บทที่ 212: ส่งเล่มวิจัยครั้งที่หนึ่ง (3)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 212: ส่งเล่มวิจัยครั้งที่หนึ่ง (3)

ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ “ท่านมั่นใจหรือไม่?”

กู่ชิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ท่านฉิน ผมไม่อยากจะอวดโอ้อะไรนักหรอกนะ แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าแต่เดิมแล้วรายงานของรัฐบาลนั้นมีการดำเนินงานอย่างไร? รายงานทั้งหมดจะได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด คำต่อคำ และคำที่มีความหมายคลุมเครือก็จะถูกแทนที่ด้วยคำพ้องความหมายที่มีความสวยงาม ไม่ว่าบทความทางวิชาการนี้จะเข้มงวดเพียงใด มันจะสามารถเทียบได้กับรายงานและบทสุนทรพจน์ของรัฐบาลจริง ๆ น่ะหรือ?”

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขารู้สึกเหมือนกับว่าก้อนหินขนาดใหญ่ที่ทับอยู่ที่อกของเขาถูกยกออกไป เด็กหนุ่มนวดคลึงขมับของตนเองขณะที่ปล่อยให้ความคิดของตนล่องลอยไป

การมีแม่ทัพที่สามารถไว้ใจได้อยู่ภายใต้บังคับบัญชานั้นทำให้อุ่นใจกว่าจริง ๆ ตอนนี้เขาเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของผู้มีพรสวรรค์แล้ว แต่ถึงกระนั้น แม่ทัพผู้นี้ก็เป็นเพียงตัวแทนของ “ความรู้” เท่านั้น และความรู้เพียงอย่างเดียวก็ไม่มีทางเพียงพอหากเขาต้องการให้ยมโลกแห่งใหม่หลุดพ้นจากความรกร้าง และฟื้นคืนสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีต

ท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงตอนที่มีอำนาจเท่านั้นเขาถึงจะสามารถเริ่มเจรจาต่อรองกับคานอำนาจอื่น ๆ ได้ เหล่าแม่ทัพที่มีชื่อเสียงของจีนทั้งหมดต่างก็ถูกพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์พาไปสวรรค์จนหมดแล้ว บทความทางวิชาการนี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวแทนของประตูสู่การแย่งชิงดวงวิญญาณของโนบูนางะเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงโอกาสในการเร่งการเจริญเติบโตของยมโลกอีกด้วย ฉินเย่ไม่มีทางยอมพลาดโอกาสที่ทั้งชีวิตจะมีสักครั้งหนึ่งเช่นนี้ไปอย่างแน่นอน!

สองสามวันต่อมา หลินฮั่นและซู่เฟิงต่างมาหาเขาที่ห้องอยู่หลายครั้ง แต่ก็พบแต่ป้าย ‘ห้ามรบกวน’ ที่แขวนอยู่ที่หน้าประตูเท่านั้น และเพื่อที่จะไม่ทำให้เป็นที่ผิดสังเกต ฉินเย่ยังคงเดินออกจากห้องและไปที่โรงอาหารบ้างเป็นครั้งคราว นอกเหนือจากนั้น เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ของตัวเองอยู่ในยมโลก

เป็นที่ยอมรับอย่างชัดเจนว่ากู่ชิงนั้นมีพรสวรรค์อย่างล้นเหลือ ด้วยหน้าที่ที่เขาเคยได้รับในชาติที่ผ่านมา ชายสูงวัยย่อมต้องได้อ่านรายงานและสุนทรพจน์มามากมายนับไม่ถ้วน ตั้งแต่รายงานระดับชาติไล่ลงไปถึงสุนทรพจน์ระดับเขต ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา กู่ชิงนั่งอยู่ข้าง ๆ ฉินเย่และเรียบเรียงบทความในกระดาษใหม่ทั้งหมด เขานั่งฟังความคิดเห็นและกระบวนการทางความคิดของฉินเย่อย่างใจเย็น ก่อนจะเขียนร่างข้อความขึ้นมาใหม่

ทุกย่อหน้า ทุกประโยค ได้รับการแก้ไขและปรับปรุงเล็กน้อย แต่มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กลับเปลี่ยนความประทับใจโดยรวมของบทความได้เป็นอย่างดี

จะว่าอย่างไรดี…บทความวิจัยที่เขาเขียนก่อนหน้านี้สามารถอธิบายได้ว่าเป็นร่างบทความที่ส่วนใหญ่แล้วเขียนด้วยภาษาพูดที่ไม่เป็นเชิงวิชาการ และยังมีบางส่วนที่ค่อนข้างเป็นภาษาพูดมากเกินไป แต่ทันทีที่กู่ชิงใช้ความสามารถของตน การปรับแต่งเพียงเล็กน้อยกลับสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของบทความทั้งหมด ให้ดูเป็นทางการขึ้นและยังมีความเป็นมืออาชีพแฝงอยู่ได้ในพริบตา!

มันยังคงลื่นไหลและอ่านง่ายเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกได้นั้นแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง บทความทั้งหมดถูกยกระดับขึ้นและกลั่นกรองต่อหน้าต่อตาของเขา และความมั่นใจของฉินเย่ในการตีพิมพ์ลงในผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น ฉินเย่และกู่ชิงเพ่งสมาธิทั้งหมดอยู่กับงานวิจัยตรงหน้า มีแม้กระทั่งโต้แย้งกันอย่างจริงจังหลายต่อหลายครั้ง…และในท้ายที่สุด ในเช้าตรู่ของวันที่สี่ พวกเขาก็สามารถปรับปรุงปัญหาสุดท้ายของร่างบทความวิจัยได้สำเร็จ ทั้งสองต่างถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“ดูเหมือนว่าผมจะแก่แล้วจริง ๆ…” กู่ชิงคลึงขมับของตัวเอง “ถึงขนาดที่ใช้เวลามากมายในการแก้บทความวิจัยในจำนวนแค่ 3,000 ตัวอักษรได้นานขนาดนี้”

ฉินเย่ไม่ได้ตอบอะไร กลับกันเขาเพียงมองแผ่นกระดาษตรงหน้าของตนนิ่ง ๆ ความหมายที่ต้องการจะสื่อนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้มันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เฉียบคม ตรงประเด็น และมีตรรกะอย่างเข้มงวด

“ผู้เฒ่ากู่” เขาหันไปสบตาชายสูงวัย “สำหรับตอนนี้ ท่านมั่นใจกับมาตรฐานของบทความนี้มากเพียงใด?”

“หากพวกเขาไม่ได้ตาบอด ผมมั่นใจ 100% ว่าบทความนี้จะได้รับการตีพิมพ์อย่างแน่นอน!” กู่ชิงเอ่ยตอบอย่างแน่วแน่

ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้าๆและกำหมัดแน่น “สิ่งที่ข้าหมายถึงก็คือ…มันเป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาจะมอบหน้ากระดาษทั้งหน้าให้กับบทความบทนี้”

แววตาของกู่ชิงไหววูบ “ท่านฉิน คุณภาพของบทความนี้เพียงพอที่จะได้รับการตีพิมพ์ทั้งฉบับอย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังมีตัวแปรอื่น ๆ ให้ต้องพิจารณาเช่นกัน”

“ท่านเองก็คงจะรู้ดีว่าหนังสือพิมพ์ในจีนล้วนเกี่ยวข้องกับทางการเมือง ผมไม่แน่ใจนักว่าหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์นั้นเกี่ยวข้องกับการเมืองมากเพียงใด แต่มันก็มีความเป็นไปได้ที่ทางบรรณาธิการจะได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้เผยแพร่หัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ ต่อให้เป็นบทความชั้นเลิศก็คงไม่สามารถทำอะไรกับคำสั่งเหล่านี้ได้”

“นอกจากนี้ ท่านยังต้องพิจารณาถึงความชอบของหัวหน้ากองบรรณาธิการด้วย นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดผมจึงเลือกแก้ไขบทความของท่านบางส่วนที่ใช้ถ้อยคำที่เฉียบคมเกินไปหน่อย เพราะคำพูดที่เฉียบคมแม้ว่าจะสามารถดึงความสนใจของคนบางกลุ่มได้ แต่พวกมันก็สามารถทำให้คนบางกลุ่มไม่พอใจได้เช่นกัน หากหัวหน้าบรรณาธิการที่อ่านบทความนี้เกิดรู้สึกไม่พอใจกับบทความของท่าน…แม้จะไม่ได้เหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ มันก็สามารถเกิดความเสี่ยงได้ตลอด ดังนั้นมันจะเป็นการดีกว่าที่จะรักษาความปลอดภัยในการตีพิมพ์ไปให้ได้มากที่สุด”

ชายสูงวัยเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ตลอดสี่วันที่ผ่านมา พวกเขาทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อลดความเป็นไปได้ที่จะถูกโยนทิ้ง มากเสียจนมันสามารถถือได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกับการแถลงข่าวแล้วด้วยซ้ำ หลังจากที่พยายามไปมากขนาดนี้…หากเราตัดตัวแปรทางการเมืองออกไป ผมชื่อเป็นอย่างยิ่งว่ามันมีความเป็นไปได้ถึง 80% ที่บทความวิจัยนี้จะได้รับการตีพิมพ์ทั้งหน้ากระดาษ!”

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและหยิบผลงานสุดท้ายของตนก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าหวังว่ามันจะเป็นอย่างที่ท่านพูด หากทุกอย่างราบรื่นไปได้ด้วยดี ท่าน…จะได้เห็นผลผลิตของความพยายามของตัวเองในตอนปลายเดือนมิถุนายนอย่างแน่นอน”

เขาใส่พลังของตนเข้าไปในเศษตราจ้าวนรกและรีบกลับไปที่ห้องของตน อาบน้ำเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับจิตใจและจิตวิญญาณ จากนั้นก็ใช้เวลาครู่หนึ่งในการทำให้รูปลักษณ์ของตนดูดีขึ้น สุดท้ายเขาทำการปรินต์บทความวิจัยที่ได้รับการแก้ไขอย่างใหม่เอี่ยมออกมาและสอดมันไว้ในแฟ้มอย่างระมัดระวังก่อนจะตรงไปที่ห้องทำงานของศาสตราจารย์

ในเวลานี้ภายในห้องทำงานมีเพียงเถาหรานเพียงผู้เดียวเท่านั้น ฉินเย่เคาะประตูเบา ๆ และเปิดเข้าไปหลังจากที่ได้รับเสียงตอบจากอีกฝ่าย จากนั้นเขาจึงวางแฟ้มที่มีแบบร่างแรกของตนไว้บนโต๊ะ “ศาสตราจารย์ครับ รบกวนคุณช่วยตรวจดูบทความของพวกเราให้ด้วยนะครับ”

ด้วยเหตุผลบางประกาย แม้ว่าจะได้รับคำยืนยันจากกู่ชิงในเรื่องของคุณภาพของบทความแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกร้อนรนและวิตกกังวลอยู่ดี

บางทีนั่นอาจจะเป็นหนึ่งในจุดเด่นของการเป็นมนุษย์

แม้ว่าเขาจะค่อนข้างมั่นใจพอสมควร แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันจะออกมาดีอย่างที่เขาหวังหรือไม่

“เสร็จแล้วหรือ?” เถาหรานกำลังอ่านบทวิจัยบางอย่างอยู่เมื่อฉินเย่เดินเข้ามา เขามองไปที่โทรศัพท์ของตนเอง และมองฉินเย่ด้วยสายตาล้ำลึก “แค่ 20 วันน่ะหรือ?”

ฉินเย่พยักหน้า

เถาหรานไม่ได้หยิบมันขึ้นมาในทันที กลับกัน เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริง ๆ คล้ายกับต้องการสื่อความนัย “เสี่ยวฉิน บทวิจัยที่ดีนั้นเกิดจากความพยายามที่ยากลำบาก หนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์นั้นมีมาตรฐานที่สูงมาก และมันก็ค่อนข้างยากที่จะทำให้พวกเขาพอใจได้ แม้แต่ผู้อำนวยการของเราก็ไม่ได้ตีพิมพ์บทความของพวกเขาลงในผู้ฝึกตนรายสัปดาห์มากนัก แต่คุณ….กลับส่งร่างบทความให้ผมทั้ง ๆ ที่เพิ่งผ่านไปเพียง 20 วัน…คุณ…คุณแน่ใจแล้วหรือว่าไม่ต้องการที่จะทบทวนมันดูอีกครั้ง?”

แค่ 20 วัน

แม้แต่รายงานของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดาก็ยากจะเสร็จสมบูรณ์ในระยะเวลาที่สั้นแค่นี้ได้ นับประสาอะไรกับบทความทางวิชาการที่มีจุดมุ่งหมายที่จะตีพิมพ์ในแวดวงวิชาการของโลกแห่งการบ่มเพาะ!

เด็กพวกนี้ใจร้อนมากเกินไป…เถาหรานถอนหายใจออกมาในใจ เขารู้ดีว่าเหล่าอาจารย์ผู้สอนในสถาบันนั้นเป็นกังวลเพียงใดกับการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็อาจารย์ผู้สอนที่ชาญฉลาดอย่างฉินเย่ สุดท้ายแล้วข้อเท็จจริงที่ว่าเขาสามารถได้คะแนนที่สูงมากในการบรรยายเปิดก็ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจว่าจะต้องสามารถสร้างรากฐานที่ดีให้กับงานวิจัยของเขาได้อย่างแน่นอน!

แต่ถึงกระนั้น การหาร่างวิจัยที่ดีที่ถูกเขียนขึ้นมาในนะยะเวลาสามเดือนนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาพออยู่แล้ว แต่นี่ 20 วัน? ผมเกรงว่าพวกคุณคงแทบจะไม่ได้ทบทวนงานของตัวเองก่อนที่จะส่งเลยใช่ไหม?

“พวกเราตรวจดูมันหลายรอบแล้วครับ” ฉินเย่อธิบายอย่างใจเย็น “และเราก็ไม่สามารถหาคำที่ดีกว่านี้ได้แล้ว นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงนำมันมาให้ศาสตราจารย์ช่วยตรวจสอบอีกที”

เถาหรานไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เขาสวมแว่นตาสำหรับอ่านหนังสือและขยับมือเล็กน้อยก่อนที่แฟ้มเอกสารจะลอยมาอยู่ในมือ

พูดไปก็เปล่าประโยชน์

เขาเคยอายุเท่าเด็กพวกนี้มาก่อน และเราก็รู้ดีว่าบทเรียนบางอย่างจะสามารถเรียนรู้ได้ก็ต่อเมื่อคนคนหนึ่งตระหนักถึงความโง่เขลาของตน เขาเองก็เช่นกัน เคยส่งเล่มวิจัยที่เขาคิดว่าไร้ที่ติให้กับผู้เป็นอาจารย์ แต่แล้วก็ได้คำตำหนิที่รุนแรงกลับมาในทุกหน้ากระดาษ มีเพียงหลังจากที่เขาสามารถสงบใจและตั้งสมาธิกับการแก้งานของตัวเองเท่านั้น เขาถึงจะพบว่างานของเขานั้นมีข้อผิดพลาดมากเพียงใด สาเหตุที่สิ่งเหล่านี้ถูกมองข้ามไปในตอนแรกก็เพราะความกระตือรือร้นในการจะส่งผลงานและรับคำชมของเขาเอง

ดังนั้น การโน้มน้าวใจที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือการเรียนรู้ผ่านการกระทำ ในเมื่อฉินเย่ยังคงยืนกราน ชายสูงวัยก็จะไม่ลังเลที่จะใช้คำวิจารณ์ของเขาในการช่วยให้อาจารย์ผู้สอนทั้งสามเหล่านี้ ได้ตระหนักว่าพวกเขายังต้องใช้ความพยายามและเวลาในการหาความรู้อีกมากเพียงใดจึงจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้ ผู้ที่ใจร้อนเกินไปจะไม่มีทางสามารถกินเต้าหู้ที่ร้อนได้

ภายในห้องเงียบลง เถาหรานดึงเอกสารแผ่นบางออกมาจากแฟ้ม และเริ่มอ่านเนื้อของบทความทันที

ติ๊ก ต็อก ติ๊ก ต็อก…ฉินเย่สามารถได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาเดินได้อย่างชัดเจน จากนั้น หลังจากอ่านไปประมาณห้าวินาที เถาหรานก็ครางออกมาเสียงเบา “หืม?” จากนั้น ชายสูงวัยก็เงยหน้าขึ้นมาและสบตากันฉินเย่

สีหน้าของอีกฝ่ายดูซับซ้อน ซับซ้อนมากจนแม้แต่ฉินเย่ก็ไม่รู้ว่ามันต้องการจะสื่ออะไร สิ่งเดียวที่เขาสามารถรับรู้ได้จากสีหน้าของเถาหรานก็คือ สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ทำไมตาแก่นี่มองเขาแบบนี้? หรือว่าอีกฝ่ายจะตกตะลึงกับความหล่อเหลาของเขา? อย่าแค่มองผมเฉย ๆ แบบนี้ พูดอะไรสักอย่าง!…

ทว่าเถาหรานกลับยังคงนิ่งเฉย สีหน้าของเขาเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับว่ามันถูกสลักอยู่บนหิน ชายสูงวัยอ่านเนื้อหาทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบภายในไม่ถึงสิบนาที จากนั้น…

เขาก็ก้มหน้าและอ่านมันอีกครั้ง

ครั้งนี้เขาอ่านมันอย่างละเอียดมากกว่าเดิม และเมื่ออ่านจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าสับสนและมึนงงเช่นเดิม สุดท้ายเขาก็วางมือลงบนโต๊ะและเอ่ยถามด้วยเสียงที่แหบพร่า “บทความนี้…พวกคุณเขียนขึ้นมาเองจริงเหรอ?”

ฉินเย่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

เถาหรานไม่ได้เอ่ยอะไรอีก กลับกันเขาเพียงมองหน้าฉินเย่และเอ่ยว่า “ผมขออ่านดูอีกสักหน่อย คุณออกไปก่อนเถอะ”

…ท่าทางของตาแก่นี่ไม่ถูกต้อง…ฉินเย่รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย สิ่งหนึ่งที่เขาเกลียดที่สุดก็คือการขอให้กลับไปที่ห้องแล้วรอฟังผลอะไรสักอย่าง นี่คุณรู้บ้างหรือเปล่าว่าสิ่งนี้มันสร้างความรำคาญใจต่อคนอื่นมากเพียงใด?!

แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีที่สำหรับการต่อรอง หลังจากมองเถาหรานด้วยสายตาอ้อนวอนอยู่หลายครั้งแต่ก็เปล่าประโยชน์ เขาก็หันหลังและเดินหางตกออกมาจากห้อง

ฟึ่บ…เถาหรานเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้และหลับตา ตั้งใจฟังเสียงประตูที่ถูกปิดลง เขานั่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลากว่าสิบวินาที…15 วินาที…และเมื่อ 20 วินาทีผ่านไป เขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ลุกขึ้นยืน พุ่งไปที่ประตูด้วยความเร็วของขั้นยมทูตขาวดำและล็อกประตูอย่างรวดเร็ว

จากนั้น เขาก็กลับมานั่งที่ของตัวเองด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าและเปิดหน้ากระดาษและอ่านเนื้อหาทั้งหมดอีกเป็นครั้งที่สาม!

“นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไร?!” หลังจากผ่านไปอีกสิบนาที เขาก็วางกระดาษลงและปรับแว่นสายตาของตัวเอง “นะ นี่มันไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์เลยสักนิด!”

“อ่าาา…แต่ว่า การมีอยู่ของพวกเราเองก็ไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์เช่นกันนี่หน่า…ไม่! แต่นี่มันก็ไม่สอดคล้องกับโลกแฟนตาซีด้วยซ้ำ!”

เสียงที่เอ่ยออกมานั้นแหบพร่ากว่าก่อนหน้านี้ เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อคิดว่าตัวเองตั้งใจที่จะสอนให้ฉินเย่รู้ถึงการร่างบทความวิจัยที่ถูกต้องเมื่อครู่นี้…ความมั่นใจของเขามันสูงแค่ไหนกัน? นี่คือเหตุผลว่าทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงบอกให้ฉินเย่ออกไปก่อน

นี่ล้อกันเล่นหรือเปล่า?

คุณขอให้ผมตรวจสอบบทความวิจัยบทนี้เนี่ยนะ?

ถ้อยคำที่ใช้นั้นเฉียบคม โครงสร้างประโยคนั้นกระชับ และแนวคิดทั้งหมดต่างไร้ซึ่งช่องโหว่ แม้แต่เขาก็ไม่สามารถเขียนอะไรแบบนี้ออกมาได้!

“เฮ้อ….” เขาปรับแว่นตาของตัวเองอย่างเหลือเชื่อ ตอนนี้เขาสามารถเป็นตัวเองได้เนื่องจากไม่มีใครกำลังจับตาดูอยู่ แต่…แต่นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?! อีกฝ่ายเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการทำงานวิจัยอย่างนั้นหรือ? อีกทั้งยังดูเหมือนว่าความสามารถของอีกฝ่ายจะทิ้งห่างเขาไม่น้อยเลยทีเดียว…

ชายสูงวัยหยิบเอกสารทั้งหมดขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทาและปัดมันเบา ๆ ก่อนจะลูบมันอย่างอ่อนโยนราวกับเด็กทารก เถาหรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “สมบูรณ์แบบ! ไร้ที่ติ! ตรงประเด็นและสามารถพิสูจน์ได้! แค่อ่านมัน…ก็ทำให้รู้สึกเหมือนกับประสบความสำเร็จแล้ว….”

“แถมมันยังเป็นบทความทางวิชาการที่ถูกเขียนร่างขึ้นโดยอาจารย์หน้าใหม่แค่ 3 คนอีกด้วย…คุณกำลังบอกผมว่างานวิจัยนี้ถูกเขียนขึ้นโดยอาจารย์หน้าใหม่ 3 คนอย่างนั้นเหรอ? แม้แต่ผู้ว่าราชการมณฑลก็อาจจะไม่สามารถทำได้ดีกว่านี้ด้วยซ้ำ! เด็ก 3 คนนี้แอบเล่นขี้โกงอะไรหรือเปล่านะ?”

เถาหรานหารู้ไม่ว่างานนี้ได้รับการตรวจทานและแก้ไขจากผู้ว่าราชการมณฑลผู้หนึ่งมาแล้ว

แต่ในเมื่อฉินเย่โกงโดยการดึงอาร์ทิสเข้ามามีส่วนร่วมด้วยแล้ว มันมีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องยั้งมือด้วยล่ะ?

ทันใดนั้น ราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เถาหรานรีบคว้าโทรศัพท์ของตน เข้าแอพโม่โม่และมองหาบัญชีผู้ใช้ที่มีรูปโปรไฟล์ที่หน้าตาคล้ายกับปลากันที เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อให้ใจเย็นลง หลังจากนั้นจึงเริ่มพิมพ์ข้อความลงไปในกล่องข้อความ

“สวัสดีครับศาสตราจารย์ยวี ผมเถาหราน ศาสตราอาจารย์จากสาขาการต่อสู้ของสำนักฝึกตนแห่งแรก อดีตลูกศิษย์ของคุณ และตอนนี้ผมก็เป็นศาสตราจารย์ที่ปรึกษาให้กับฉินเย่ด้วย ผมมีงานวิจัยที่น่าสนใจและอยากได้รับการประเมินจากคุณหากเป็นไปได้”

ใช่แล้ว…เสี่ยวฉินและศาสตราจารย์ยวีดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน การใช้ภาษาที่สละสลวยและลึกล้ำแถมยังรูปแบบการเขียนที่ดูเป็นมืออาชีพเช่นนี้จะต้องเป็นฝีมือของศาสตราจารย์ยวีแน่ ๆ ใช่ไหมนะ?

เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ศาสตราจารย์ยวีก็เป็นเหมือนกับพี่ใหญ่ในแวดวงวิชาการ และความคิดเดียวของเถาหรานในตอนนี้ก็คือการกอดขาของศาสตราจารย์ยวีไว้และร้องเรียกความสนใจ อาจารย์ครับ! คุณช่วยมองตาผมและบอกผมหน่อยได้ไหมว่าคุณเพิ่งช่วยอาจารย์ฉินที่อยู่ภายใต้การดูแลของผมโกงหรือเปล่า!

อีกฝ่ายเป็นคนฉลาด ดังนั้นศาสตราจารย์ยวีจะต้องรู้แน่ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรได้ ในทันทีที่เขาส่งบทความนี้ไปให้

ไม่แน่อีกฝ่ายก็อาจจะเอ่ยชมในความฉลาด และรู้ทันของเขาก็เป็นได้!