ตอนที่ 111-1 สุนัขญาติผู้ใหญ่

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ผ้าม่านถูกเลิกขึ้น เครื่องประทินโฉมกลิ่นกุหลาบโชยมา

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงย่นจมูกเล็กน้อย ไม่ใช่นาง ร่างของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ แต่กลับมีผลต่อจมูกและประสาทรับกลิ่นของเขา ทำให้รู้สึกสดชื่น ไม่ใช่ร้อนแรงเช่นนี้

 

 

สาวน้อยในชุดขี่ม้าสตรีสีชมพูกุหลาบย่างก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม ดวงตาดุจน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงของนางมองมายังชายหนุ่มหลังโต๊ะแคบยาว ก่อนทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย

 

 

“ถวายบังคมฉินอ๋อง”

 

 

เฉี่ยวเย่ว์ที่อยู่ด้านหลังเมียงมอง แล้วจึงถอยออกจากกระโจมอย่างพอเหมาะพอดี ค่อยดึงผ้าม่านลง ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก

 

 

“หย่งจยา?” ซย่าโหวซื่อถิงเลิกคิ้วเข้มขึ้น ผิดหวังเล็กน้อย ความสดใสในดวงตาเหมือนช่วงน้ำลงก็มิปาน หมองหม่นลง “เจ้ามาทำไม”

 

 

ท่านหญิงหย่งจยามองความรู้สึกนึกคิดของเขาออก จึงก้มหน้า พลางพูดเสียงต่ำลง

 

 

“หย่งจยาได้ยินมเหสีรองว่า เสด็จพี่ฉินอ๋องขอทำหน้าที่ล่าหมีเอง จึงมาดูๆ หน่อย หมีดำนั่นเพิ่งกินหัวหน้ากองกิจการภายในไป ตอนนี้ผู้คนกำลังตื่นตระหนก เสด็จพี่ฉินอ๋องสุขภาพไม่ค่อยดี ข้าเกรงว่า…”

 

 

การเปลี่ยนเป็นเรียก เสด็จพี่ฉินอ๋อง ทำให้ดูสนิทสนมกว่ามาก

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงหยิบหน้าไม้ขึ้นมา ตรวจดูให้ละเอียดต่อ

 

 

“กลุ่มคนและเครื่องมือล้วนเตรียมพร้อมแล้ว ไม่มีอะไรหรอก เจ้ากลับไปเถิด เกิดใครครหาว่า หญิงสาวตัวคนเดียว เข้ามาในกระโจมผู้ชาย จะไม่เหมาะสม ถ้าเสด็จพ่อรู้ก็ต้องต่อว่า”

 

 

ไม่เหมาะสม? ทีเมื่อวาน เขาดอดไปกระโจมผู้หญิงเป็นการส่วนตัวตอนกลางคืน ไม่เห็นคิดว่าไม่เหมาะสม ตอนนี้นางเข้ามาอย่างเปิดเผยตอนกลางวัน ทำไมถึงบอกว่าไม่เหมาะสมเล่า

 

 

ริมฝีปากบางของท่านหญิงหย่งจยาแสดงท่าทีไม่ยินยอม พลางยืดอก แล้วพูดอย่างนุ่มนวล

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก” ว่าแล้วก็บิดชายเสื้อที่กุ๊นขอบแบบใบบัว พลางเดินเข้าหา ยิ้มอย่างสดใสและอ่อนโยน

 

 

“เสด็จลุงฝ่าบาทมักกลัวว่าหย่งจยาจะเบื่อ จึงอนุญาตให้หย่งจยาเดินเที่ยวได้ทั่วมาตลอด ปีนี้เสด็จพี่ฉินอ๋องออกล่าสัตว์ หย่งจยามาดูๆ ย่อมทรงให้อภัยในความห่วงใยของหย่งจยา ไม่มีอะไรหรอก ต่อให้เสด็จลุงฝ่าบาทรู้ หย่งจยาพูดสองสามคำ ก็ไม่มีเรื่องแล้ว”

 

 

“เจ้าเป็นที่โปรดปรานเรื่อยมา เสด็จพ่อเห็นเจ้าเป็นหลานสุดที่รัก ต่อให้ทำผิด ก็ไม่ลงโทษเจ้า” มือที่ถือหน้าไม้ของซย่าโหวซื่อถิงหยุดลง “แต่ลงโทษผู้ที่อยู่ข้างๆ เจ้านี่สิ”

 

 

น้ำเสียงเรียบๆ แต่คมคายอะไรอย่างนั้น ท่านหญิงหย่งจยากลับเปลี่ยนสีหน้า ทำปากยื่นแบบคนไม่ได้รับความเป็นธรรม ก่อนพูดเสียงสั่นน้อยๆ

 

 

“เสด็จพี่ฉินอ๋องก็ ซวนซวนไม่ยอมให้สาวใช้ถูกลงโทษหรอก ซวนซวนแค่…อยากมาส่งเสด็จพี่ฉินอ๋องนี่”

 

 

ท่านหญิงหย่งจยามีชื่อจริงว่า ซย่าโหวซวน แต่มีน้อยคนนักที่จะเรียกเช่นนี้ จำนวนกว่าครึ่งเรียกนางว่าหย่งจยาตามบรรดาศักดิ์ หรือไม่ก็เรียกท่านหญิงด้วยความเคารพ

 

 

การที่นางเรียกชื่อจริงของตัวเอง ทำให้ซย่าโหวซื่อถิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น

 

 

เขาออกจากวังตั้งแต่ยังเล็ก จึงไม่สนิทกับพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน อย่าว่าแต่ญาติผู้น้องผู้นี้เลย ถ้าจะพูดถึงโอกาสที่ได้ใกล้ชิด ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าตอนเข้าวังไม่กี่ครั้งตั้งแต่เล็กจนโต ซึ่งเขาก็ได้พบเพียงญาติผู้น้องผู้นี้เท่านั้น และรู้สึกเพียงว่า ญาติผู้น้องซึ่งเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ผู้นี้ มักมาคุยกับตน และเกาะติดตนอย่างเหนียวแน่น

 

 

ซึ่งพอสนมเอกเฮ่อเหลียนเห็นว่าหย่งจยาเป็นคนโปรด ก็กำชับโอรสว่า ให้ดีกับนางหน่อย และจากคำกำชับของพระมารดา เวลาซย่าโหวซื่อถิงเข้าออกวัง และพบเจอนาง ก็จะค่อนข้างเกรงใจนาง

 

 

พอเห็นนางตาแดง เหมือนน้ำตาจะหยดลงอยู่รอมร่อ ใจของซย่าโหวซื่อถิงก็แป้ว ที่ผ่านมาเขาเห็นใครร้องไห้เป็นไม่ได้ จึงรับยกมือปรามให้หยุดยั้ง

 

 

“เจ้าอยากส่งก็ส่งสิ หาที่นั่งเองก็แล้วกัน อย่ามากวนข้า”

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาจึงหัวเราะทั้งน้ำตา ก่อนเดินไปยกเก้าอี้บุผ้าแพรด้วยตัวเอง มานั่งอยู่หน้าโต๊ะแคบยาว

 

 

ชายหนุ่มคิ้วดาบ ดวงตาสุกสกาวขณะยกมีดสั้นเล่มหนึ่งขึ้น เขาใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัวดาบทั้งสองด้านอย่างมีสมาธิ ตั้งใจจนทำให้ผู้พบเห็นหวั่นไหว

 

 

หย่งจยาม้วนชายเสื้อไปมา พลางจ้องมองชายหนุ่มตาเป็นมัน บางคนสงบนิ่งอยู่ใต้อาณัติผู้อื่นชั่วคราว แต่รูปลักษณ์ภายนอกและบุคลิกถูกกำหนดให้เป็นผู้ปกครองใต้หล้าแต่กำเนิด ก็เหมือนชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า

 

 

นางจำไม่ผิด ไม่ผิดเป็นอันขาด ซย่าโหวซื่อถิงชื่อนี้ ตอนนางได้ยินเป็นครั้งแรก เมื่อมาถึงต้าเซวียน รัชศกหนิงซี ก็นึกขึ้นได้ในทันที

 

 

ชื่อของเขากับอีกชื่อหนึ่งมักปรากฎอยู่ด้วยกัน…เจาจง

 

 

ใช่ ถ้าจำไม่ผิด ราชวงศ์ต้าเซวียนมีเจาจงฮ่องเต้ ชื่อซย่าโหวซื่อถิง เป็นฮ่องเต้องค์ถัดจากหนิงซีฮ่องเต้ ซย่าโหวรุ่ย ถูกแล้ว พงศาวดารเขียนไว้แบบนี้!

 

 

ยุคสมัยที่นางอยู่ก่อนหน้านี้ คือยุคหลังราชวงศ์ต้าเซวียนนานเอามากๆ พันกว่าปีเห็นจะได้ ตอนนั้น ราชวงศ์ต้าเซวียนได้กลายเป็นหมอกควันกลุ่มหนึ่งของแม่น้ำสายยาวแห่งประวัติศาสตร์ไปแล้ว

 

 

ในยุคนั้น มีสิ่งล่อตาล่อใจจากต่างบ้านต่างเมืองมากมาย ทำให้ผู้คนตาลายไปหมด นางก็เป็นแบบเดียวกันกับเด็กสาวในยุคนั้น ชอบเล่นอินเทอร์เน็ต ชอบแอนนิเมชั่น ชอบอาหารสวยงาม คบเพื่อน แต่งตัว แต่งหน้า แต่จะอย่างไรก็ไม่สนใจประวัติศาสตร์อันน่าเบื่อ สำหรับฮ่องเต้ในยุคสมัยก่อน รู้จักแต่เพียงองค์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง…ซึ่งเจาจงฮ่องเต้เป็นหนึ่งในนั้น

 

 

ตอนนี้นางก็ยังจำภาพเหมือนของฮ่องเต้แต่ละองค์ในทุกยุคทุกสมัย ที่ปรากฎอยู่ในหนังสือภาพวาดประวัติศาสตร์ของประเทศได้

 

 

เจาจงคือหนึ่งในนั้น เขารูปร่างสูงเพรียว นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรทอง สวมมาลามงกุฎเก้าสาย สวมชุด

 

 

เหลืองทองลายมังกร แม้เป็นคนโบราณเมื่อพันกว่าปีก่อน แต่หน้าตาและบุคลิก ถ้าว่ากันตามหลักสุนทรียศาสตร์

 

 

ไม่ว่าสมัยไหน จะโบราณหรือสมัยใหม่ ก็ล้วนได้มาตรฐาน

 

 

ให้ตายอย่างไร นางก็คิดไม่ถึงว่า ตนเองจะมีวันนี้ วันที่เหมือนนางเอกในนิยาย ย้อนเวลามาอยู่ในยุคที่มีฮ่องเต้หน้าตาดี ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่องค์

 

 

ขณะรู้ว่าตนอาจเป็นสักขีพยานในการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่องค์หนึ่ง หย่งจยาค่อยนึกเสียดายว่า ทำไมตนไม่ตั้งใจเรียนวิชาประวัติศาสตร์ตั้งแต่แรก ตามความรู้เท่าหางอึ่งในด้านนี้ของนาง นางรู้เพียงว่า เจาจงฮ่องเต้โดดเด่นเรื่องวิริยะอุตสาหะในการบริหารบ้านเมือง มีความเด็ดขาดและรวดเร็ว ปราบปรามขุนนางทุจริต พิชิตขุนนางเล่นพรรคเล่นพวก แสวงหาประโยชน์ส่วนตน

 

 

แต่อย่างไรก็ตาม นางก็รู้ว่าชายผู้นี้คือฮ่องเต้ในอนาคต ซึ่งก็เป็นความรู้ที่มากว่าคนอื่นอยู่แล้ว มิใช่หรือ