ตอนที่ 297 ความโลภของผู้บำเพ็ญเพียรมาร

พันธกานต์ปราณอัคคี

ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณเห็นดังนั้น รีบเคลื่อนสมบัติวิเศษไล่ตามเงาคนสีเขียวไป หลินหรานเห็นดังนั้นจึงหันหลังไล่ตามอสูรเขาเดียวไป

 

 

“เจ้าโง่ กลับมา อสูรเขาเดียวเป็นอสูรปีศาจขั้นห้า เจ้าไล่ตามไปรนหาที่ตายหรือ?” ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณพลางตะคอกพลางไล่ตามลำแสงสีเขียวตรงหน้า

 

 

หลินหรานถึงหมุนตัว ไล่ตามอาจารย์ไป

 

 

เสียงตะคอกดังของผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณเข้าหูมั่วชิงเฉิน แอบว่าไม่ผิดตามที่คาดไว้ ทันใดนั้นนิ้วมือพลิ้วไหวซัดแสงวิญญาณสายหนึ่งไปที่ไหมเกล็ดน้ำแข็ง ความเร็วของไหมเกล็ดน้ำแข็งยิ่งเร็วขึ้นมา ดุจม่านเมฆบางเบาสายหนึ่งโชยผ่านขอบฟ้า

 

 

ขับเคลื่อนไหมเกล็ดน้ำแข็ง ความเร็วของนางไม่ช้ากว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะต้นเลย กระทั่งยังเหนือกว่า เพียงสิ่งเดียวที่ขาดก็คือตบะต่ำเกินไป สมบัติวิเศษตามธรรมชาติเช่นนี้นางประคองได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น

 

 

“ดีนี่นางหนู ไม่คิดว่าจะมีสมบัติวิเศษตามธรรมชาติ!”ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณตาเป็นประกายขึ้น

 

 

หากเป็นเช่นนี้ ก็ไว้ชีวิตนางหนูนี่ไม่ได้แล้ว จับเป็นนางกลับไปต่อให้ความดีความชอบจะมากเพียงใด ของรางวัลที่ได้รับก็เทียบสมบัติวิเศษตามธรรมชาติไม่ได้

 

 

มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าคนที่ไล่ตามมาอย่างไม่ลดละข้างหลังเกิดคิดจะฆ่าตนแล้ว กลับรู้ว่าจะตกไปอยู่ในเงื้อมมือของเขาไม่ได้เด็ดขาด จึงเร่งไหมเกล็ดน้ำแข็งบินไปที่บึงโคลนแห่งนั้นอย่างไม่เหลือร่องรอย

 

 

ป่ากาลีกว้างใหญ่ไพศาล ข้างในอสูรปีศาจและพืชเ**้ยมเกรียมนับไม่ถ้วน ไม่รู้มีภยันตรายแอบแฝงไว้เท่าไร ถูกขนานนามว่าเป็นฉากกั้นตามธรรมชาติที่กั้นดินแดนเทียนหยวนและแดนไท่ไป๋พร้อมเขาอู๋ฉยง ต่อให้หลังจากกลายเป็นสนามรบในศึกเต๋ามาร ก็มีสถานที่มากมายที่ผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ไม่กล้าย่างกรายเข้าไปอยู่ดี บึงโคลนนี้ก็คือหนึ่งในนั้น

 

 

ในป่ากาลีบึงโคลนเช่นนี้มีไม่รู้เท่าไร ดูแล้วล้วนคล้ายๆ กัน นี่ก็ทำให้อสูรปีศาจและผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์นับไม่ถ้วนประมาท ยามที่บินผ่านบึงโคลนแห่งนี้ ไม่รู้มีคนตั้งเท่าไรที่ต้องฝังตัวใต้ไฟกรรมบัวแดง

 

 

“ยัยเด็กบ้า จะหนีไปไหน!” ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณเห็นแม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตัวเล็กๆ ยังไล่ไม่ทัน อดอับอายจนโกรธไม่ได้ ยกมือขึ้นยิงปราณดำออกสายหนึ่ง กลายเป็นมังกรเมื่อเจอลมกลางอากาศ และมีเสียงคำรามก้องกังวานของมังกรรางๆ ไล่ตามมั่วชิงเฉินไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบ

 

 

มั่วชิงเฉินไม่กล้ามองกลับไป บีบเลือดออกหยดหนึ่งจากนิ้วกลางมือซ้ายหยดเข้าไปในไหมเกล็ดน้ำแข็ง

 

 

ไหมเกล็ดน้ำแข็งที่ได้เลือดของมั่วชิงเฉินส่องแสงโชติช่วงทันที แล้วบินไปข้างหน้าโดยพลัน สลัดมังกรดำที่กำลังจะไล่ทันไว้ข้างหลังอีก

 

 

“ใช้เลือด?” ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่ง “ยัยเด็กบ้าช่างทำได้ลงคอจริงๆ เสียดายไม่ว่าเจ้าจะทุบหม้อข้าวจมเรือเช่นไร ก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเท่านั้น!”

 

 

ใช่แล้ว นี่คือโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรในความเป็นจริงและโหดร้าย การปะทะกันข้ามรุ่นมี ทว่าไม่ใช่ใช้แรงอวดเบ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตัวเล็กๆ ก็จะสามารถเหยียบผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหรือกระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดไว้แทบเท้าได้

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณและผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน แตกต่างกันที่แก่นแท้

 

 

หากบอกว่ามั่วชิงเฉินสามารถเอาชนะผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายยามที่อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง นั่นเพราะพลังความสามารถนางแข็งแกร่ง ความตระหนักในการสู้รบโดดเด่น ทว่านางคิดจะเอาชนะผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณระยะต้นด้วยตบะระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคนโง่เพ้อฝัน

 

 

เพียงสิ่งเดียวที่นางทำได้ ก็คือหนี

 

 

ดีที่บึงโคลนแห่งนั้นห่างจากที่ที่มั่วชิงเฉินอยู่ตอนหลังไม่ไกล ช่วงเวลาที่เจ้าไล่ข้าหนีพูดไปแล้วยาวนาน ที่จริงเพียงแค่ชั่วอึดใจนางก็มาถึงข้างบึงโคลนแล้ว โบกมือเก็บไหมเกล็ดน้ำแข็งกลับ ยืนให้นิ่งแล้วหันกลับมา

 

 

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณก็หยุดลง เพ่งพิศมั่วชิงเฉินที่สีหน้าซีดเซียวหอบแฮ่กๆ แล้วหัวเราะเย้ยว่า “ยัยเด็กบ้า ไยไม่หนีแล้วล่ะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือปาดเหงื่อ แสยะมุมปากยิ้มว่า “หนีไม่รอด ไม่หนีแล้ว”

 

 

“นับว่าเจ้าฉลาด!” ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณยิ้มแผ่วเบา “ยัยเด็กบ้า ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์ของนักพรตเหอกวง ไม่คิดว่าจะมีสมบัติวิเศษตามธรรมชาติ”

 

 

จนกระทั่งถึงยามนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับสร้างรากฐานหลินหรานถึงเหงื่อไหลโซมตามมาถึงแล้ว

 

 

“อาจารย์”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณกวาดมองเขาปราดหนึ่ง ไม่ได้ตอบ แอบว่าศิษย์คนนี้แม้คุณสมบัติไม่เลว ทว่าบัดนี้ดูแล้ว เทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะจริงๆ พวกนั้นยังห่างอีกไกล ไยตนถึงไม่มีโชค รับศิษย์ดีๆ ได้บ้างนะ

 

 

มั่วชิงเฉินมองดูศิษย์อาจารย์สองคน ใจในแอบพิเคราะห์ ฟังความหมายของผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณคนนี้ คิดจะฆ่าคนแย่งสมบัติแล้วสิ?

 

 

สมบัติวิเศษตามธรรมชาติต่างจากสมบัติวิเศษธรรมดา คิดจะเปลี่ยนเจ้าของเช่นนั้นก็มีเพียงฆ่าเจ้าของเดิมเท่านั้น

 

 

ส่วนสมบัติวิเศษเจ้าชะตาก็แตกต่างกันอีก เมื่อใดที่เจ้าของตัวตาย สมบัติวิเศษเจ้าชะตานั้นก็จะตายตามไปด้วย

 

 

โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรช่างอัศจรรย์เหลือเกิน เฉพาะสมบัติวิเศษที่ต่างกันก็มีที่พึ่งพิงที่ไม่เหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นคน

 

 

ที่พึ่งพิงของข้า ไม่มีทางเป็นที่นี่เด็ดขาด!

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟัน มองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา

 

 

“อาจารย์ คือนางหรือ ไหนบอกว่านางหนูนั่นสวยหยาดฟ้ามาดินมิใช่หรือ?” หลินหรานเอ่ยอย่างลังเล

 

 

“ไม่ว่าใช่หรือไม่ จับไว้ก่อนค่อยว่ากัน” ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณเอ่ยเสียงเย็น ในใจกลับคิดว่าที่ข้าอยากได้ก็คือสมบัติวิเศษตามธรรมชาตินี่ ใช่หรือไม่ใช่สำคัญด้วยหรือ

 

 

มั่วชิงเฉินเป็นคนฉลาด เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จึงเข้าใจทันทีว่าคนตรงหน้าเพื่อไหมเกล็ดน้ำแข็ง คิดจะฆ่าคนปิดปากแล้ว

 

 

ในเมื่อมาถึงทางตันแล้ว เช่นนั้นก็ลองดูสักตั้งเถอะ!

 

 

“นางหนู เอาเช่นนี้เถอะ เจ้ามอบสมบัติวิเศษตามธรรมชาติออกมา ข้าจะเปิดทางรอดให้เจ้าเป็นเช่นไร?” ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณปากพูดพลาง นิ้วมือกลับขยับขึ้นมาแผ่วเบา

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่ง “ผู้อาวุโสแม้ตบะสูง ทว่าก็อย่าเห็นคนอื่นเป็นคนโง่ สมบัติวิเศษตามธรรมชาตินี่คิดจะเปลี่ยนเจ้าของ ข้ายังมีทางรอดหรือ?”

 

 

ในยามที่ปราณดำในมือผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณเริ่มอบอวลนั่นเอง จู่ๆ ก็ได้ยินมั่วชิงเฉินหัวเราะร่าขึ้นมาว่า “หึๆ อย่างไรก็ต้องตาย เช่นนั้นข้าไม่มีทางให้เจ้าได้สมหวังเด็ดขาด!”

 

 

พูดพลางสะบัดมือ ไหมเกล็ดน้ำแข็งก็พุ่งไปที่บึงโคลน ส่วนเจ้าตัวกลับบุกเข้าหาผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณ

 

 

ยามที่เจ้าของตัวตายหากสมบัติวิเศษตามธรรมชาติไม่อยู่ข้างกาย สมบัติวิเศษตามธรรมชาติที่มีปราณวิญญาณแล้วก็จะวิ่งหนี คนอื่นคิดอยากได้ก็ยากแล้ว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณเห็นไหมเกล็ดน้ำแข็งนี้แล้วก็ตาร้อนไม่หาย ส่วนมั่วชิงเฉิน ไหนๆ ก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือเขา เขาจะทนเห็นไหมเกล็ดน้ำแข็งนี้หนีหายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร?

 

 

โดยเฉพาะมั่วชิงเฉินบุกเข้ามาหาเขาตรงๆ อีก เห็นชัดว่าตัดสินใจสู้ตายแล้ว ยอมตายก็ไม่ให้เขาได้สมบัติวิเศษตามธรรมชาตินั้น

 

 

เป้าหมายที่มั่วชิงเฉินสร้างสถานการณ์ไว้เห็นผลตามคาด ในชั่วอึดใจผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณไม่ทันได้ครุ่นคิด ซัดปราณดำในมือใส่มั่วชิงเฉิน แล้วกลับแวบตัวไล่ตามไหมเกล็ดน้ำแข็งไปแล้ว

 

 

บึงโคลนที่เงียบสงบดำมืดโสมม ดูแล้วธรรมดามาก

 

 

ไหมเกล็ดน้ำแข็งแม้แฝงไว้ด้วยปราณวิญญาณมหาศาล กลับไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ไม่มีกลิ่นอายของพลังวิญญาณ บัวแดงอเวจีใต้บึงโคลนหลบอยู่ไม่ปะทุ ก็เหมือนวิญญาณร้ายในนรก รอการมาถึงของเหยื่ออย่างเงียบๆ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณมาถึงตรงกลางบึงโคลน มองไหมเกล็ดน้ำแข็งที่กำลังจะตกลงไปในบึงโคลนแล้วหรี่ตา จู่ๆ แขนขวายากขึ้น ตรงไปจับไหมเกล็ดน้ำแข็ง

 

 

ในช่วงเวลาเส้นยาแดงผ่าแปดนี้เอง จู่ๆ ไหมเกล็ดน้ำแข็งก็เปลี่ยนทิศทางไปตรงๆ และรวดเร็ว พุ่งขึ้นข้างบน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณคิดจะหดมือกลับ กลับพบว่าในมือมีของสิ่งหนึ่งเพิ่มมา เพ่งดูดีๆ เห็นเพียงในมือจับก้านสีเขียวเข้มไว้ก้านหนึ่ง

 

 

ก็ในเวลาชั่วแวบหนึ่งที่ตะลึงนี้ ดอกบัวสีแดงเพลิงดอกหนึ่งบานขึ้นบนก้านอันนั้นกะทันหัน

 

 

ไม่ถูก ไม่ใช่ดอกบัวแดงเพลิง หากแต่ตัวดอกบัวเองเดิมทีก็มีเปลวไฟลุกไหม้อยู่

 

 

ขณะเดียวกับที่รู้สึกถึงความเจ็บแปลบ ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณตะลึงงัน จากนั้นกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวสุดขีดว่า “ไฟกรรมบัวแดง…”

 

 

พูดพลางโยนบัวแดงในมือทิ้งไป แล้วบินขึ้นข้างบนไปทั้งตัว

 

 

ในยามนี้เองท่ามกลางบึงโคลนบัวแดงพุ่งออกมามากมาย เหมือนยามที่มั่วชิงเฉินตกลงไปในบึงโคลนอย่างไรอย่างนั้น แสงสีแดงลอยขึ้นมา กลายเป็นเมฆหมอกสีแดงคลุมไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณ

 

 

ที่จริงความเร็วของแสงไฟสีแดงพวกนี้ไม่นับว่าเร็ว ยามนั้นมั่วชิงเฉินก็อาศัยไหมเกล็ดน้ำแข็งหนีรอดออกมา ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณสามารถอาศัยความเร็วของตัวเองหนีออกจากที่นี่ ทว่าเขาปนเปื้อนไฟกรรมบัวแดงแล้ว ช่วงเวลาที่บินขึ้นข้างบนทั้งตัว ความเจ็บแสบสายนั้นก็ส่งไปถึงส่วนลึกของวิญญาณแล้ว ดวงจิตถูกแผดเผาขึ้นมาหมดแล้ว

 

 

ความเจ็บปวดที่ยากจะทนได้ทำให้เขาเคลื่อนไหวช้าลง ไฟกรรมสีแดงพวกนั้นล้อมเขาไว้ และกลืนกินทันที

 

 

เสียงร้องโหยหวนที่สิ้นหวังดังมาติดๆ กัน ท่ามกลางแสงไฟปกคลุม เห็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณโบกมือไม้อย่างเจ็บปวด กลิ้งตัวพลางตบเปลวไฟที่อยู่บนตัวไม่หยุด ทว่าในสายตาคนอื่น เขากลายเป็นมนุษย์เพลิงไปนานแล้ว

 

 

“อาจารย์…” หลินหรานมองดูผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัส เรียกอย่างขวัญหนีดีฝ่อเสียงหนึ่ง

 

 

“ศิษย์รัก ช่วยข้า ช่วยข้า…” ท่ามกลางแสงไฟสีแดงโชติช่วงผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณยื่นมือที่ลุกไหม้ข้างหนึ่งออก มือยิ่งยืดยิ่งยาว ตรงมายังทิศทางที่หลินหรานอยู่

 

 

ที่จริงไม่ว่าใครก็รู้ดี ท่าทางเขาเช่นนี้อย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเลย ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอยู่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพียงแต่คนเมื่อถึงเวลาเช่นนี้ล้วนคิดจะจับฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายไว้ มีเวลาสนใจอะไรมากมายที่ไหน!

 

 

หลินหรานมองดูมือที่อาจารย์ยื่นเข้ามา สีหน้าสยองขึ้นเรื่อยๆ ถึงสุดท้ายหมุนตัวแล้วหนีอย่างคาดไม่ถึง

 

 

‘อ๊าก’ เสียงหนึ่ง ร่างกายของหลินหรานแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

 

 

เขาก้มหน้าลงช้าๆ เห็นปลายกระบี่สีเขียวเล่มหนึ่งทะลุออกจากหน้าอก แทงเสื้อผ้าของเขาขาด แสบตายิ่งนัก

 

 

นั่นคือความเจ็บปวดที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้ และก็ราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีก หลินหรานหมุนตัวมาช้าๆ ก็เห็นหญิงสาวชุดเขียวผู้นั้นเดินเข้ามาด้วยสีหน้าสงบ จากนั้นดึงกระบี่ชิงมู่ที่เสียบอยู่ที่หน้าอกเขาออกอย่างใจเย็น แล้วหันหลังเดินหน้าไปทีละก้าวๆ ในระหว่างนี้ แม้แต่มองก็ไม่มองเขาสักปราด

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใด หลินหรานกลับยิ้มแล้ว เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายิ้มอะไร เพียงแต่รู้สึกว่าฉากเช่นนี้น่าขันมากอย่างไร้สาเหตุ

 

 

ยามที่ออกจากสำนักด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม จะมีใครนึกถึงอีกว่า พวกเขาศิษย์อาจารย์สองคนจะมีจุดจบเช่นนี้ล่ะ?

 

 

ในยามที่เขาสงบใจครุ่นคิดชั่วสั้นๆ และหายาก เลือดสายหนึ่งพ่นออกจากหน้าอกเขา จากนั้นราดเขาจนทั่วเหมือนพายุฝนที่ตกลงมาอย่างกะทันหัน ร่างกายเย็นเฉียบร่างหนึ่งล้มลงไปช้าๆ

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้ไปไกล นางสูญเสียพลังมากเกินไป ต้องฟื้นฟูพลังวิญญาณถึงสามารถเดินต่อไปได้ในป่ากาลีที่อันตรายรอบด้านนี้ได้

 

 

ตั้งค่ายกล กินโอสถ นั่งสมาธิตามขั้นตอน มั่วชิงเฉินที่ฟื้นฟูพลังวิญญาณแล้วมองดูท้องฟ้า แล้วลอยตัวขึ้นบินทะยานท่ามกลางป่า รีบรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นางต้องรีบเจอกับเขาน้อยให้เร็วที่สุด

 

 

เขาน้อยแม้เป็นอสูรปีศาจขั้นห้า สติปัญญากลับเป็นเพียงเด็กอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่ง ตั้งแต่ที่ถูกอาจารย์ลักมาจากพ่อแม่ ก็เริ่มร่อนเร่ระหกระเหิน ช่างผิดต่อมันจริงๆ

 

 

ส่วนสนามรบ นางตั้งใจไม่เก็บกวาด ไหนๆ นางก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก หากข่าวลือออกไป ไม่แน่ยังสามารถทำให้เยี่ยเทียนหยวนได้รู้ว่าตนยังมีชีวิตอยู่ เขาจะได้ไม่ต้องเอาตัวไปเสี่ยงที่แดนไท่ไป๋อีก อีกอย่าง ก็เป็นการเตือนนิกายมารแดงและตระกูลฮวาด้วย ว่าอย่านึกว่าคนอื่นเป็นไก่อ่อน ปล่อยให้คนปู้ยี่ปู้ยำ

 

 

ตระกูลฮวา นิกายมารแดง ที่พวกเจ้าติดค้างตระกูลมั่ว อย่างไรก็ต้องทวงคืนมาทีละเล็กทีละน้อย นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น

 

 

ออกจากป่ากาลีก็คือเขาอู๋ฉยง นางและเขาน้อยนัดเจอกันที่นี่

 

 

ตามความผูกพันทางใจอันคุ้นเคยที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มั่วชิงเฉินหน้าฉายแววยินดี เขาน้อยอยู่ใกล้ๆ นี้แล้ว

 

 

นางกลับจู่ๆ ก็หยุดฝีเท้า เสียงคุยกันลอยมา

 

 

“พี่ใหญ่ ท่านดูสิ นี่คืออสูรเขาเดียวนี่นา ท่านรีบจับมันไว้ให้ข้าเร็ว!”