เดิมฟู่กุ้ยอยากจะคุยต่ออีกหน่อย แต่ปรากฏว่าได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังตู๊ดๆๆ หลิวเหมยมองหูโทรศัพท์ด้วยความสงสัย อิหยังวะ?
หลิวเหมยไม่มีทางรู้เลยว่า ฟู่กุ้ยโมโหแค่ไหนที่อยู่ๆโทรศัพท์ก็ปิดเครื่อง ความโกรธนี้ได้ทำให้เขาพุ่งไปยังสถานที่ขายโทรศัพท์ของเมืองQ พอเข้าร้านไปก็บอกพนักงานว่า ให้เอาโทรศัพท์ที่อึดที่สุดออกมา!
ไม่ขอดีมาก แต่ต้องอึดที่สุด! อย่างน้อยก็ต้องไม่ดับในช่วงเวลาสำคัญ!
หลิวเหมยไม่รู้ว่าปลายสายเกิดอะไรขึ้น เธอยังคงงงไม่หาย
“วางสายแบบนี้เลยเหรอ? อย่างน้อยๆก็ควรลากันสักคำสิ! แต่เสียงของเขาเพราะจัง…”
“อะไรเพราะ!” อวี๋หมิงหลางโผล่มากจากข้างหลังอวี๋หลิวเหมย จากนั้นก็ยิ้มเจ้าเล่ห์
“ว้ายตายแล้ว!” อวี๋หลิวเหมยตกใจอวี๋หมิงหลาง เธอตบหน้าอกเรียกขวัญแล้วถลึงตามองอวี๋หมิงหลางด้วยความโกรธ
“พี่หลางพี่ทำอะไรเนี่ย! ทำตัวอย่างกับผี โผล่มาเงียบๆ!”
“ตกลงว่าพี่เป็นผี หรือในใจเธอมีผี? หรือจะเป็นผีเสียงเพราะ?”
อย่าคิดว่าเสี่ยวเฉียงเอาแต่สนใจแก้bugให้เสี่ยวเชี่ยน เขาทำทั้งสองอย่างได้ในเวลาเดียวกัน!
เสียงที่หวานขึ้นหลายระดับของน้องสาวเขาลอยไปเข้าหูเขา จึ๊ๆ แถมยังชมเสียงฟู่กุ้ยเพราะ?
“อะไรเล่า ฉันไม่เข้าใจพี่พูดเรื่องอะไร…” อวี๋หลิวเหมยร้อนตัวแกล้งมองไปทางอื่น
“เลี่ยวฟู่กุ้ยหรือหยุนฉาง เป็นคนเมืองQ ปีนี้อายุ28 ชาวฮั่น จบดอกเตอร์ ตอนนี้ทำงานที่ศูนย์นิติจิตวิยา พ่อเป็นหัวหน้าศาลกลาง ระดับพอๆกับพ่อเธอนั่นแหละ ครอบครัวของเธอกับเขาก็สมฐานะกันดีนะ?”
“พี่หลางพูดอะไรเล่า ฉันไม่เข้าใจ”
“อ่อเหรอ งั้นไม่พูดละ กะจะเล่าให้ฟังเรื่องประวัติความรักของนายฟู่กุ้ยเสียหน่อย สเปกผู้หญิงของเขางี้ หรือเรื่องที่มาของชื่อฟู่กุ้ย…”
อวี๋หมิงหลางทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วไขว่ห้าง
หลิวเหมยกำลังรอฟังต่อ แต่เสี่ยวเฉียงกลับไม่พูดแล้ว
“พี่หลางฉันอยากกินแตงหวาน!” หลิวเหมยพูดอย่างเคืองๆ
จานผลไม้อยู่ด้านข้างอวี๋หมิงหลาง เขาหยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วปาไปที่หน้าหลิวเหมย
“โว้ย! พี่จะทำฉันเสียโฉมเหรอ!” หลิวเหมยรับไว้ได้ทัน เธอเคยฝึกวิชานี้ ถ้าเป็นคนทั่วไปคงโดนหน้าไปแล้ว
“ทีกับพี่สะใภ้ทำไมไม่เหมือนกันเลย? ฉันเห็นพี่ปอกเปลือกให้อย่างดี หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เอาไม่จิ้มฟันจิ้มป้อนพี่สะใภ้ถึงปาก!” ทำไมทีกับน้องปาใส่หน้าแบบนี้?
อวี๋หมิงหลางเหล่มองเธอ แล้วทำหน้ายโส
“เมียพี่จะเหมือนพวกเธอได้ยังไง? อยากมีคนปอกผลไม้ให้ก็หาผู้ชายดีๆทำให้สิ เข้าใจไหม? ถ้าเธอหาคนที่แม้แต่เรื่องแค่นี้ยังทำให้ไม่ได้แล้วจะเอาเขามาทำไม?”
คำพูดของอวี๋หมิงหลางทำให้ในใจของอวี๋หลิวเหมยเกิดคลื่นขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนสะกิดโดนบางอย่างเข้า แฟนเก่าเธอคงไม่ทำเรื่องพวกนี้ให้เธอหรอกไหม?
“อนาคตถ้าฉันแต่งงานฉันจะดูแลชีวิตคู่ให้ดี จากที่ไม่คุ้นเคยกันก็จะสนิทกัน ความพยายามยามของฉันก็น่าจะเป็นผลไหม?”
อวี๋หมิงหลางเปลืองน้ำลายพูดมาตั้งนาน เดิมอยากจะแนะนำอดีตศัตรูหัวใจให้อวี๋หลิวเหมย แต่โฆษณาฟู่กุ้ยไปตั้งเยอะ หลิวเหมยกลับยังเอาแต่คิดจะเปลี่ยนนิสัยแฟนที่โทรมาสองปีสิบครั้ง อยู่ๆอวี๋หมิงหลางก็อยากจะอัดน้องสาวคนนี้ให้หนัก!
รู้สึกสมองของน้องสาวมีน้ำเยอะชนิดไม่ธรรมดา หัวรั้น ฟังไม่เข้าหูเลยสักนิด!
เสี่ยวเชี่ยนเปิดประตูเข้ามาก็เห็นฉากนั้นพอดี อวี๋หมิงหลางกำลังวอร์มนิ้วพลางมองหลิวเหมยที่กำลังครุ่นคิด เธอเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
อวี๋หมิงหลางกำลังอยากจะอัดคน แต่ถูกเสี่ยวเชี่ยนมาจับไว้พลางส่ายหน้า
การยอมรับเรื่องๆหนึ่งต้องใช้เวลา และต้องมีขั้นตอน การจะทำให้เปลี่ยนใจได้นั้นต้องมีวิธีการและให้เวลาได้ทบทวน ตอนนี้สถานการณ์ของหลิวเหมยอยู่ในการควบคุมของเสี่ยวเชี่ยน
ประธานเชี่ยนมีความมั่นใจว่าเอาเรื่องทั้งหมดอยู่ เธอไม่มีทางปล่อยให้ผักกาดขาวที่ตระกูลอวี๋เพาะเลี้ยงมาอย่างดีถูกหมูกินไปแน่นอน
อวี๋หมิงหลางส่งสายตาให้เสี่ยวเชี่ยนเพื่อบอกว่า เมียจ๋า ภารกิจที่แสนยากเย็นนี้มอบให้เมียแล้วนะจ๊ะ
เสี่ยวเชี่ยนยิ้มมุมปาก เรื่องแค่นี้เอง เธอทำให้เรื่องกลับไปสู่จุดเดิมได้แน่นอน สิ่งไหนที่ควรเป็นของใครก็ย่อมเป็นของคนนั้นอยู่วันยังค่ำ ต่อหน้าเธอไม่มีใครทำให้ผิดพลาดได้
เสี่ยวเฉียงถูกมาดเท่ห์ของเธอสะกดอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ขณะที่จะยื่นหน้าเข้าไปจูบเธอก็ได้ยินเสียงกรีดร้องกับเสียงโครมครามจากข้างนอก เหมือนเป็นเสียงสิ่งของกระแทก
“เวยเวยเป็นอะไร ฉันจะไปดูหน่อย!” หลิวเหมยยืนขึ้น เสี่ยวเชี่ยนยื่นมือไปขวางเธอไว้
“ไม่ต้อง เรื่องปกติ ปล่อยให้เขาระบายอารมณ์ไป”
“พี่สะใภ้ เทคนิคเก้าอี้ว่างเปล่าของพี่จะได้ผลจริงๆเหรอ? เมื่อกี้เท่าที่ฟังพี่ฟู่กุ้ยพูด ฉันว่ามันเหมือนจะทำให้คนยิ่งประสาทเสียมากกว่า!”
“งั้นเมื่อกี้ที่พวกเธอสามคนไปฟัดกันข้างล่างแบบนั้นเรียกปกติไหมล่ะ?”เมื่อกี้เสี่ยวเชี่ยนยืนดูจากข้างบน
สามคนนี้สู้กันได้เมามันมาก
“ก็นั่นทุกคนโมโหเลยหาที่ระบายไม่ใช่เหรอ?”
“ตอนนี้สิ่งที่พี่ทำก็คล้ายๆกันนั่นแหละ เพียงแต่มันซับซ้อนยิ่งกว่าการสู้กันเล่นๆของพวกเธอ พี่ให้เขาปลดปล่อยความกลัวออกมา การที่เขาทำลายข้าวของน่าจะเป็นเพราะตอนที่สวมบทบาทเป็นสัตว์เดรัจฉานนั่นเขารู้สึกได้ถึงความไร้เหตุผล มีแต่ความรู้สึกที่อยากจะทำร้ายเธอ”
ดังนั้นตอนที่กลับมาเป็นตัวเองถึงได้ไประบายอารมณ์กับข้าวของ
การได้ปลดปล่อยอารมณ์เป็นเรื่องดี ดีกว่าเก็บความอัดอั้นไว้ในใจ
“ประธานเชี่ยน เธอว่าไอ้เดรัจฉานนั่นมันคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงได้ไม่มีความละอายเลย พอฉันนึกถึงมันก็คันไม้คันมืออีกแล้ว” ฉิวฉิวยกอาหารออกมาจากห้องครัว แล้วมาร่วมวงสนทนาด้วย
“อันที่จริงนั่นก็คือการระบายอารมณ์ ความเครียดซ่อนอยู่ในใจของมนุษย์ ทุกคนต่างมีความเครียดหมด เมื่อต้องเจอกับความเครียดบางคนเลือกที่จะระบายให้ใครฟัง บางคนไปช็อปปิ้ง บางคนเลือก—”เสี่ยวเชี่ยนมองอวี๋หมิงหลาง จากนั้นทั้งสองคนก็ทำหน้าแบบรู้กัน
อะแฮ่ม ส่วนที่ติดเรทต้องข้ามไป~ อวี๋หมิงหลางรู้สึกชอบวิธีที่เสี่ยวเชี่ยนใช้ระบายความเครียด เล่นกลิ้งผ้าปูที่นอนดีจะตาย
“ส่วนสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ เนื่องจากต้องสูญเสียตำแหน่งหัวหน้างานรัฐวิสาหกิจไป อีกทั้งยังทำใจไม่ได้ ก็เลยอยากหาอะไรมาทดแทนความรู้สึกที่ได้มีอำนาจเหนือคนอื่น แต่ความสามารถตัวเองกลับไม่พอทำให้เขาหางานใหม่ได้ดีเหมือนเดิม ดังนั้นเขาจึงเบนสายตาไปที่เด็กที่ไม่รู้เรื่องอย่างเวยเวย เรื่องนี้มันก็เหมือนกับคนบางคนที่โมโหอัดอั้นตันใจแล้วไปลงกับหมาแมวข้างถนน งั้นทำไมไม่มีใครไปเตะเสือระบายอารมณ์ล่ะ? ก็เพราะว่ารังแกคนอ่อนแอกว่าไม่ต้องสูญเสียอะไร ทำเรื่องผิดก็ไม่ต้องถูกลงโทษ คนที่เก่งแต่กับคนอ่อนแอก็แบบนี้แหละ”
คำอธิบายของเสี่ยวเชี่ยนทำให้คนอื่นๆเริ่มโมโหขึ้นมาอีกรอบ แม้แต่อวี๋หมิงหลางที่แสนสุขุมก็ทนไม่ไหว
เขาอยากจะไปอัดคนเลวนั่นให้เป็นผุยผง ทุเรศที่สุด!
“คุณหมายความว่า สัตว์เดรัจฉานนั่นไม่เพียงแต่จะไม่สำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำ ยังภูมิใจที่ตัวเองหนีกฎหมายได้อย่างนั้นเหรอ?”