บทที่ 193 ที่นี่คือที่ว่าการ
หลังจากเดินทางข้ามผ่านสองมณฑลและสามอำเภอ ในที่สุดคณะผู้ตรวจการก็มาถึงเมืองหลักของอวิ๋นโจว ‘เมืองไป๋ตี้’
ที่มาของชื่อเมืองไป๋ตี้นั้นมาจากตำนานในประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องของราชวงศ์ก่อน
เมื่อ 1300 ปีก่อนนับจากปัจจุบัน อวิ๋นโจวประสบภัยแล้งรุนแรง ดินแดงแห้งระแหงตลอดพันลี้ ชาวบ้านเก็บเกี่ยวพืชผลไม่ได้ ชีวิตไร้ที่พึ่งพา ในปีนั้นเอง มีสัตว์ประหลาดเดินทางมาจากต่างแดน ลำตัวของมันเหมือนกวาง ทั้งตัวปกคลุมด้วยเกล็ดขาวราวหิมะ หัวมีเขาหนึ่งคู่ มีกีบม้า และหางงู
ทุกที่ที่มันผ่านไปจะมีเมฆครึ้มปกคลุม ห่าฝนตกลงมาไม่หยุดหย่อน สัตว์ตัวนี้อยู่ในอวิ๋นโจวนานกว่าหนึ่งเดือน ช่วยเติมเต็มอ่างเก็บน้ำในแต่ละแห่งของอวิ๋นโจว ให้ความชุ่มชื่นแก่แม่น้ำทะเลสาบที่แห้งขอด และขจัดปัญหาภัยแล้งให้แก่อวิ๋นโจว ราชสำนักคิดว่ามันคือสัตว์มงคล จึงตั้งนามให้มันว่าไป๋ตี้
สวี่ชีอันมองไปยังเค้าโครงอันสูงตระหง่านของเมืองไป๋ตี้ ก่อนหัวเราะพลางถามกลับไป “แล้วตำนานนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเท็จล่ะขอรับ”
ผู้ตรวจการจางที่กำลังเลิกม่านขึ้นมองไปยังเมืองไป๋ตี้ที่อยู่ไกลๆ พร้อมเล่าตำนานเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยก็พยักหน้าตอบ
“น่าจะจริง ไม่อย่างนั้นคงไม่บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์หรอก ภัยแล้งน้ำท่วมพวกนี้เป็นเรื่องปกติ เจ้าหน้าที่อาลักษณ์คงไม่แต่งเรื่องขึ้นมาแน่ เพียงแต่ว่านับแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครเคยเห็นสัตว์มงคลไป๋ตี้อีกเลย”
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดที่มาจากโพ้นทะเล ถึงขั้นอาจจะเป็นสัตว์ทะเลก็ได้ บางทีมันอาจแค่มาเที่ยวเล่นที่จิ่วโจว พอเห็นว่าอวิ๋นโจวเกิดภัยแล้งก็รู้สึกไม่ชอบใจ จึงออกโรงเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้…สวี่ชีอัน ‘วิเคราะห์ด้วยมุมมองทางวิทยาศาสตร์’ พร้อมกล่าวว่า
“ใต้เท้าช่างมีความรู้สูงส่ง”
พูดจบเขาก็ทอดมองไปยังกำแพงเมืองต่อ พลันมีกลอนท่อนหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ ‘จากลาไป๋ตี้เมฆมากหลากสี เจียงหลิงพันลี้หนึ่งวันหวนกลับ เสียงลิงโหยหวนริมสองฝั่ง แล่นเรือน้อยไหลผ่านขุนเขาหมื่นแห่ง’
เจียงหลิงพันลี้หนึ่งวันหวนกลับ[1]…หรูหราเลิศเลออะไรขนาดนี้นะ หากเปลี่ยนเป็นข้าล่ะก็ ต่อให้เป็นวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรือจนกว่าจะหนึ่งเดือนสามสิบเอ็ดวันนั่นแหละถึงจะยอมกลับ สวี่ชีอันคิดในใจ
เขานึกถึงโฆษณาการท่องเที่ยวที่เคยดูเมื่อก่อน โฆษณานั้นส่งเสริมให้พนักงานคอเสื้อปกขาวที่อยู่ระดับสูงบินตรงไปยังประเทศไทยหลังเลิกงานวันศุกร์ ทำตัวเป็นหนุ่มงามสง่าล้ำสมัยหนึ่งวัน จากนั้นก็กลับประเทศวันอาทิตย์
ไม่ว่าใครล้วนเป็นหลี่ไท่ไป๋ยุคใหม่กันทั้งนั้น
ทหารยามคุ้มกันเมืองไป๋ตี้หยุดคณะเดินทางไว้ แต่หลังจากเห็นเอกสารจากราชสำนักก็ปล่อยเข้าไปด้วยความเคารพ
หลังจากเข้าเมืองมาแล้ว สวี่ชีอันก็มองไปทั่ว ท่ามกลางฝูงชนที่คลาคล่ำอยู่บนถนน ไม่ว่าตรงไหนก็จะมองเห็นคนเดินไปมาที่พกดาบพกกระบี่ติดตัวมากมาย
ต้าฟ่งค่อนข้างเข้มงวดในด้านการกำกับดูแลอาวุธยุทโธปกรณ์ ตั้งแต่ที่ว่าการมณฑลไปจนถึงที่ว่าการอำเภอ จะห้ามไม่ให้พกดาบเดินไปเดินมาในเมืองเด็ดขาด นอกเสียจากจะเป็นอาชีพพิเศษอย่างเช่นผู้คุ้มกัน
แต่ต่อให้เป็นผู้คุ้มกันก็พกอาวุธได้แค่ตอนที่ปฏิบัติงานเท่านั้น
เรื่องนี้นับว่าเป็นจุดเด่นของอวิ๋นโจวหรือไม่นะ สวี่ชีอันพึมพำในใจ
ตอนนี้เอง ผู้ตรวจการจางก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเอ่ยกับสวี่ชีอัน “หนิงเยี่ยน เจ้าให้คนไปส่งพ่อค้าเหล่านี้กลับบ้านเสีย สินค้ายังไม่ต้องมอบคืน บอกพวกพ่อค้าว่าพรุ่งนี้ให้นำสมุดบัญชีมาที่จุดพักม้าเพื่อตรวจสอบและรับสินค้าคืน”
สวี่ชีอันใจสั่นไหว “สินค้าของจ้าวหลงผู้นั้นล่ะขอรับ”
ผู้ตรวจการจางเอ่ย “ย่อมต้องให้คนส่งกลับไป จ้าวหลงผู้นั้นกับพวกผู้คุ้มกันเจอเคราะห์ร้าย ครอบครัวของผู้คุ้มกันจะต้องเรียกเงินทำขวัญแน่นอน ตอนนี้จ้าวหลงตายแล้ว ก็ให้ส่งสินค้าคืนไป นับว่าชดเชยความสูญเสียให้คนในครอบครัวได้”
สวี่ชีอันยกนิ้วโป้งให้ “ใต้เท้านี่เป็นปลาไหล[2]ที่ดีจริงๆ ขอรับ”
ผู้ตรวจการจางได้ยินก็ขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้”
“ไม่มีอะไรขอรับ ไม่มีอะไร” สวี่ชีอันหันหน้าไปหาซ่งถิงเฟิงแล้วบอกเรื่องราวให้ฟัง ก่อนสั่งให้เขาไปทำ
“เรื่องอะไรจะให้ข้าไปทำ” ซ่งถิงเฟิงอารมณ์เสีย “ทำเหมือนข้าเป็นลูกน้องเจ้า แต่เห็นๆ อยู่ว่าเรามันระดับเดียวกันนี่”
สวี่ชีอันหันหน้าตะโกนบอก “ใต้เท้าผู้ตรวจการ ซ่งถิงเฟิงบิดพลิ้วเกี่ยงงาน หักเงินเขาเลยขอรับ”
ซ่งถิงเฟิงรีบพูด “ข้าไปเองๆ”
จากนั้นเขาก็หันไปหาจูกว่างเสี้ยว บอกเรื่องราวให้ฟัง แล้วสั่งให้เขาไปทำ
จูกว่างเสี้ยวเอ่ยอย่างขมขื่น “หนิงเยี่ยนไม่ได้บอกให้เจ้าไปทำหรืออย่างไร”
ซ่งถิงเฟิงกล่าวว่า “สวี่หนิงเยี่ยน จูกว่างเสี้ยวบิดพลิ้วเกี่ยงงาน”
“…” จูกว่างเสี้ยวหันหัวม้าด้วยอารมณ์หดหู่ไม่พูดไม่จา เขาตะโกนเรียกกองทหารพยัคฆ์ทะยานสองสามคนแล้วไปทำงานตามคำสั่ง
คนต่ำช้าทั้งสองรวมหัวกันแล้วเอ่ยด้วยความทอดถอนใจ
“กว่างเสี้ยวช่างเป็นคนซื่อสัตย์ขยันขันแข็งดีจริงๆ เลยนะ”
“ใช่แล้วๆ ไม่ว่าจะเป็นบนเตียงหรือตอนทำงานก็ตาม”
…
ณ กรมบัญชาการทหาร
ปีนี้หยางชวนหนานอายุได้สี่สิบต้นๆ แล้ว เขาเป็นปัญญาชนที่มีอุปนิสัยเที่ยงธรรมรักสงบ และยังมีฐานะอีกอย่างหนึ่ง คือทหารระดับห้า
หยางชวนหนานกำเนิดในครอบครัวทหาร มีพรสวรรค์ฉลาดเฉลียว เขาชอบฝึกการต่อสู้และอ่านหนังสือ และได้เป็นบัณฑิตขั้นสูงในปีหยวนจิ่งที่ 12 เพราะมีภูมิหลังทางด้านครอบครัว เขาจึงคุ้นเคยกับหนังสือการทหารและได้ทำงานอยู่ในกรมทหารเช่นกัน
ปีหยวนจิ่งที่ 16 ถูกมอบหมายให้ไปประจำการที่อวิ๋นโจวและทำผลงานได้จากการปราบโจร จึงเลื่อนขั้นสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการทีละก้าวๆ กลายเป็นหนึ่งในสามบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดในอวิ๋นโจว
หยางชวนหนานกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องโถงพลันเงยหน้าขึ้น ไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงฝีเท้าก็ดังให้ได้ยิน สตรีในชุดเกราะเบาก้าวอาดๆ เข้ามาหา ระหว่างทางไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดขวางไว้
นางมีร่างกายสูงโปร่ง ที่เอวพกกระบี่ ที่หลังมีหอกเงินหนึ่งด้าม มีใบหน้าแหลมคมรูปเมล็ดแตง เห็นอยู่ว่าเครื่องหน้างดงามประณีตชัดเจน แต่ไร้ซึ่งความอ่อนโยนบอบบางอย่างอิสตรี กลับกลายเป็นความห้าวหาญเสียมากกว่า
นอกจากนั้นนางยังมัดผมเป็นทรงหางม้าสูงยาว เผยให้เห็นหน้าผากเกลี้ยงเกลางดงาม
“ผู้ตรวจการเข้าเมืองแล้ว” ประโยคแรกเมื่อนางเดินผ่านประตูมาก็เข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา
สีหน้าของหยางชวนหนานชะงักไปแล้วพยักหน้าเบาๆ “รู้แล้ว”
“จักรพรรดิหยวนจิ่งน่าสับเป็นพันชิ้นนัก วันทั้งวันเอาแต่ฝึกจะเป็นเซียน เป็นจักรพรรดิโลกมนุษย์แล้วยังคิดจะเป็นอมตะอีก ละเมอเพ้อพกเสียจริง” แค่อ้าปากดอกไม้ก็ร่วงหล่น “@@*….”
“เมี่ยวเจิน!” หยางชวนหนานขมวดคิ้วแน่น
หลี่เมี่ยวเจินแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ข้าไม่ได้ทำงานกินเงินหลวงเสียหน่อย”
นางวางหอกเงินพิงไว้กับผนัง นั่งขัดสมาธิบนโต๊ะชารับแขก แล้วปลดกระบี่ลงมาวางไว้บนหน้าตักก่อนเอ่ยถาม
“ถ้าผู้ตรวจการอยู่ที่นี่ เจ้าก็ต้องมอบอำนาจทหารให้ นี่เป็นกฎของต้าฟ่ง เจ้าคิดจะทำอย่างไร”
“ในเมื่อเป็นกฎ ย่อมต้องทำตาม” หยางชวนหนานเอ่ย
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า “ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
หยางชวนหนานเหลือบมองนางแล้วส่ายหน้าอย่างจนใจ “ในยุทธภพมีคนตั้งมากมายยินดีจะถวายชีวิตให้เจ้า จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน ข้ารับน้ำใจของเจ้า แต่ขอให้รู้จักหนักเบาด้วย คณะเดินทางที่มายังมีฆ้องทองคำอยู่ เขาเป็นถึงขุนนางระดับสี่ เมื่อก้าวสู่ยุทธภพก็ถือเป็นยอดยุทธ์คนหนึ่ง”
หลี่เมี่ยวเจินไม่สนใจ “กลัวอะไร ถ้าไม่ใช่ระดับสามก็สู้กับหมาหมู่ไม่ได้หรอก”
…
อาหารของอวิ๋นโจวเผ็ดชาไปหน่อย ทั้งยังชอบใส่เครื่องเทศ ข้าไม่ชอบรสชาติอาหารของที่นี่เลย…กินเผ็ดบ่อยๆ คงไม่เป็นริดสีดวงหรอกมั้ง
ณ จุดพักม้า สวี่ชีอันกินอาหารร้อนๆ ไปพลาง พร่ำบ่นในใจไปพลาง
ในห้องโถงใหญ่มีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและกองทหารพยัคฆ์ทะยานนั่งอยู่แน่นขนัด แปดคนต่อหนึ่งโต๊ะ แทบจะไม่พอรองรับ
เมืองไป๋ตี้มีจุดพักม้าอยู่สี่แห่ง แต่ที่นี่ใหญ่ที่สุดแล้ว ทั้งมีลานใหญ่หนึ่งแห่งและอาคารสามชั้นตั้งอยู่ติดกันอีกสองหลัง มีผู้ดูแลจุดพักม้าหนึ่งคน และทหารประจำจุดพักม้าอีกเจ็ดคน
เพื่อความปลอดภัย หยางอิงอิงจึงต้องอยู่ที่จุดพักม้าด้วยเช่นกัน นางนั่งครองโต๊ะคนเดียวและก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ
เรือนร่างของสตรีวัยสาวอวบอิ่มเย้ายวน ยามนั่งลง กระโปรงก็เกาะจะติดกับสะโพก ขับเน้นจนเห็นเป็นเส้นโค้งอวบอิ่ม
สวี่ชีอันพบว่าซ่งถิงเฟิงเอาแต่จ้องดูบั้นท้ายของคนอื่นเขา จึงเตะเขาใต้โต๊ะไปทีหนึ่ง “มองอะไร”
พอด่าจบ เขาก็ชำเลืองมองสองสามหนเสียเอง
“มองแล้วจะทำไม คนอื่นก็มองเหมือนกัน” ซ่งถิงเฟิงเอ่ยกระซิบ
ผู้ชายก็เช่นนี้ พอเห็นผู้หญิงสวยสดงดงามก็มักจะมองพินิจดูสักสองสามหนโดยไม่รู้ตัวเพราะควบคุมสายตาตนเองไม่ได้ นอกเสียจากตอนมีภรรยามานั่งอยู่ข้างๆ ถึงจะยอมอดกลั้นอย่างอุตสาหะ
“ไม่ต้องมองแล้วๆ อดทนยากเย็นเหลือเกิน” ซ่งถิงเฟิงบ่นพึมพำ
เมื่อครู่ผู้ตรวจการจางสั่งการลงมาแล้วว่าระหว่างที่อยู่ในอวิ๋นโจว ห้ามพวกเขาไปสำนักสังคีตและห้ามออกจากจุดพักม้า นอกเสียจากจะมีภารกิจ
สวี่ชีอันยกมือขึ้นแล้วกำมือเสียเต็มแรง
“ทำอะไร” ซ่งถิงเฟิงเอ่ยด้วยความสงสัย
“เขาเรียกว่าหมัดอมตะ [3]เจ้าก็เรียนตัวต่อตัวกับข้าได้นะ”
เมื่อกินข้าวเสร็จ ผู้ตรวจการจางก็เชิญสวี่ชีอันและเจียงลวี่จงไปปรึกษางานในห้อง ใต้เท้าผู้ตรวจการที่มาจากฝ่ายตรวจการมองฆ้องทองคำที่เปี่ยมประสบการณ์แล้วกล่าวว่า
“เพราะการโจรกรรม อวิ๋นโจวจึงยกเลิกกฎห้ามพกดาบ ดังนั้นตอนกลางคืนจึงปลอดภัยกว่าตอนกลางวันเพราะมีการคุมเข้มเรื่องห้ามออกนอกเคหสถานยามราตรี ฆ้องทองคำเจียงจะต้องคุ้มครองข้าโดยไม่ห่างกาย เรื่องสืบคดีก็มอบให้กับหนิงเยี่ยนชั่วคราว เจ้าสามารถสั่งการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและกองทหารพยัคฆ์ทะยานที่อยู่ในจุดพักม้าได้ตามใจเลย”
…จริงด้วย กลายเป็นเครื่องมือมนุษย์ไปแล้วสินะ สวี่ชีอันมองผู้ตรวจการจาง ไม่พูดไม่จา
ผู้ตรวจการจางกล่าวอธิบายว่า “ช่วงวันแรกๆ ข้าต้องไปเยี่ยมเยียนหลายฝ่ายบ่อยๆ แถมยังต้องสืบดูเบื้องลึกเบื้องหลังของข้าราชการอวิ๋นโจวด้วย”
ก็ได้…สวี่ชีอันยอมรับเหตุผลข้อนี้ “เข้าใจแล้วขอรับ ข้าน้อยจะทำให้ดีที่สุดขอรับ”
ผู้ตรวจการจางพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วถามว่า “เจ้าคิดจะเริ่มทำคดีนี้อย่างไร”
“ไปเอามรดกหลังตายของโจวหมินยังที่ว่าการเมือง แล้วก็ไปสำรวจบ้านของเขาขอรับ” สวี่ชีอันพูด
“ไม่ต้องขุดศพมาชันสูตรหรือ” ผู้ตรวจการจางขมวดคิ้ว
“กำลังรอให้ใต้เท้าถามพอดีเลยขอรับ” สวี่ชีอันแย้มยิ้ม “คนตายมาครึ่งเดือนกว่า ผิวหนังจะบวมเปื่อยเน่าเสีย เพียงจิ้มก็แตก น้ำเหลืองเหม็นเน่าของศพก็ยังเอามากินจนอิ่มท้องได้เลยล่ะขอรับ”
เจียงลวี่จงที่เพิ่งกินข้าวอิ่มไปเมื่อครู่สีหน้าคล้ำหมอง ผู้ตรวจการจางก็คลื่นไส้ขึ้นมา
“ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อนนะขอรับ” สวี่ชีอันจึงจากไป
เมื่อออกจากห้องก็ลงไปชั้นล่าง เขาเรียกฆ้องทองแดงสี่คนซึ่งรวมถึงซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว ฆ้องเงินที่คุ้นเคยอีกหนึ่งคน และกองทหารพยัคฆ์ทะยานหกคนขี่ม้าไปยังที่ว่าการเมือง
โจวหมินเป็นข้าราชสำนักที่ได้รับการแต่งตั้ง ปกติเมื่อข้าราชสำนักเสียชีวิต ที่ว่าการเมืองจะรับผิดชอบเรื่องชันสูตรพลิกศพเพื่อทำให้แน่ใจถึงสาเหตุการตาย ขุนนางที่คนในครอบครัวไม่ได้อยู่เมืองเดียวกันเหมือนโจวหมิน ที่ว่าการเมืองยังต้องรับผิดชอบเรื่องเก็บรักษามรดกของเขาไว้ด้วย เพื่อรอให้ญาติของผู้ตายหรือราชสำนักมารับไป
สวี่ชีอันควบคุมความเร็วม้าและเหลือบมองแผนที่ภูมิประเทศของเมืองไป๋ตี้ที่ทหารประจำจุดพักม้ามอบให้เป็นพักๆ ใช้เวลาไปเกือบๆ หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มองเห็นประตูใหญ่ของที่ว่าการเมือง
“ตามกฎของข้าราชการแล้ว มรดกเช่นนี้จะเก็บไว้เองสามส่วน ถ้าโลภก็เก็บมากถึงห้าส่วน ก็ไม่รู้ว่ามรดกจากเสมียนโจวจะเหลืออยู่เท่าไหร่” ฆ้องเงินแซ่ถังเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
เป็นครั้งแรกที่สวี่ชีอันได้ยินกฎเกณฑ์ที่ซ่อนเร้นเช่นนี้ สีหน้าจึงเคร่งขึง “ในกฎหมายของต้าฟ่งมีโทษที่เกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้หรือไม่ขอรับ”
“มีอยู่แล้ว” ฆ้องเงินถังกล่าว “ยักยอกมรดกของข้าราชสำนัก ลงโทษตามมูลค่าของทรัพย์สิน โทษสถานเบาโบยห้าสิบครั้ง โทษสถานหนักให้โบยและไล่ออก”
สวี่ชีอันพยักหน้า ทันใดนั้นก็ถามขึ้นว่า “ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็เป็นเช่นนี้หรือ”
“ใครจะกล้า เว่ยกงออกคำสั่งห้ามเด็ดขาดน่ะสิ อีกอย่าง พวกเราหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็แตกต่างกับขุนนางพวกนั้น หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่กลุ่มเดียวกันล้วนแต่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่และไปผูกมิตรที่หอนางโลมด้วยกันทั้งนั้น ใครจะกล้าเอาไป คนที่นับถือเป็นพี่เป็นน้องก็ไม่ยอมเช่นกัน” ฆ้องเงินถังอธิบาย
ซ่งถิงเฟิงพยักหน้าหัวเราะร่า “เจ้าคู่ปรับทั้งหลาย วันใดหนิงเยี่ยนจากไปแล้ว ใครมันกล้ายักยอกเงินบำนาญของเจ้า พ่อจะไปเอาชีวิตมันเอง”
รู้สึกว่าคำพูดนี้ของเจ้าออกจะแปลกๆ นะ…สวี่ชีอันขี้เกียจเกินกว่าจะบ่นว่าเจ้าคนตาตี่นี่
เมื่อเข้ามาในที่ว่าการเมืองและแสดงตัวตนแล้ว ขุนนางขั้นเจ็ดชั้นเอกผู้สวมชุดคลุมสีเขียวคนหนึ่งก็เดินออกมาต้อนรับ เขานำแนะตัวว่าเป็นเสมียนที่ว่าการ
“เพื่อป้องกันไม่ให้คนรับใช้ขโมยเงิน สิ่งของทุกอย่างของเสมียนโจวล้วนเก็บไว้ในคลังของที่ว่าการเมืองขอรับ”
เสมียนผู้รับผิดชอบจัดเก็บและนำสิ่งของในคลังออกมา เดินนำพวกสวี่ชีอันไปที่คลังเก็บของ ในมือของเขาถือกุญแจพวงหนักๆ เอาไว้แล้วหาตำแหน่งที่ถูกต้องได้อย่างชำนาญ ก่อนเปิดประตูเหล็กของคลังเก็บของออก
มรดกของโจวหมินมีอักษรภาพ เสื้อผ้า ของเก่า ปากกา หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกต่างๆ สวี่ชีอันมองดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
หลังจากเห็นว่ามีมรดกอยู่เพียงสามสิบตำลึงเงิน เขาก็เอ่ยเสียงขรึม “ใต้เท้าเสมียน มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า เสมียนโจวเป็นขุนนางขั้นหกชั้นเอกเชียวนะ รับราชการมายี่สิบกว่าปี แต่หนึ่งปีกลับได้เงินเพียงหนึ่งตำลึงหรือ ไม่ใช่แค่นี้กระมัง”
“ใต้เท้า นั่นยี่สิบตำลึงขอรับ” เสมียนที่ว่าการเอ่ยขำขัน
นี่เจ้ากล้าล้อเล่นกับข้าหรือ
สวี่ชีอันจ้องเขาเขม็ง “ยักยอกมรดกของข้าราชสำนัก ลงโทษตามมูลค่าของทรัพย์ สถานเบาโบยห้าสิบครั้ง สถานหนักให้โบยและไล่ออก”
โจวหมินคือสายลับของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ ครอบครัวที่อยู่ในบ้านเกิดห่างไกลยังไม่รู้ข่าวร้ายด้วยซ้ำ คนตายก็ไม่อาจฟื้นคืนชีพ เรื่องนี้สวี่ชีอันทำอะไรไม่ได้ แต่การรักษามรดกของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วพยายามนำส่งคืนให้กับครอบครัว เรื่องนี้เขาสามารถทำได้ และสมควรทำ
‘เป็นคนบุ่มบ่ามวู่วามเสียด้วย’ …เสมียนที่ว่าการเป็นมือฉมัง เขาแบมือออกแล้วกล่าวอย่างจนปัญญา “อาจเป็นเพราะเสมียนโจวผู้นั้นหลงใหลในความงามหรือชื่นชอบความบันเทิงอื่นๆ ใช้เงินดุจน้ำไหล จึงเหลืออยู่มีข้าวของเท่านี้ขอรับ”
เขามีท่าทีไม่เกรงกลัวใดๆ ใบหน้ายังแต้มรอยยิ้มสัพยอก
‘มรดกจะให้ที่ว่าการเมืองจัดการให้ก่อน ที่ว่าการเมืองบอกว่ามีเท่าไหนก็มีเท่านั้นสิ ไม่พอใจหรือ มีความสามารถทำให้คนตายฟื้นได้ไหมเล่า’
สวี่ชีอันชี้ไปที่ป้ายห้อยเอวของตน “ขุนนางอวิ๋นโจวไม่รู้จักหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหรือ”
เสมียนที่ว่าการอุทาน ‘อ้อ’ ออกมา “หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคอยควบคุมดูแลขุนนางข้าราชบริพาร ข้าต้องเคยได้ยินอยู่แล้วขอรับ”
เคยแต่ได้ยิน ไม่เคยได้ประสบ…เจ้าขาดประสบการณ์ถูกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอัดเสียแล้ว…สวี่ชีอันยกเท้าขึ้นเตะท้องน้อยของเสมียนที่ว่าการตรงๆ
‘ผัวะ’
ร่างกายอวบอ้วนของเสมียนที่ว่าการลอยไปกระแทกกับผนัง สะเทือนจนฝุ่งตลบคลุ้งดัง ‘ตึงตัง’ แล้วล้มลง ขดตัวงอเป็นกุ้ง เครื่องหน้ายู่ยี่เป็นก้อนเดียว ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็ร้องคร่ำครวญออกมา
สวี่ชีอันชักดาบออกมาวางไว้หลังคอของเขา แล้วมองลงมาด้วยสายตาหยามเหยียด “ข้าตามใต้เท้าผู้ตรวจการมาสืบคดีที่อวิ๋นโจว มีอำนาจกระทำการตามความเหมาะสม ต่อให้ข้าฆ่าเจ้า ผู้ตรวจการก็คุ้มกันให้ข้าได้ เจ้าเชื่อหรือไม่”
เสมียนที่ว่าการหอบหายใจแล้วพูดย้ำอย่างไม่อยากเชื่อ “ที่นี่คือที่ว่าการนะ”
………………………………
[1] มาจากกลอนของหลี่ไป๋ ท่อน ‘เจียงหลิงพันลี้หนึ่งวันหวนกลับ’ มีความหมายว่า แม้บ้านเกิดจะอยู่ห่างไกล ก็ใช้เวลากลับไปถึงแค่วันเดียว ในที่นี้สวี่ชีอันเปรียบว่าผู้คนสมัยใหม่ใช้ตั๋วเครื่องบินไป-กลับสองประเทศได้ภายในวันเดียว เหมือนหลี่ไป๋ที่กลับเจียงหลิงได้ภายในวันเดียว
[2] ปลาไหล ในที่นี้เปรียบเปรยว่ากระทำสิ่งใดไหลลื่น แยบยล และรอบคอบ
[3] หมัดอมตะ (Grasp of the Undying) ชื่อรูนในเกม League of Legends