บทที่ 24 แม่นางหยุนรั่วซี ร่างในตำนาน

จอมบงการเทพยุทธ์

“เจ้าหนูนี่กล้าดีมาจากไหนถึงมาส่งเสียงต่อหน้าข้า”

นักรบวัยกลางคนเหลือบมองไปที่ฉินมู่อย่างเย็นชา

“เอาล่ะ ข้าจะแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่ดูหมิ่นตำหนักไร้ความหวัง❗️”

พูดจบ นักรบวัยกลางคนก็เริ่มลงมือ เขาตบฉินมู่ด้วยฝ่ามือ เกิดพลังควบแน่นอยู่ในฝ่ามือของเขา โดยหมายที่จะสังหาร ไม่เห็นฉินมู่อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

แต่ทว่า ก่อนที่การโจมตีจะถึงตัวฉินมู่ มันก็สลายหายไปในอากาศ

“หือ❓ผู้ฝึกยุทธ์งั้นรึ❓”

เมื่อเห็นว่าการโจมตีของตนเองคลี่คลายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ นักรบวัยกลางคนก็ถึงกลับผงะ แต่ก็มองฉินมู่ด้วยความยินดี

“ก็ว่าใครที่ไหนถึงกล้าขัดขืนตำหนักไร้ความหวัง ที่แท้ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่รู้ประสีประสานี่เอง”

“เจ้าฝึกยุทธ์เพื่อความถูกต้องงั้นรึ? ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก”

“พอดีเลย ตำหนักไร้ความหวังของข้ากำลังขาดแคลนผู้ฝึกยุทธ์เช่นเจ้าเพื่อมาเป็นทาสสำหรับการขุดแร่ เจ้าควรจะรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นทาสนักขุดของตำหนักไร้ความหวังและจะได้ขุดแร่เพื่อเผ่าพันธุ์โบราณ”

“เป็นแค่พวกมดยังกล้าส่งเสียงงั้นรึ❓”

ฉินมู่ส่ายหน้า ไม่อยากพูดไปมากกว่านี้

นักรบกว่าสิบคนนี้ มีพลังยุทธ์ระดับต่างๆ ตั้งแต่เขตแดนเสริมโลหิตถึงเขตแดนชำระกระดูก จึงเป็นธรรมดาที่จะมองไม่เห็นถึงพลังที่แท้จริงของเขา

อย่างไรก็ตาม ฉินมู่ไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป

เขาก้าวไปข้างหน้า กระแสพลังอันทรงอำนาจปรากฏขึ้น คลื่นพลังอันศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็นได้ถาโถมออกมา นักรบผู้ทรงอำนาจของตำหนักไร้ความหวังนับสิบคนระเบิดออก เลือดของพวกเขาสาดกระเซ็น และล้มตายลงแทบทั้งหมด❗️

นักรบวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้านั้นยังไม่ตาย แต่เขาก็สำลักออกมาเป็นเลือดและกระเด็นออกไป มีเสียงแตกร้าวจากในร่างของเขา กระดูกทั้งหมดในร่างกายของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ

เหตุผลที่เขาไม่ตายเป็นเพราะว่าฉินมู่ยังต้องการให้เขาเป็นผู้นำทาง ดังนั้นเขาจึงถูกไว้ชีวิตอยู่เพียงคนเดียว

“เจ้า❗️”

นักรบวัยกลางคนล้มลงบนพื้นสำลักออกมาเป็นเลือด มองไปที่ฉินมู่ด้วยสายตาที่ตื่นตระหนก

เขาคาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มผู้นี้ซึ่งดู ‘ไร้พิษภัยใดๆ’ แท้จริงแล้วมีพละกำลังอันน่าเกรงขามเช่นนี้❗️

“ถ้าเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ ก็พาข้าไปยังเหมืองโบราณของตำหนักไร้ความหวังของเจ้า”

ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้า และพูดกับนักรบวัยกลางคนผู้น่าสมเพชอย่างเฉยเมย

“นายท่านโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าน้อยยินดีที่จะนำทาง”

นักรบวัยกลางคนร้องขอความเมตตาครั้งแล้วครั้งเล่า ชายหนุ่มตรงหน้าเขานั้นแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ

พลังที่เพิ่งประทุออกมานั้น ให้ความรู้สึกว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้อาวุโสตำหนักไร้ความหวังของเขาเสียอีก❗️

“ที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เมื่อข้าจัดการกับปัญหาทั้งหมด พวกท่านค่อยกลับมาอาศัยที่นี่อีกครั้ง”

หลังจากกำจัดนักรบเหล่านี้ ฉินมู่ก็ยังไม่ลืมชาวเมืองเหล่านี้

เขาพามนุษย์ทั้งหมดในเมืองไปยังแหล่งน้ำเล็กๆ กลางทะเลทรายซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้เพื่อให้พวกเขาอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว

เขาสังหารนักรบเหล่านี้ และหากตำหนักไร้ความหวังรู้เรื่องเข้าย่อมต้องการล้างแค้น ฉินมู่ไม่ต้องการทำร้ายสามัญชนที่น่าสงสารเหล่านี้เพราะการกระทำของเขา

แต่เมื่อเขาจัดการกับตำหนักไร้ความหวังแล้ว ไม่ช้าคนเหล่านี้ก็จะสามารถกลับคืนสู่เมืองนี้ได้อีกครั้ง

“นายท่าน ถ้าเช่นนั้นก็ระวังตัวด้วย”

ชาวเมืองพูดตามๆ กัน

พวกเขามองไปที่ฉินมู่ด้วยความซาบซึ้งและยำเกรง พลังอันยิ่งใหญ่ที่เขาแสดงให้เห็นในการสังหารนักรบตำหนักไร้ความหวังทั้งหมดในคราเดียวทำให้ชาวเมืองเหล่านี้ยำเกรง

“นายท่าน…”

ชายชราก้าวออกมา มองไปที่ฉินมู่ด้วยความลังเลราวราวกับว่าเขามีอะไรจะพูด

“ผู้อาวุโสมีอะไรจะพูดรึ? ไม่ต้องเกรงใจหรอก”

ฉินมู่พูดพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง

“ข้าได้ยินมาว่าท่านจะไปที่เหมืองโบราณของตำหนักไร้ความหวัง ข้าไม่รู้ว่าท่านจะช่วยตามหาหญิงสาวคนหนึ่งได้รึไม่ นางมีนามว่าหยุนรั่วซี นางเป็นคนเมืองผิงหยางเช่นเดียวกัน และยังเป็นความหวังของเมืองผิงหยางอีกด้วย…”

หยุนรั่วซี❓

ฉินมู่เลิกคิ้ว เขาฟังชายชราต่อไปโดยไม่ขัดจังหวะ

และหลังจากฟังเรื่องจากชายชรา ฉินมู่ก็มีแววตาที่เบิกบาน❗️

เดิมทีหญิงสาวที่ชื่อหยุนรั่วซีเป็นเด็กกำพร้าที่เร่ร่อนมาที่เมืองผิงหยางด้วยเหตุผลบางอย่างตั้งแต่ตอนที่นางยังเด็ก และได้รับการเลี้ยงดูจากชาวบ้านและเติบโตในเมืองผิงหยางนี้

แม้ว่าหยุนรั่วซีจะเป็นเด็กกำพร้า แต่ตั้งแต่วัยเด็กนางก็ไม่ธรรมดา

นางเกิดมาพร้อมร่างที่กำยำและกระดูกที่แข็งแรง หลังจากเติบโตขึ้นมาได้ไม่กี่ปี ความแข็งแกร่งของนางก็มากยิ่งกว่าชายหนุ่มเสียอีก เรียกได้ว่าแข็งแรงมากๆ และนางยังสามารถยกกระถางที่หนักเป็นตันๆ ได้อีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นเลือดของนางนั้นแตกต่างจากคนทั่วไป มันไม่เป็นสีแดงแต่กลับเป็นสีทอง❗️

ทุกคนล้วนเห็นถึงความพิเศษของหยุนรั่วซี และคาดหวังว่านางจะเป็นต้นกล้าที่ดีมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมในการฝึกวิชา

แต่ทว่าทุกคนในเมืองไม่อาจฝึกวิชาได้ จะมีก็แต่ผู้ฝึกยุทธ์เพียงไม่กี่คนที่พละกำลังต่ำต้อย และหญิงสาวคนนี้ก็ไม่อาจฝึกฝนวิชาของพวกเขาได้

ครั้งล่าสุดที่ตำหนักไร้ความหวังมาที่เมืองผิงหยางเพื่อจับกุมตัวผู้คนไป หยุนรั่วซีกังวลว่าชาวเมืองจะได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นนางจึงไม่กล้าขัดขืน และทำได้เพียงตามอีกฝ่ายไป

โลหิตสีทอง พละกำลังเหนือมนุษย์❓

ฉินมู่มีความคิดบางอย่างในใจของเขา

แม่นางผู้นี้ นี่เป็นร่างกายในตำนานไม่ใช่รึ❓

คาดไม่ถึง ครั้งนี้ที่เขาออกมา จะได้ประโยชน์เพียงนี้

หลังจากอำลาชาวเมือง ฉินมู่ก็พานักรบวัยกลางคนออกเดินทางสู่เหมืองโบราณของตำหนักไร้ความหวัง

ด้วยการนำทางของอีกฝ่าย ฉินมู่ใช้เวลาไม่นานนักก็พบตำแหน่งของเหมืองโบราณ

จากนั้น ภายใต้การจ้องมองอย่างไม่เชื่อสายตาของนักรบวัยกลางคน ฉินมู่ชี้นิ้วไปที่อีกฝ่ายแบบสุ่มๆ และจบชีวิตของอีกฝ่ายไป

เมื่อมองไปที่นักรบวัยกลางคนที่เสียชีวิตลงอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ฉินมู่ไม่มีความเห็นอกเห็นใจหรืออ่อนไหวในสายตาของเขาแม้แต่น้อย

เขาไม่คิดจะปล่อยชายผู้นี้ไปตั้งแต่แรกแล้ว

การที่กลายเป็นลูกน้องของเผ่าพันธุ์โบราณ กดขี่ข่มเหงเผ่าพันธุ์ตนเอง คนเช่นนี้ฉินมู่จะไม่ละเว้นโดยเด็ดขาด