จี้เสียวอู่หันหลังกลับมาแล้วยิ้มให้ “พี่กุ้ยเหนียง อันที่จริงท่านกับข้าไม่ควรพบกันที่นั่น คิดเสียว่าก่อนหน้านี้เป็นแค่ความฝันเถอะ” กุ้ยเหนียงมองเขาเดินจากไปทั้งอย่างนั้น ผ่านไปไม่นานก็มีสาวใช้ที่ถูกย้ายให้มาช่วยคดีนี้เป็นพิเศษเข้ามาพานางกลับไปเพื่อรอการสอบสวนคดี
“ท่านคือกุ้ยเหนียงใช่หรือไม่”
กุ้ยเหนียงตอบเสียงเบา “เจ้าค่ะ”
“ตามบ่าวมาเจ้าค่ะ” กุ้ยเหนียงตามนางเข้าไปในห้องโถง เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ตรงกลางก็ไม่กล้าสบตา นางคุกเข่าคำนับอีกฝ่าย “ข้าน้อยนามกุ้ยเหนียง คารวะใต้เท้า”
แล้วก็มีเสียงอ่อนโยนดังขึ้น “กุ้ยเหนียง เจ้าเป็นเด็กสาวที่ถูกลักพาตัวมาใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ” กุ้ยเหนียงย่อกาย “ข้าน้อยถูกจับตัวไปตั้งแต่ยังอายุไม่ถึงสิบปี หลายปีมานี้ถูกพวกเขาบังคับจนทำเรื่องไม่ดีเข้า ขอใต้เท้าโปรดเมตตาด้วยเจ้าค่ะ”
“พูดมา เจ้าทำเรื่องไม่ดีอะไร”
กุ้ยเหนียงกัดริมฝีปาก นางนึกถึงคำพูดของจี้เสียวอู่แล้วสารภาพทุกอย่างออกมา “ข้าน้อยเริ่มรับแขกตอนอายุสิบสี่ ในตอนแรกข้าน้อยร่วมมือกับพวกเขาสร้างเรื่องหลอกลวงต่อมาก็ได้ทำความรู้จักกับเจ้าหน้าที่ตามความต้องการของพวกเขา…”
นางมีความจำที่ดี รู้หนังสือ แขกทุกคนที่นางเคยต้อนรับมานางจำได้อย่างชัดเจน เจ้าหน้าที่คัดลอกเขียนรายชื่ออยู่สิบกว่าหน้ากว่าจะจบ เมื่อมองดูเนื้อหาอย่างละเอียดแล้วเหงื่อของเขาแทบอาบหน้า
ถึงแม้จะไม่มีขุนนางชั้นสูงอย่างขั้นสองขั้นสาม แต่ขุนนางขั้นห้าขั้นหกนั้นมีไม่น้อยเลยแล้วยังมีผู้มีอิทธิพลจำนวนหนึ่งอีกด้วย หากนำมาเรียงดูแล้วถึงกับสะเทือนแผ่นดินเลยทีเดียว
ท่าทางของเจี่ยงเหวินเฟิงดูปกติรอจนนางพูดจบจึงถามกลับไปว่า “มีแค่นี้หรือ”
กุ้ยเหนียงลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ตอบต่อไปว่า “พวกเขาไม่เพียงแต่หลอกพ่อค้าร่ำรวย แต่ยังสมรู้ร่วมคิดกับเจ้าหน้าที่ และยังฆ่าสตรีและเด็กที่ลักพาตัวมาไปไม่น้อย เพียงแต่ข้าน้อยไม่รู้นามของพวกเขาเจ้าค่ะ…”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “มีเด็กสาวคนหนึ่งนามหลิงหลง ชำนาญบทเพลงเหมือนฝันเจ้ารู้จักนางหรือไม่”
กุ้ยเหนียงตกใจ “หลิงหลง! นาง…”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้จัก” เจี่ยงเหวินเฟิงโบกมือเรียกเหลยหง “พานางไปที่เรือนหลัง”
“ขอรับ” คดีนี้ถึงแม้จะคลี่คลายแล้ว แต่เรื่องที่ตามหลังมามีไม่น้อยเลย
ศพเหล่านั้นเหลือแต่เป็นกระดูกจนไม่สามารถระบุตัวตนได้ แต่พวกเขาถูกลักพาตัวมาจากที่ใดกัน เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่ สาเหตุที่พวกเขาเสียชีวิตจึงยังเป็นสิ่งที่ต้องสืบหากันต่อไป
นอกจากนี้ธุรกิจลับของกลุ่มยาจก อำนาจมืดที่พวกเขาก่อทำชั่วต้องดึงออกมาทีละอย่างและถอนรากถอนโคนให้หมด
………
เรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกับจี้เสียวอู่ เขาบิดขี้เกียจและเดินออกจากลานกว้าง แต่ก็เห็นหมิงเวยที่ยืนอยู่ที่มุมๆ หนึ่ง
“พี่ห้า” หมิงเวยยิ้ม “หลายวันมานี้สบายดีหรือไม่”
จี้เสียวอู่กลอกตาให้นางอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าถูกหลอกเสียสนิท บอกอย่างดิบดีว่าข้าจะได้เป็นจอมยุทธ์น้อยออกจากเขา”
สีหน้าของหมิงเวยยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “พี่ห้าช่วยเด็กสาวจำนวนมากให้หลุดพ้นจากนรก การกระทำวีรกรรมที่กล้าหาญเช่นนี้ต้องได้รับการสรรเสริญทั่วยุทธภพแน่นอน”
“พอสักทีเถอะ!” จี้เสียวอู่ไม่คล้อยตามเลยสักนิด “เจ้าอยากให้ท่านแม่โกรธมากเลยใช่หรือไม่”
หมิงเวยทำสีหน้าประหลาดใจ “ที่แท้พี่ห้าก็รู้อยู่แล้วว่าท่านป้าต้องโกรธเป็นแน่ ปกติท่านทำตัวไร้สาระดูเหมือนท่านไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของท่านลุงท่านป้าเลย”
“…” จี้เสียวอู่หันหน้ามา “ข้าขี้เกียจยุ่งกับเจ้าแล้ว!”
หมิงเวยปลอบเขา “เอาล่ะ พี่ห้าอย่าโกรธไปเลยข้าพูดแล้วรักษาคำพูด ท่านอยากเรียนเคล็ดวิชากลับไปข้าจะสอนให้ดีหรือไม่”
จี้เสียวอู่พอใจ “ค่อยยังชั่วหน่อย…”
“ตอนนี้เวลายังไม่เช้า พวกเรากลับจวนกันเถอะ ท่านลุงท่านป้ารู้ว่าท่านกลับมาต้องดีใจแน่”
จี้เสียวอู่บ่นพึมพำและเดินตามนางออกไป “ไม่รู้ว่าเจ้าเอาอะไรให้ท่านแม่ทานกัน พวกเขาถึงได้เชื่อสนิทใจ ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่กลับจวน แต่พวกเขาก็ไม่ถามหรือสงสัยเลยสักนิด”
เดินไปได้แค่สองก้าวหยางชูก็เดินเข้ามาหาประโยคแรกที่เขาพูดคือการถามจี้เสียวอู่ “คุณชายจี้ ท่านต้องการเป็นสายลับของหวงเฉิงซือหรือไม่”
จี้เสียวอู่ได้ยินก็ไม่พอใจ “ท่านจะหลอกข้าให้ไปทำงานรับใช้งั้นหรือ! ข้ามองออกพวกท่านสองคนมันคนหลอกลวงเชื่อถือไม่ได้!”
หยางชูไหวไหล่ “ไม่เข้าร่วมก็ไม่เข้าร่วมท่านจะโมโหทำไม”
“หึ!”
หยางชูถามหมิงเวย “พวกท่านจะกลับแล้วหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นค่อยกลับวันรุ่งขึ้นแล้วกัน ตอนนี้ยามจื่อ[1]แล้ว พี่ชายท่านไม่เป็นไรหรอก แต่ท่านจะแก้ต่างให้ตนเองอย่างไร”
เย็นวันนี้นางไม่กลับจวนเพราะหยางชูช่วยหาข้ออ้างด้วยการให้ฮูหยินท่านหนึ่งแสร้งเป็นมารดาของเพื่อนร่วมชั้นเรียนบอกคนในตระกูลจี้ไปว่าต้องการชวนนางไปสอนกู่ฉินบุตรสาวที่เรือนจึงขอพานางไปค้างด้วยหนึ่งคืน
หมิงเวยเองก็คิดเช่นนั้นยังไม่กลับไปจะดีกว่า หากกลับไปพวกเขาต้องคิดว่าเกิดเรื่องขึ้นแน่ “ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะไปพักที่ไหนดี”
“พักที่…”
“เดี๋ยว!” จี้เสียวอู่โพล่งขึ้น “ท่านจะเกินไปแล้วนะ! หากน้องสาวข้ากลับจวนโหวกับท่านไปชื่อเสียงของนางจะไม่เสียหายหรือ”
หยางชูแปลกใจ “คุณชายจี้พูดอะไรน่ะ ข้าจะให้นางไปที่จวนโหวได้อย่างไร”
“ก็เมื่อครู่ท่านบอกว่าให้ไปพักที่เรือนของท่าน”
“ข้ายังพูดไม่จบ” หยางชูพูด “ข้าจะบอกว่าข้ามีเรือนอีกหลังอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เดินทางสักพักก็ถึงแล้ว วางใจเถอะที่นั่นไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นเรือนของข้า”
จี้เสียวอู่สงบลง แต่ก็ยังไม่วางใจ เขาถามไปอีกว่า “ไม่มีคนนอกรู้จริงๆ ใช่หรือไม่”
“แน่นอน” หยางชูให้คำมั่น
“ก็ได้” แล้วสองพี่น้องก็พาตัวฝูขึ้นรถม้าของหยางชูไป
ไม่นานรถม้าก็มาจอดหน้าซอยเล็กๆ ที่ดูสะอาดสะอ้านแห่งหนึ่ง
หยางชูพูด “ข้าไม่ลงไปนะ อาสวนจัดการให้แล้วพวกท่านเข้าไปได้เลย”
ทั้งสามคนลงจากรถม้า พวกเขามองรถม้าของหยางชูเคลื่อนออกไปแล้วจี้เสียวอู่ก็พูดขึ้นว่า “ข้าจะไปเคาะประตู”
หมิงเวยพยักหน้านางกำลังจะเอ่ยปากพูดออกไปแต่ทันใดนั้นสัญชาตญาณระวังตัวของนางก็ดังขึ้น นางรีบหยิบขลุ่ยขึ้นมาจรดริมฝีปาก
“อู!”
“ติง!”
คลื่นเสียงทั้งสองปะทะกันแม้ไม่รุนแรงมากแต่ราวกับมีเสียงกลองดังขึ้นในหูอย่างรุนแรง หมิงเวยไม่มีเวลาอธิบายอะไรนางผลักจี้เสียวอู่ไปทางตัวฝู “ดูแลเขาด้วย” และกระโดดออกไป
“เดี๋ยวสิ…” จี้เสียวอู่ตกตะลึงเกิดอะไรขึ้นกันแน่
พอเขาหันหน้ากลับไปก็ไม่เห็นเงาของหมิงเวยเสียแล้วได้ยินแต่เสียงขลุ่ยและกู่ฉินที่ดังไม่หยุด เสียงที่ดังออกมาดูแปร่งหูแต่ทุกครั้งที่ได้ฟังทำเอาเขารู้สึกมึนหัวไปหมด
ตัวฝูหยิบผ้าเช็ดหน้ามาอุดหูให้อีกฝ่าย “คุณชายห้าอย่าไปฟังเจ้าค่ะ ในคลื่นเสียงมีกำลังภายในอยู่” พอมีผ้ามาอุดหูจี้เสียวอู่เลยรู้สึกดีขึ้น
เขาถามตัวฝูเสียงดัง “มีคนลอบทำร้ายงั้นหรือ”
ตัวฝูพยักหน้าแล้วหันไปมองที่ที่หนึ่งอย่างใจจดใจจ่อ
จี้เสียวอู่มองตามสายตานางไปพบว่ามีร่างสองร่างเดี๋ยวลอยขึ้นเดี๋ยวลงอยู่บนชายคาราวกับนกกระพือปีก
เขามองอยู่สักพักแล้วพึมพำ “นี่เรียกว่าชาวยุทธภพใช่หรือไม่ น้องหญิงโกหกข้าอีกแล้ว!”
การช่วยคนก็ไม่เลว แต่เขาแฝงตัวอยู่ในกลุ่มยาจกมันจะไปสง่างามได้อย่างไร นี่ต่างหากเป็นสิ่งที่เขาใฝ่ฝัน!
“คุณชายห้าเจ้าคะ!” ตัวฝูโน้มตัวพูดข้างหูเขา “ท่านอย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุก หากไม่ระวังตัวอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ คุณหนูเขาทำเพื่อท่านเลยนะเจ้าคะ”
จี้เสียวอู่ตอบกลับว่า “ขอบคุณ แต่ไม่ต้องคิดแทนข้า วันรุ่งขึ้นเริ่มสอนข้าได้เลย!”
…………
[1] ยามจื่อ : เวลา 23.00 น. – 01.00 น.