายคนจึงพากันเดินไปที่หาดทรายด้วยเสียงเจี้อยแจ้ว

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองร่างที่กระโดดโลดเต้นอย่างยินดีของพวกนางแล้วก็เผยรอยยิ้มรักใคร่ออกมา กล่าวกับเฉิงฉือที่อยู่เป็นเพื่อนนางว่า “เห็นพวกนางดีใจขนาดนี้แล้ว อารมณ์ของข้าก็พลอยดีตามไปด้วย”

 

 

เฉิงฉือยิ้มโดยไม่กล่าวอะไร

 

 

บางครั้ง ความสุขก็ส่งต่อถึงกันได้

 

 

ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นมา สะท้อนแสงสีเหลืองทองอยู่บนผิวน้ำ

 

 

เสียงหัวเราะของเด็กสาวราวกับเสียงระฆังกังวานใส

 

 

เฉิงฉือเห็นโจวเสาจิ่นยกกระโปรงขึ้นพลางหัวเราะร่าอยู่บนหาดทราย นางใช้แรงย่ำเท้าลงบนทรายจนเกิดเป็นรอยเท้าแถวหนึ่ง ดูเสมือนกับนกน้อยเริงร่าตัวหนึ่งก็ไม่ปาน

 

 

เห็นได้ชัดว่าในยามปกติเก็บความรู้สึกเก่งนัก!

 

 

เฉิงฉือยิ้มพลางส่ายศีรษะ

 

 

มีเสียงรถม้าและเสียงสะบัดแส้บนหลังม้าเร็วควบเข้ามา

 

 

สายตาของเฉิงฉือวูบลงเล็กน้อย ประคองมารดา พลางกล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ พวกเราไปนั่งบนรถม้ากันเถิด! มีคนมาแล้ว!”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชี้ไปหาดทราย “เสาจิ่น…”

 

 

“ข้าจะให้ซางหมัวมัวไปเรียกพวกนางกลับมา” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ หันไปสะบัดมือให้ป้าซาง

 

 

………………………………….