ตอนที่ 246 ค่ายทหารของสมาคมตระกูลชิ่ง

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

ทหารของสมาคมตระกูลชิ่งจำนวนนับไม่ถ้วนประจำการณ์อยู่ตรงแนวหน้าที่เขาต้าผิงและเขาเซียนหลิน เต็นท์หลังสีดำปรากฏอยู่ทั่วบนพื้นโล่งในหุบเขา ที่แห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางการเปลี่ยนถ่ายคมนาคมภายในสำหรับทั่วทั้งเทือกเขา

ทางภูเขาไม่ใช่ถนนดินแล้วแต่เป็นถนนคอนกรีตที่สมาคมตระกูลชิ่งมาสร้างไว้แต่เนิ่นๆ แค่มองโครงสร้างถนน ก็ทราบชัดเจนว่าสมาคมตระกูลชิ่งปฏิบัติงานที่แห่งนี้มานานขนาดไหน

นี่เป็นทางเส้นเดียวที่ตัดลงไปใต้ถึงสมาคมตระกูลหลี่ ถ้าพวกเขาอยากจะโจมตีสมาคมตระกูลหลี่ล่ะก็ อย่างไรก็ต้องผ่านถนนเส้นนี้ไป

ความขัดแย้งของสามสมาคมที่ภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ สมาคมตระกูลชิ่งเตรียมตัวไว้อย่างดีแล้ว ทั้งสร้างฐานปฏิบัติการหน้า ทั้งทำป้อมสนามบนภูเขาไว้ล่วงหน้า

รถออฟโรดสองคันขับมาจากเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือ ชิ่งเจิ่นและหลัวหลานนั่งชมทิวทัศน์อยู่บนรถคันหนึ่ง ชิ่งเจิ่งยิ้มพูด “ที่นี่ต้องป้องกันให้ดี ถ้าเราเสียจุดนี้ไปล่ะก็ ถนนคงสร้างแบบเสียเปล่าแล้ว ศัตรูเราขับยิงตรงเข้าหาเราอย่างไม่มีอุปสรรคได้เลย”

“วางใจได้ พวกเราไม่เสียที่นี่ไปหรอก” เลขาโจวที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับกล่าวเสียงเย็น “ชิ่งเจิ่ง พวกเราให้คุณเป็นที่ปรึกษาทางทหารเพื่อให้คุณไถ่โทษ ผมหวังคุณจะพิจารณาคำตัดสินนี้ของสภาบริหารให้ดีและเลิกทำอะไรตามใจได้แล้ว”

ชิ่งเจิ่นยิ้มพูดเสียงนิ่ง “ให้ฉันไถ่โทษ? ฉันทำผิดอะไรล่ะ”

พลขับรถทำตัวเป็นคนหูหนวก ตั้งใจขับรถอย่างเดียว ไม่กล้าทำอะไรผิดปกติ ขณะเดียวกันเลขาโจวก็หน้านิ่วคิ้วขมวด ใจคิดอะไรบางอย่างอยู่

หลังจากรถออฟโรดขับบนเขามาได้หลายสิบกิโลเมตร ในที่สุดก็มาถึงฐานทัพขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง พอมาถึงป้อมยาม เลขาโจวก็แสดงใบแสดงตนและถูกปล่อยผ่านเข้าไป

ชิ่งเจิ่นมองไปรอบๆ ค่ายทหารและให้ความเห็นว่า “ระบบความปลอดภัยที่นี่หย่อนหยานอยู่หน่อยๆ นะ”

“พวกเราถึงแล้ว ลงรถไป” เลขาโจวหันมองชิ่งเจิ่งพร้อมว่า “คุณอาจจะรู้จักผู้บัญชาการทหารของที่นี่ เขาน่าจะเป็นน้องชายของพวกคุณล่ะมั้ง ชิ่งอวิ่น”

“อ้อ” ชิ่งเจิ่นพยักหน้า “เจ้าเด็กขี้มูกโป่งนั่นน่ะนะ ตอนเด็กชอบร้องไห้งอแงมาก”

ชิ่งอวิ่นคือคนที่พบว่าตัวทดลองหายไปจากป้อมปราการ 113 แล้ว

พอลงจากรถ ชิ่งเจิ่งก็เดินเข้าไปที่เต็นท์กองบัญชาการ “ไหนๆ ฉันก็มาที่นี่เป็นที่ปรึกษาทางทหาร ถ้าชิ่งอวิ่นไม่เห็นแก่คำปรึกษาของฉันจะทำไงล่ะ เคยคิดปัญหาข้อนี้บ้างไหม ถ้าเขายืนกรานจะทำตามวิธีของเขา ฉันจะอยู่ข้างเขาต่อได้เหรอ”

เลขาโจวขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ชิ่งเจิ่น คุณไม่ต้องคิดมากหรอก เขาเป็นผู้บังคับบัญชาของที่นี่ ถ้ามีอะไรผิดพลาด ย่อมมีเขาเป็นผู้รับผิดชอบหลัก แต่ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาทหาร ถ้าพลาดก็ใช่ว่าคุณจะไม่โดนอะไรเลย พวกคุณสองคนทำงานเพื่อสมาคมตระกูลชิ่ง ผมหวังว่าคุณจะตั้งใจทำงาน ไม่ใช่ตั้งใจอยู่เฉยๆ”

ที่จริงเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทางสภาบริหารของสมาคมตระกูลชิ่งกังวลที่สุดแล้ว พวกเขารู้สึกไม่สบายใจกับการปล่อยให้ชิ่งเจิ่นเผชิญหน้ากับอีกสองสมาคมด้วยตัวเอง อย่างไรเสียประสบการณ์การต่อสู้ของชิ่งอวิ่นก็เทียบกับชิ่งเจิ่นไม่ได้เลย แถมเรื่องภูมิปัญญาสงครามนั้น ไม่มีใครในสมาคมตระกูลชิ่งจะเทียบชิ่งเจิ่นได้เลย

สำหรับสมาคมอันใหญ่โตที่มีคนมากมาย คนมักคิดว่าคงมีผู้นำแข็งแกร่งจำนวนมาก แต่ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา บนโลกมีผู้นำที่มีชื่อเสียงโด่งดังเพียงหยิบมือเท่านั้น และบางครั้งคนเขาก็แค่มีพรสวรรค์มากกว่าใครเฉยๆ

ที่พวกเขากังวลมากกว่าคือที่ผ่านมาพวกเขากดดันชิ่งเจิ่นอย่างหนัก ถ้าชิ่งเจิ่งไม่แสดงความสนใจในกิจการสงครามที่แนวหน้าขึ้นมาล่ะก็ สถานการณ์โดยรวมคงได้รับผลกระทบไปด้วย

ไม่ใช่ว่าทางสภาบริหารอยากสะกดข่มผู้มีความสามารถ แต่พวกเขาเคยชินแล้วกันการที่ผู้มีความสามารถนั้นก้มหัวต่อเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่เรียกว่าสมาคม เงาเย่อหยิ่งแต่อยากผุดขึ้นเหนือสมาคม? สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร หลังยอมแพ้ก็ต้องกลายมาเป็นเครื่องมือของสภาบริหารอยู่ดีไม่ใช่หรือ

แต่สภาบริหารสมาคมตระกูลชิ่งไม่ทันคิดเลยว่าชิ่งเจิ่นจะไม่ยอมก้มหัวได้ถึงขนาดนี้!

ชิ่งเจิ่นเดินเข้าเต็นท์ไปพร้อมรอยยิ้ม ในเต็นท์กองบัญชาการมีนายทหารเดินไปเดินมา พวกเขาไม่กำลังถือข้อมูลทางทหารที่รายงานมาล่าสุด ก็กำลังไปปฏิบัติตามคำสั่งของชิ่งอวิ่น

พอคนในเต็นท์เห็นชิ่งเจิ่นเข้ามาก็ชะงักกันไปครู่หนึ่ง ราวกับว่าพอเขาเดินเข้ามาแล้วอากาศธาตุในกองบัญชาการนี้ก็แข็งค้างไปทันที

ชิ่งเจิ่นทักทายทุกคน “ไม่ต้องตื่นเต้นไป กลับไปทำเรื่องที่กำลังทำอยู่ไปเถอะ หลัวหลานกับฉันแค่มาเยี่ยมชมทุกคนเฉยๆ”

พอชิ่งอวิ่นที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทรายของกองบัญชาการเห็นชิ่งเจิ่น ใบหน้าเขาก็ดำทะมึนไป เขาหันไปหาเลขาโจว “นายพาเขามาทำไม”

เลขาโจวพูดเสียงนิ่ง “ลุงรองของคุณอยากให้เขามาช่วยคุณน่ะ”

“ช่วยฉัน?” ชิ่งอวิ่นแค่นเสียง “ฉันไม่ต้องให้นักโทษมาช่วยฉันหรอก”

หลัวหลานยิ้มกล่าว “ชิ่งอวิ่น นายจำช่วงเวลาที่นายตามก้นเราต้อยๆ เล่นดินโคลนไม่ได้แล้วเหรอ ตอนปู่หลัวผู้นี้ออกไปสนามรบ นายยังฉี่รดที่นอนอยู่เลย”

เลขาโจวพูดอย่างโมโหว่า “พอแล้ว! อีกไม่นานภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้จะมีคลื่นการเปลี่ยนแปลงใหญ่พัดเข้ามา ตอนนี้ไม่ใช่ว่ามาทะเลาะแบบเด็กๆ ชิ่งอวิ่น พวกเขาสองคนจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทหารของคุณ รายงานสถานการณ์ปัจจุบันให้พวกเขาฟัง จากนั้นค่อยเรียกประชุมทหาร”

ชิ่งอวิ่นมองพวกเขาตาขวาง จากนั้นก็กล่าวกับรองผู้บัญชาการ “แจ้งให้ผู้บัญชาการกองกำลังทุกคนมาร่วมประชุม”

สุดท้ายชิ่งอวิ่นก็ไม่กล้าละเมิดคำสั่งของสภาบริหาร ในเมื่อทางสภาบริหารส่งชิ่งเจิ่นมาเป็นที่ปรึกษาทหาร เขาก็แค่ทำเป็นร่วมมือแต่เปลือกนอกก็ได้ แบบนี้ถ้ามีอะไรผิดพลาดจะได้ไม่มีคนมาชี้นิ้วกล่าวโทษเขา

ตลอดการประชุม ชิ่งเจิ่นนั่งหลับตาอยู่ที่โต๊ะ ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังฟังรายงานสถานการณ์ล่าสุดจากผู้บัญชาการกองกำลังต่างๆ อยู่หรือเปล่า ส่วนหลัวหลานนั้นนอนแผ่หลาอยู่บนโต๊ะไปแล้ว

นายทหารผู้หนึ่งว่า “ตอนนี้พวกเรารักษาการณ์อยู่แนวหน้าที่เขาต้าผิงกับเขาเซียนหลิน สมาคมตระกูลหลี่และหยางคงไม่กล้าเสี่ยงมาโจมตีเราเพราะยังไงสงครามนี้ก็มีความขัดแย้งระหว่างสองสมาคมนั้นเป็นหลัก”

“โง่เง่า!” ชิ่งเจิ่นลืมตาขึ้นมาขัด

ทั้งกองบัญชาการเงียบไป ชิ่งเจิ่นพูดขวานผ่าซาก “ปรัชญาบนสนามรบคือทุกคนนอกจากพวกเราล้วนเป็นศัตรู คิดเหรอว่าสมาคมตระกูลหลี่กับหยางจะไม่เปิดโจมตีเราก่อนเพียงเพราะพวกนั้นมีปัญหากันน่ะ”

ชิ่งอวิ่นพูดเสียงเย็นเยียบ “เพราะสมาคมตระกูลหยางขโมยงานของสมาคมตระกูลหลี่…”

ชิ่งเจิ่นหัวเราะเย้ยหยัน “สมาคมตระกูลหยางไม่ได้ขโมยไป ฉันต่างหากที่ขโมยเอาไปให้สมาคมตระกูลหยาง จำคำฉันไว้ พวกเราถ่อมาถึงที่นี่ ย่อมเป็นเป้าหมายของสมาคมตระกูลหลี่อยู่แล้ว ถ้าแนวป้องกันเรามีช่องโหว่ขึ้นมาล่ะก็ พวกเรากลายเป็นเป้าหมายแรกที่อีกสองสมาคมโจมตีมาแน่ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง พวกเขาอาจจะยอมวางข้อบาดหมางชั่วคราวเลยก็ได้ ผลประโยชน์ที่จะได้จากสมาคมตระกูลชิ่งมากพอจะล่อให้พวกเขาทำแบบนั้น”

ชิ่งอวิ่นจ้องชิ่งเจิ่น เขาอยู่ใต้เงาชิ่งเจิ่นมามากกว่ายี่สิบปีแล้ว ตอนยังอยู่อนุบาล ทุกคนพูดว่ามีเก่งกว่าเขาอยู่คนหนึ่ง และคนผู้นั้นนามว่าชิ่งเจิ่น พอมาถึงประถม มัธยม มหาวิทยาลัย ก็ยังคงเป็นคำพูดเดิม ต่อให้เข้ามาในกองทัพแล้ว ทุกคนก็ยังพูดว่าชิ่งเจิ่งเก่งการสงครามยิ่งกว่าใครในสมาคม

ทว่าต่อให้เขาจะเกลียดชิ่งเจิ่นถึงกระดูก เขาก็ยังต้องนั่งถกการสงครามบนโต๊ะกับชิ่งเจิ่นอยู่ดี เขาต้องการให้สภาบริหารรู้ว่าเขาเชื่อฟังกว่าชิ่งเจิ่น