บทที่ 13 พยายามเอาชนะด้วยกลอุบายอันแยบยล (4) โดย Ink Stone_Romance
เดิมทีความผิดพลาดเรื่องจางติ่งซ่อมคูน้ำก็ไม่น้อยอยู่แล้ว แต่หลังจากเป็นขุนนางที่มีคุณงามความดีแล้ว ฮ่องเต้ยังให้เขาต้องรับภาระงานอยู่บ้าง หากเวลานี้เพิ่มโทษนี้เข้าไปอีกก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ยิ่งไปกว่านั้นยังหาเหตุใช้เรื่องที่ฉู่หลิงอวิ้นทำขายหน้าแทรกไปด้วยได้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเช่นนี้…
ก็กอบกู้สถานการณ์ให้จวนอ๋องหนานเหอของพวกเขาพ้นผิดได้อย่างชัดเจน
ในสถานการณ์แบบนี้ยังเหลือทางให้ฉู่ฉีเหยียนตอบ ‘ไม่’ ได้อีกที่ไหนกัน
“ฉีเฟิงละเอียดรอบคอบมากจริงๆ” พอสงบสติได้แล้ว ฉู่ฉีเหยียนก็ส่งสาส์นฉบับนั้นคืนให้หลี่รุ่ยเสียง แล้วคารวะฮ่องเต้อย่างนอบน้อม “เช่นนั้นแล้ว ฉีเหยียนก็ต้องขอบคุณเขาแทนท่านพี่ ท่านพ่อและท่านแม่ไปพร้อมๆ กันในทีเดียว…. ขอบคุณที่เขาตรวจสอบข้อเท็จจริงจนกระจ่าง และคืนความบริสุทธิ์ให้กับจวนอ๋องหนานเหอของพวกเรา!”
น้ำใจที่มอบให้นี้ จริงๆ แล้ว…
ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง!
เมื่อวานผ่านเรื่องหนักหนามาทั้งวัน ถึงตอนนี้จะบอกว่าฉู่หลิงอวิ้นถูกใส่ร้าย แต่นั่นก็ฟังขึ้นแค่ภายนอก ลับหลังจะมีคนเชื่อสักกี่คนกัน?
น้ำใจของฉู่ฉีเฟิงนี้แทนที่จะบอกว่าให้จวนอ๋องหนานเหอของเขา สู้บอกว่าให้ฮ่องเต้ยังจะดีกว่า
ทีแรกฮ่องเต้ก็หาโอกาสอยากจะเรียกคืนบรรดาศักดิ์ตระกูลจางอยู่แล้ว ครั้งนี้โอกาสประจวบเหมาะพอดี ฉู่ฉีเฟิงก็เสนอความเห็นแบบจริงครึ่งเท็จครึ่ง แต่กลับได้ผลลัพธ์อย่างที่ฮ่องเต้ต้องการพอดิบพอดี
ตระกูลจางนั้นเพราะจางติ่งยักยอกเงินหาผลประโยชน์ใส่ตัว พอเรื่องแดงออกมาก็รู้ว่าภัยจะมาถึงตัว ดังนั้นจึงชิงลงมือก่อนเหมือนสุนัขจนตรอก ใส่ร้ายสะใภ้ที่เป็นราชนิกุลอย่างฉู่หลิงอวิ้นว่าวางแผนฆ่าลูกชายของเขา อยากจะใช้เรื่องอื้อฉาวนี้บีบบังคับให้ฮ่องเต้ประนีประนอม และไม่สืบหาสาเหตุมาเอาผิดคนตระกูลจางของเขา
พอเป็นเช่นนี้ไม่เพียงแต่ได้พิสูจน์ความจริงให้ฉู่หลิงอวิ้น แต่ยิ่งเป็นการเพิ่มโทษประหารชีวิตให้กับคนตระกูลจางด้วย พอเทียบกันแล้วฮ่องเต้แค่เอาบรรดาศักดิ์ไปจากตระกูลจาง ไม่เพียงแต่ไม่ได้เนรคุณ ทว่ากลับเป็นความกรุณาอีกด้วย
ฮ่องเต้เองก็ได้ทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ ยังจะสนใจว่าคนอื่นจะมองจวนอ๋องหนานเหออย่างไรงั้นหรือ?
ในใจฉู่ฉีเหยียนเป็นทุกข์ แต่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้กลับยังรักษาสีหน้าขอบคุณฉู่ฉีเฟิงอย่างซาบซึ้งเอาไว้
“ข้าก็แค่ว่าไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น รับคำขอบคุณของท่านพี่ไว้ไม่ไหวหรอก” ฉู่ฉีเฟิงแย้มยิ้มเล็กน้อยด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น
ฮ่องเต้มีความสุข เพียงแค่โบกมือตรัส “ไม่มีเรื่องอะไรแล้วพวกเจ้าสองคนก็กลับไปก่อนเถอะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” สองคนลุกขื้นทูลลาและทยอยเดินออกไป
พอลงบันไดหน้าประตูมาแล้ว รอยยิ้มบนหน้าฉู่ฉีเหยียนก็เลือนหายไปหมดอย่างไม่รู้ตัวโดยสิ้นเชิง
เขาไม่ได้หันกลับไปมองฉู่ฉีเฟิง เพียงแค่ยิ้มเย็นชาอย่างฝืดเฝื่อนว่า “ความตั้งใจของเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ ในเวลาแบบนี้ยังมีแก่ใจไปยุ่งเรื่องคนอื่นอีก!”
เพราะการตายของฉู่ฉีฮุยทำให้เขาทั้งโดนตำหนิและประณามไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าเขากลับหาจังหวะมาขุดคุ้ยเรื่องตระกูลจางออกมาก่อนที่คนอื่นจะป้องกันตัวได้ทัน ทั้งยังจงใจสร้างบุญคุณอันใหญ่หลวงต่อหน้าฮ่องเต้
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก!” ฉู่ฉีเฟิงยิ้มอย่างเฉยชา และไม่ได้สบตาเขาแม้แต่นิดเดียวเช่นเดียวกัน “แทนที่จะพยายามอย่างเปล่าประโยชน์ไปกับเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วและเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ สู้ฉวยโอกาสลงมือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันดีกว่า แต่ว่าคำขอบคุณของซื่อจื่อในห้องทรงอักษรเมื่อครู่ ข้ายังขอคืนให้ท่านเหมือนเดิมดีกว่า ข้ายังต้องกลับไปจัดการงานศพให้พี่ชายใหญ่ ขอตัวก่อนแล้วกัน!”
ฉู่ฉีเฟิงพูดจบก็มุ่งเดินต่อไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ฉู่ฉีเหยียนสีหน้าเย็นยะเยือก มองตามหลังเขาไปไม่กี่ครั้งแล้วก็ออกเดินตามไปเช่นกัน
ในห้องทรงอักษรฮ่องเต้กลับเหม่อมองประตูที่ว่างเปล่าอยู่นาน ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงจะพึมพำตรัสถาม “ตรวจสอบแน่ชัดรึยัง? เขาเป็นคนทำรึเปล่า?”
ระหว่างที่พูดนั้นนัยน์ตาของเขามีประกายเย็นเยียบพาดผ่านไปอย่างชัดเจน
หลี่รุ่ยเสียงรู้ว่าเขาหมายถึงฉู่ฉีเฟิง
“เหมือนจะไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงตอบว่า “มีรายงานลับจากสายสืบว่า ซื่อจื่อจวนอ๋องหนานเหอกับท่านหญิงสวินหยางต่างก็รีบไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุที่เมืองหย่งโจวทั้งคู่ ตามความเห็นของกระหม่อม เรื่องนี้น่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งสองฝ่ายพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม?” ฮ่องเต้ฟังแล้วก็ขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจมาก
“ซื่อจื่อจวนอ๋องหนานเหออาจจะอยากฉวยโอกาสไปสืบหาหลักฐานเอาผิด ส่วนท่านหญิงสวินหยางก็น่าจะเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ย เขาเพียงแค่วิเคราะห์ในมุมมองของคนนอกเท่านั้น
แน่นอนว่าหลักฐานที่สองคนนี้อยากหาต้องไม่ใช่ของชิ้นเดียวกัน
ฉู่ฉีเหยียนอยากหาหลักฐานว่าฉู่ฉีเฟิงฆ่าคน ส่วนฉู่สวินหยางน่าจะรู้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับฉู่ฉีเฟิง ดังนั้นถึงไปตามหาเบาะแสของนักฆ่า
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วและครุ่นคิดอย่างหนัก
ฉู่ฉีเฟิงเยือกเย็นได้ขนาดนี้ทำให้เขาทึ่งจนต้องมองใหม่จริงๆ ถ้าเขาไม่มั่นใจว่าลงมือได้อย่างว่องไวไร้ที่ติและไม่กลัวว่าใครจะไปตรวจสอบ ก็คือเขาไม่ได้เป็นคนทำอย่างที่หลี่รุ่ยเสียงบอกจริงๆ ในเมื่อฉู่ฉีเหยียนกับฉู่สวินหยางไม่ได้รีบไปหาเบาะแสในสถานที่เกิดเหตุเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นผู้ต้องสงสัย เช่นนั้นเรื่องน่าจะไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งสองฝ่ายจริงๆ
“เจ้าไปสืบหาเบาะแสของจวนอ๋องอื่นด้วย” ฮ่องแต้สั่งกำชับในท้ายที่สุด
เขาสามารถปลดฉู่ฉีฮุยออกตำแหน่งได้ แต่จะไม่ยอมให้ใครเหนือกว่าเขาด้วยการลงมือลอบสังหารอย่างลับๆ
ณ จวนผิงกั๋วกง
ชิงหลัวได้รับคำสั่งให้คุมตัวฉู่เยว่เหยากลับไป พอรถม้าเข้าไปในตรอก เด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูเห็นรถม้าแปลกหน้าเข้ามายังคิดว่ามีแขกมาเยือน จึงรีบออกมาต้อนรับ “พวกเจ้าคือ…”
“ชู่ว…” องครักษ์ที่ขับรถม้าดึงบังเหียนไว้ แล้วไม่พูดไม่จากระโดดลงมาจากรถม้า
เด็กรับใช้กำลังจะยื่นศีรษะดูในตัวรถด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ประตูรถกลับถูกเปิดออกจากด้านในอย่างแรง เขาได้ยินเสียงปึงปังดังมาก่อน แล้วสาวใช้สองคนที่หมดสติก็ถูกโยนออกมาทิ้งลงบนพื้น
เด็กรับใช้ตกใจจนรีบถอยหลัง เขากำลังจะตะโกนเรียกคนพอดี ก็เห็นสาวใช้อีกคนหนึ่งลงมาข้างในรถ
ส่วนในมือลาก…
ฉู่เยว่เหยา ฮูหยินซื่อจื่อของตนเองลงมาจากรถอย่างฉับพลัน
“ฮูหยินซื่อจื่อ…” เด็กรับใช้ตกใจไปชั่วครู่
ฉู่เยว่เหยาถูกชิงหลัวดึงไว้ในมือ หน้าตาดุร้ายดิ้นไม่หยุด ทำอย่างไรก็สู้แรงไม่ได้และไม่สามารถทำอะไรได้สักนิด นางทำได้เพียงด่าทอเสียงดังว่า “เจ้าบ่าวชั้นต่ำนี่ยังไม่ปล่อยข้าอีกหรือ? อย่าคิดว่ามีฉู่สวินหยางหนุนหลังเจ้าแล้ว ข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้ เจ้า…”
ชิงหลัวไม่ได้มองนางแม้แต่น้อย เพียงแค่ล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากในอกแล้วยื่นให้เด็กรับใช้ว่า “ข้าเป็นองครักษ์หญิงของท่านหญิงสวินหยางแห่งวังบูรพา จดหมายฉบับนี้เขียนโดยท่านหญิงของข้า รบกวนส่งต่อให้ฮูหยินเจิ้งแทนด้วย”
เด็กรับใช้รับจดหมายไว้ในมือ สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
จดหมาย? ฉู่สวินหยางเขียนจดหมายอะไรให้ยายเฒ่า?
ฉู่เยว่เหยาคิดไปเองว่าจะทำให้เรื่องแย่ลง จึงรีบร้อนจะถลาเข้าไปแย่ง “จดหมายอะไร ส่งมาให้ข้า!”
ชิงหลัวดึงตัวนางไว้ไม่ให้นางขยับ แค่เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ที่นี่คือประตูทางเข้าจวนผิงกั๋วกง หากฮูหยินซื่อจื่อไม่กลัวเสียหน้าจะส่งเสียงดังอีกหน่อยก็ได้!”
ถึงแม้นางจะเป็นเพียงสาวใช้ แต่กลับเชื่อฟังแค่คำสั่งของฉู่สวินหยางเท่านั้น นางไม่ถือว่าฉู่เยว่เหยาเป็นเจ้านายด้วยซ้ำ
ฉู่เยว่เหยาดิ้นอยู่ในกำมือนางมาตลอดทาง และก็รู้ว่าเปลี่ยนใจนางไม่ได้เช่นกัน ทว่าเวลานี้พาลโกรธ หันไปตะโกนเสียงดังใส่เด็กรับใช้ “เจ้าเป็นศพรึไง? ยังไม่ไปเรียกองครักษ์ออกมาอีก จัดการบ่าวชั้นต่ำที่ไม่รู้ที่สูงที่ต่ำนี่ให้ข้าซะ!”
เด็กรับใช้ตกใจจนตัวสั่น เผลอจะตะโกนเรียกคนมา แต่ชิงหลัวเอ่ยต่อเสียงเย็นยะเยือกว่า “ข้าจะรออยู่ที่นี่ ส่งจดหมายให้ฮูหยินเจิ้งแทนข้าด้วย ขอเพียงแค่ฮูหยินสั่งมา จะให้ทุบตีหรือจะให้ฆ่าก็จะทำตามทั้งนั้น!”
เด็กรับใช้ยังไม่เข้าใจสถานการณ์นัก แต่จะปะทะกับคนของวังบูรพาอย่างเปิดเผยก็ไม่ได้ด้วย เขาลังเลไปชั่วครู่แล้วก็กัดฟันวิ่งกลับเข้าไป
“ฉู่สวินหยางเขียนอะไรในจดหมายฉบับนั้น?” ฉู่เยว่เหยาพลันรู้สึกว้าวุ่นใจขึ้นมาบ้าง
ฉู่สวินหยางต้องทำร้ายนางแน่ ใช่แน่นอน!
ชิงหลัวก็ขี้เกียจตอบนางเหมือนกัน เพียงแค่ส่งเสียงเย็นออกมาทีเดียวแล้วก็หันหน้าหนีไป
ฉู่เยว่เหยาเริ่มรู้สึกลนลาน เสียแรงดิ้นเปล่าไปอีกครู่ใหญ่ นางยังหวังจะรอให้ฮูหยินเจิ้งเรียกคนออกมาเตะชิงหลัวออกไป แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่รีบร้อนเดินออกมาจากข้างในประตูนั้นจะเป็นแม่นมหูคนสนิทข้างกายฮูหยินเจิ้ง
ยายเฒ่าไม่แทรกแซงเรื่องในจวนมานานมากแล้ว การปรากฏตัวของแม่นมหูทำให้ฉู่เยว่เหยากระวนกระวายใจ
พอแม่นมหูเดินออกมาก็ยิ่งมองข้ามนาง ไปย่อตัวให้ชิงหลัวที่อยู่ข้างกันเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงแข็งว่า “ข้าได้รับคำสั่งให้มารับฮูหยินของซื่อจื่อเข้าไป ลำบากแม่นางแล้ว!”
“มิได้ค่ะ!” ชิงหลัวตอบและผลักฉู่เยว่เหยาเซไปตรงหน้านางพลางเอ่ย “ข้ามาเยือนอย่างกะทันหัน ล่วงเกินมากทีเดียว ต้องพาข้าไปขออภัยต่อหน้าฮูหยินด้วยหรือไม่?”
“ฮูหยินอายุมากแล้ว ไม่ชอบเสียงเอะอะโวยวาย” แม่นมหูเอ่ย มุมปากนางแย้มยิ้มพอเป็นพิธี ในขณะที่ฉู่เยว่เหยายังไม่ทันได้โมโห นางก็หันไปโบกมือสั่งหญิงรับใช้ที่ตามมาหลายคนเสียงเย็น “พาฮูหยินของซื่อจื่อเข้าจวน ฮูหยินขอเชิญ!”
————————————