ตอนที่ 245 นักเรียนดีเด่นหลี่ซื่ออวี๋!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

ราชันสายฟ้าคือคนที่มหัศจรรย์อย่างไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย และเว่ยจี้ก็คาดหวังว่าหวังฮุยจะสามารถเลียนความมหัศจรรย์นี้ได้ เช่นนั้นพอราชันสายฟ้าเรียนจบออกไปจากโรงเรียนทหารในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ก็เป็นช่วงเวลาที่กลุ่มหุ่นรบอู๋จี๋ของพวกเขาขึ้นสู่จุดสูงสุด

จ้าวจวิ้นได้ยินระดับการต่อสู้ของหวังฮุย แววตาก็เปล่งประกายฉับพลัน “ไม่เลว อู๋จี๋มีอัจฉริยะสองคนนี้เข้าร่วมกลุ่ม อนาคตก็ไร้ขีดจำกัดแล้ว”

คำพูดของจ้าวจวิ้นทำให้หานอวี้กับเว่ยจี้ยิ้มขึ้นมาด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ เมื่อเทียบกับหลี่หลานเฟิงที่มากแผนการทำให้คนต้องขบคิดหลายตลบแล้ว จ้าวป้าเทียนที่รู้จักแค่การต่อสู้ก็ดูซื่อๆ มากกว่า คำพูดของเขาย่อมไม่อ้อมค้อมไปมา คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น

จ้าวจวิ้นกล่าวจบก็ตบบ่าหวังฮุยเหมือนกับชื่นชม จากนั้นก็เดินไปนั่งลงข้างกายหลี่หลานเฟิง

การกระทำของจ้าวจวิ้นทำให้หานอวี้กับเว่ยจี้ขมวดคิ้ว แววตาเผยร่องรอยความโกรธขึ้งออกมาเล็กน้อย นึกเสียใจว่าพวกเขาไม่ควรใช้อุบายบางอย่างยั่วยุจ้าวจวิ้นเพื่อข่มขวัญเขาในตอนแรก ทำให้หลี่หลานเฟิงฉวยโอกาสเป็นคนไกล่เกลี่ยระหว่างสองฝ่าย ได้รับมิตรภาพของจ้าวจวิ้นได้สำเร็จ จนทำให้ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนสนิทสนมกัน ถ้าหากโจวย่าสามารถแทนที่หลี่หลานเฟิงได้จริงๆ ละก็ เกรงว่าพวกเขาคงไม่สามารถขับไล่หลี่หลานเฟิงออกจากตำแหน่งในกลุ่มอย่างโจ่งแจ้งมากเกินไปเช่นกัน…

การร่วมมือกันมาหลายปีทำให้พวกเขารู้ดีว่าจ้าวจวิ้นเป็นคนที่รักษาน้ำใจต่อมิตรสหายอย่างยิ่ง แน่นอนว่าเป็นคนที่ ยอมเสี่ยงอันตรายเสียสละเพื่อเพื่อนได้ ถ้าหากทำให้จ้าวจวิ้นไม่พอใจพวกเขาเพราะหลี่หลานเฟิง แล้วตามหลี่หลานเฟิงออกไปจากกลุ่มหุ่นรบอู๋จี๋ด้วยความโมโหขึ้นมา พวกเขาก็จะสูญเสียอย่างมากมาย

จ้าวจวิ้นเป็นอัจฉริยะด้านการควบคุมหุ่นรบ ความสามารถของเขาสามารถเบียดเข้าไปในสามอันดับแรกในชั้นปีของเขาได้ การที่กลุ่มหุ่นรบอู๋จี๋สามารถยืนอยู่ตำแหน่งอันดับสามได้อย่างมั่นคง นอกจากแผนการของหลี่หลานเฟิงแล้วก็หนีไม่พ้นยอดฝีมือด้านหุ่นรบอย่างจ้าวจวิ้นคนนี้ ถ้าหากทำให้ทั้งคู่เข้าร่วมกับกลุ่มอำนาจอื่นเพราะเหตุนี้ละก็ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งกลุ่มอำนาจภายในโรงเรียนทหารของกลุ่มหุ่นรบอู๋จี๋พวกเขาโดยตรง…

หานอวี้กับเว่ยจี้สบตากันเอง แลกเปลี่ยนสายตากันแวบหนึ่ง ตัดสินใจว่าจะระงับแผนการที่อยู่ในใจแต่เดิมไว้ชั่วคราว และทนหลี่หลานเฟิงต่อไปอีกสักระยะ ถึงยังไงโจวย่ากับหวังฮุยยังต้องการเวลาในการเติบโต กลุ่มหุ่นรบของพวกเขาต้องการแผนกลยุทธ์ของหลี่หลานเฟิงจริงๆ

แน่นอนว่าในใจพวกเขาตัดสินใจอย่างลับๆ ว่าจะต้องหาโอกาสยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างหลี่หลานเฟิงกับจ้าวจวิ้น ขอเพียงทั้งคู่ทะเลาะกัน ก็เป็นเวลาที่พวกเขาขับไล่หลี่หลานเฟิง

ทั้งสองคนตัดสินใจแล้วก็พูดคุยกับหลี่หลานเฟิงและจ้าวจวิ้นอย่างกระตือรือร้น ผ่านไปไม่นานก็เห็นกำแพงภายในบ็อกซ์ที่เดิมทีมีสีดำสนิทส่องสว่างขึ้นมา ที่แท้นี่คือหน้าจอเทคโนโลยีชั้นสูงบานหนึ่ง ทว่าตั้งค่าให้มองตรงๆ โดยที่ไม่มีการแบ่งส่วนใดๆ ทั้งสิ้น สามารถเลือกแบ่งภาพหน้าจอเป็นหน้าต่างมุมมองได้มากมายเช่นกัน และตอนนี้บนสนามประลองที่ยึดครองอยู่ในหน้าจอพลันปรากฏชายหนุ่มชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินหลายคน สีหน้าของพวกเขาดูสงบนิ่งและหยิ่งทระนง พวกเขาคือคนของกลุ่มเหลยถิงนี่เอง ทั้งสี่คนเห็นฉากนี้ก็หยุดพูดคุยกันก่อนจะทอดสายตาจับจ้องไปที่หน้าจอขนาดใหญ่

ภายในบ็อกซ์อันมืดมิด ไม่มีใครเห็นเลยว่ารอยยิ้มตรงมุมปากของหลี่หลานเฟิงที่หันหน้าไปทางหน้าจอได้เปลี่ยนจากความอบอุ่นกลายเป็นความเยาะหยัน แววตาที่กระจ่างใสเปลี่ยนเป็นดำทะมึนอย่างหาใดเปรียบ หลี่หลานเฟิงในตอนนี้ไม่มีความอ่อนโยนน่าเข้าใกล้เลยสักนิดอีกต่อไปแล้ว หากแต่ปล่อยความเย็นเยียบออกมาจางๆ

…..

เมื่อคนของเหลยถิงขึ้นไปบนสนามประลองก็ได้รับเสียงเชียร์อันร้อนแรงจากนักเรียนทั่วทั้งหอต่อสู้ที่ชมการประลอง สหพันธรัฐปลูกฝังสร้างความคิดเรื่องผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพมาตั้งแต่เด็ก และมันก็สะท้อนออกมาอย่างเต็มที่ในโรงเรียนทหาร กลุ่มหุ่นรบเหลยถิงเป็นกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดของโรงเรียนทหาร ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้รับการยอมรับและเคารพนับถือจากนักเรียนทหารส่วนใหญ่

เวลานี้บ็อกซ์ชั้นสองต่างมีเจ้าของของพวกมันทยอยกันเข้ามา โดยพื้นฐานแล้วพอคนในบ็อกซ์ทั้งหมดเผชิญกับเสียงเชียร์จากในหอต่อสู้ด้านล่างที่ตีใส่หน้า พวกเขาต่างรู้สึกว่าต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว พวกเขาคิดว่าเหลยถิงย่อมกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายตามที่คาดไว้แน่นอน เพียงแต่มีคนที่อยู่ในบ็อกซ์มุมหนึ่งรู้สึกเป็นกังวลแทนกลุ่มนักเรียนใหม่

“เชี่ย คนทั้งสนามเชียร์เหลยถิงกันหมด ไม่มีใครเห็นว่ากลุ่มนักเรียนใหม่จะชนะได้เลย พูดตามตรงนะ ฉันก็ไม่คิดว่ากลุ่มนักเรียนใหม่จะมีความหวังสักนิดเหมือนกัน ฉันอยากพูดว่า สมองญาติผู้น้องของนายถูกยิงมาก่อนหรือเปล่า ถึงได้กล้ารับจดหมายท้าประลองของเหลยถิง?” เด็กหนุ่มหน้าเด็กในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินคนหนึ่งในบ็อกซ์นั้นฟาดที่วางแขนของโซฟาฉับพลัน ใบหน้าดูเหมือนกับเจ็บแค้นที่ไม่ลุกขึ้นสู้

คนในชุดเครื่องแบบสีขาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าหน้าจอกำลังหันหลังให้กับชายหน้าเด็ก ท่ายืนของเขาดูองอาจผึ่งผาย มือข้างหนึ่งจับขอบหน้าจอไว้เบาๆ ตอบอย่างเฉยชาโดยที่ไม่หันหน้ากลับมาว่า “รับก็รับไปแล้ว อย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันเห็นได้ว่าน้องชายที่อยากได้สิทธิ์สืบทอดอันดับหนึ่งคนนี้ก้าวหน้าไปมากเท่าไหร่แล้ว”

“เพราะเรื่องนี้เหรอ? นายถึงได้ออกมาจากห้องทดลองของนายเป็นครั้งแรก มาดูการประลองที่ถูกกำหนดว่าต้องแพ้แน่นอนเนี่ยนะ?” ชายหน้าเด็กเอ่ยด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

เขารู้ว่านับตั้งแต่ที่เพื่อนสนิทของเขาสอบเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งและเลือกภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหารแล้ว เขาก็เหมือนกับภูตผีก็ไม่ปาน เอาแต่ติดตามพวกอาจารย์อยู่ในห้องทดลองตลอดทั้งวันทั้งคืนเพื่อศึกษาวิจัยหัวข้อการรักษาของโรคที่รักษายากต่างๆ ที่สหพันธรัฐค้นพบในปัจจุบัน บางทีเขาอาจจะมีพรสวรรค์ด้านนี้จริงๆ ถึงวิจัยแผนการรักษาตัวอย่างอาการป่วยหลายโรคออกมาได้สำเร็จ ผ่านการตรวจสอบยืนยันทางการแพทย์แล้วพบว่ามีประสิทธิภาพอย่างยิ่งยวด เนื่องจากผลงานอันยอดเยี่ยมในหัวข้อการวิจัยของเขา ทำให้เขากลายเป็นนักเรียนดีเด่นของภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหารได้สำเร็จตั้งแต่ที่เริ่มต้นปีสอง นับตั้งแต่นั้นมาตำแหน่งนักเรียนดีเด่นก็ถูกเขายึดครองมาตลอด ไม่เคยหลุดจากตำแหน่งเลย

ชายหน้าเด็กคิดว่าตลอดว่า ถ้าหากราชันสายฟ้าเป็นอัจฉริยะแห่งยุคด้านการควบคุมหุ่นรบ เช่นนั้นหลี่ซื่ออวี๋เพื่อนสนิทของเขาก็คือปีศาจอัจฉริยะที่น่ากลัวด้านวิชาแพทย์ ทั้งสองคนต่างอยู่เหนือทุกคนในสาขาของตัวเอง กลายเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งอย่างสมภาคภูมิ

“แพ้เหรอ?” หลี่ซื่ออวี๋พึมพำกับตัวเอง ในตอนนี้เองมีร่างคนปรากฏขึ้นบนสนามประลองอีกห้าคน ชุดเครื่องแบบสีเขียวทั่วไป พวกเขาคือตัวแทนห้าคนของกลุ่มนักเรียนใหม่ที่เข้าร่วมการประลองต่อสู้มือเปล่านี่เอง

หลี่ซื่ออวี๋จ้องมองเด็กหนุ่มที่ทำหน้าอวดดี สองมือกอดอกบนเวทีในหน้าจอ ดวงหน้าที่เดิมดูหล่อเหลาเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งกลุ้มใจ ก่อนจะกัดฟันกล่าวออกมาทีละคำว่า “ถ้าเกิดหมอนั่นแพ้ขึ้นมา ฉันจะให้เขาจ่ายค่าตอบแทน” ยายีนกระตุ้นศักยภาพพลังกายที่วิจัยออกมาล่าสุดกำลังขาดคนทดลองอยู่พอดีไม่ใช่เหรอ? บางทีหลี่อิงเจี๋ยอาจจะเป็นผู้รับการทดลองที่เหมาะสมก็ได้

ตอนนี้เอง หลี่อิงเจี๋ยที่เชิดคางทำหน้าหยิ่งผยองพลันรู้สึกว่ามีไอเย็นสายหนึ่งตีเข้าใส่ร่างกาย ก่อนจะอดหนาวสั่นไม่ได้ ทำให้ลั่วล่างที่อยู่ข้างๆ เหลือบมองด้วยความไม่พอใจ “นายกลัวแล้วหรือไง?”

หลี่อิงเจี๋ยถลึงตามองลั่วล่าง ตอบกลับอย่างฉุนเฉียวว่า “ใครกลัวกัน เมื่อตะกี้แค่มีลมเย็นๆ พัดมาเท่านั้น…”

ลมเย็น? ลั่วล่างปรายตามองหอต่อสู้ที่ปิดสนิทไม่มีรอยแยกเลยสักนิดเดียวแห่งนี้แวบหนึ่ง อุณหภูมิคงไว้ที่ยี่สิบองศาตลอด ไม่มีจุดที่ให้กำเนิดลมเลยแม้แต่น้อย มีลมเย็นโผล่ออกมาเหรอ? นี่อยากหลอกใครกัน?

ลั่วล่างแค่นเสียงเย็น กลอกตาทีหนึ่ง ไม่สนใจหลี่อิงเจี๋ยที่ขี้ขลาดข้างกายเขาอีกต่อไป เดิมทีเขาคิดว่าหลี่อิงเจี๋ยที่อวดดีวางอำนาจบาตรใหญ่มาตลอดจะไม่รู้ว่าความกลัวคืออะไร ไม่นึกเลยว่าเขากลับเป็นพยัคฆ์ในถ้ำ รู้จักแค่วางอำนาจในบ้าน แต่พออยู่ข้างนอกกลับทำตัวอ่อนปวกเปียก

เสียงเหอะเย็นเยียบของลั่วล่างบ่งบอกความคิดของเขาอย่างชัดเจน ทำให้หลี่อิงเจี๋ยหน้าแดงสลับเขียวอย่างเอาแน่เอานอนไม่ได้ เขาอยากคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายและตะคอกด้วยความโมโหจริงๆ ว่า ‘นายแม่งร้องเหอะอะไรวะ พี่ชายพูดเรื่องจริงนะเว้ย มีไอเย็นพัดมาจริงๆ ไม่อย่างนั้นพี่ชายจะตัวสั่นได้ยังไงเล่า?’

น่าเสียดายที ความเป็นจริงไม่อนุญาตให้หลี่อิงเจี๋ยทำแบบนี้ เขาได้แต่ฝืนอดทนการสบประมาทที่โดนเพื่อนเข้าใจผิดว่าขี้ขลาดเช่นนี้ ในใจก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องคว้าชัยชนะบนสนามประลองให้ได้ ใช้ความจริงบอกลั่วล่างว่า เขา…หลี่อิงเจี๋ยไม่ได้กลัวอีกฝ่ายเลย

นักเรียนที่ชมดูไม่รู้เรื่องราวบนสนามประลองเหล่านี้เลย พวกเขามองเห็นเพียงเด็กหนุ่มงดงามกับเด็กหนุ่มที่ดูเย่อหยิ่งกำลังก้มหน้าสนทนากันไม่กี่ประโยค หลังจากนั้นก็ยืนนิ่งไม่ไหวติง อดทนรอคอยการปรากฏตัวของกรรมการตัดสินที่ทางโรงเรียนทหารส่งมา

โรงเรียนอนุญาตให้ประลองกัน ไม่ว่าจะเป็นการประลองทางการหรือว่าการประลองส่วนตัว ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ การประลองทางการจะให้ทางโรงเรียนทหารส่งกรรมการมาตัดสินอย่างยุติธรรม ส่วนการประลองส่วนตัว ทางโรงเรียนทหารจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวในนั้น

อย่างไรก็ตาม การประลองทั้งสองต่างมีข้อจำกัดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือไม่อาจให้เกิดการเสียชีวิตได้ ถ้าหากเกิดการเสียชีวิตขึ้นมาละก็ ทางโรงเรียนทหารก็จะส่งทีมตรวจสอบออกมาตรวจสอบดู ถ้าหากตรวจพบว่าฝ่ายตรงข้ามมีเหตุที่ส่อให้เห็นว่าจงใจสังหารคน ก็จะส่งนักเรียนหรือทางกลุ่มองค์กรที่สร้างเหตุการณ์ตายเข้าไปที่ศาลทหารโดยไม่เกรงใจเลยสักนิดเดียวก่อนจะทำการตัดสินโทษอย่างรุนแรงตามสถานการณ์ บทลงโทษที่ร้ายแรงที่สุดย่อมต้องเป็นโทษประหารชีวิตแน่นอน

ดังนั้น ต่อให้ในหมู่นักเรียนทหารจะเกิดการขัดแย้งไม่อาจลงรอยกันจนทำการต่อสู้กัน แต่โดยปกติแล้วก็จะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์เสียชีวิตขึ้นมา แน่นอนว่าไม่นับคนที่เตรียมพร้อมตายตกตามกัน

ส่วนการประลองระหว่างเหลยถิงกับกลุ่มนักเรียนใหม่สองกลุ่มอำนาจนี้ก็เป็นการประลองทางการ ดังนั้นถึงได้มีกรรมการของทางโรงเรียนทหารปรากฏตัวออกมา การที่คราวนี้กลายเป็นการประลองทางการก็เป็นผลจากการความต้องการของทั้งสองฝ่าย เนื่องจากต่างฝ่ายต่างกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะผิดคำพูด

ควรรู้เอาไว้ว่า ผลการประลองอย่างเป็นทางการจะได้รับการรับรองจากทางโรงเรียนทหาร เมื่อผลออกมากจะต้องปฏิบัติตาม ต่อให้ฝ่ายหนึ่งนึกเสียใจหลังจากที่เรื่องจบลง อยากจะละเมิดสัญญาที่เดิมพันกันไว้ อีกฝ่ายก็สามารถยื่นเรื่องให้ทางโรงเรียนทหารบีบบังคับให้ปฏิบัติตามผลการเดิมพันได้เช่นกัน เหลยถิงปรารถนาอยากได้กลุ่มนักเรียนใหม่ พวกเขาย่อมเลือกการประลองทางการเพื่อรับรองไม่ให้มีข้อผิดพลาด ส่วนกลุ่มนักเรียนใหม่ก็มีความกังวลแบบเดียวกัน การประลองในครั้งนี้จึงเปลี่ยนเป็นการประลองทางการเนื่องจากไม่มีคำคัดค้าน

…..

“ซื่ออวี๋ นายดูสิ เด็กหนุ่มข้างๆ ญาติผู้น้องของนายสวยมาก ดูเหมือนกับเด็กผู้หญิงเลย เขาก็เข้าร่วมการประลองด้วยเหรอ?” ใบหน้าของชายหน้าเด็กเต็มไปด้วยความเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้[1] “สวรรค์ หรือว่ากลุ่มนักเรียนใหม่ไม่มีคนอื่นแล้วหรือไง ถึงได้ส่งเด็กที่ดูสวยหยาดเยิ้มแบบนี้ออกมาต่อสู้ พวกเขาแข็งใจได้ยังไง?”

เวลานี้หลี่ซื่ออวี๋ก็เห็นรูปร่างหน้าตาของลั่วล่างแล้วเหมือนกัน เขาอึ้งไปทันใด ดวงหน้าที่แตกต่างกันอีกดวงผุดขึ้นในสมอง ทว่าดวงหน้านั้นกลับงดงามเช่นเดียวกัน ไม่สิ ดวงหน้านั้นยังสวยมากกว่าเด็กหนุ่มคนนี้เสียอีก งดงามราวกับไม่ควรปรากฏขึ้นในโลกมนุษย์…

หัวใจของหลี่ซื่ออวี๋กระตุกด้วยความเจ็บปวดขึ้นมาฉับพลัน นี่ก็เป็นเหตุผลที่สวรรค์ไม่ยอมให้ญาติผู้พี่คนโตมีร่างกายแข็งแรงใช่ไหม? เพราะว่าเดิมทีเขาไม่ใช่คนของทางโลก ถึงได้อยากเอากลับคืนไป?

ไม่ได้ ฉันไม่ยอมเด็ดขาด! ต่อให้ต้องต่อสู้กับสวรรค์ ฉันก็จะให้พี่มู่หลานอยู่ต่อ

หลี่ซื่ออวี๋จับขอบหน้าจอไว้แน่น นิ้วมือเกาะติดไว้ สัมผัสได้ถึงความเจ็บที่มาจากนิ้วมือ ราวกับว่าแบบนี้ถึงจะสามารถคลายความปวดร้าวจากความกังวลในใจเขาได้ เพราะว่าความเจ็บปวดที่ยากจะข่มกลั้นนี้ทำให้เขาเลือกหนทางอีกสายโดยที่ไม่นึกเสียใจเลย ต่อให้เขาสูญเสียสิทธิ์ในการสืบทอดตระกูลหลี่ไปเพราะเหตุนี้ เขาก็ไม่เสียใจเลย

เสียง ‘กรอบ!’ ดังขึ้น วัสดุของกรอบหน้าจอชิ้นหนึ่งถูกหลี่ซื่ออวี๋บีบแตกทันที ชายหน้าเด็กเด้งตัวพรวดขึ้น ก่อนจะพุ่งเข้ามา เขาดึงมือหลี่ซื่ออวี๋พลางเอ่ยคร่ำครวญว่า “สวรรค์ คะแนนของฉันนะ…” ถึงแม้ว่าสิทธิ์การใช้บ็อกซ์นี้จะเป็นของพวกเขาในปีนี้ ทว่าการทำข้าวของข้างในพังยังต้องทำการชดใช้อยู่ดี

———————–

[1] อุปมาว่า ไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่าน ของผู้ที่ตนหวังไว้