ตอนที่ 824 เธอมีแผนจะกลับเข้าวงการหรือเปล่า

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

“‘คนนั้น’ เป็นยังไงบ้างครับ เธอมีแผนจะกลับเข้างการหรือเปล่าครับ”

 

 

หลงเจี่ยเข้าใจว่าลัวเซิงหมายถึงใครและยิ้มให้ “เธอต้องให้นายมาเป็นห่วงด้วยเหรอ ถ้าเธอดึงนายขึ้นมาจากจุดตกต่ำได้ นายคิดว่าเธอจะยอมแพ้ให้กับข่าวลือแค่นี้เหรอ เธอจะกลับมาเมื่อถึงเวลาที่เธอต้องการเองนั่นแหละ”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดหลงเจี่ย ความศรัทธาของลัวเซิงที่มีต่อถังหนิงก็ก่อตัวซึมลึกยิ่งขึ้น

 

 

อันที่จริงความสามารถของถังหนิงน่าทึ่งได้เพียงไหนนั้น

 

 

แม้แต่โม่ถิงเองก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้

 

 

ทว่ายังมีเรื่องหนึ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ด้วยความสามารถของลัวเซิงในตอนนี้ เขายังห่างชั้นกับถังหนิงมากโข

 

 

“หลงเจี่ย ช่วยผมรับงานให้มากกว่านี้หน่อยสิครับ ผมไม่สนว่ามันจะยากลำบากหรือเหนื่อยแค่ไหน ผมทนได้ครับ”

 

 

“เราไม่ต้องการให้นายต้องทนทุกอย่างหรอกนะ แค่หวังว่านายจะไม่มีปัญหากับสิ่งที่เราจัดการให้นายก็พอแล้ว” หลงเจี่ยพูดสำทับหลังจากนั้น “ไม่ว่าต่อไปนายจะอยากเป็นนักแสดงหรือนักร้อง นายก็ต้องทำให้ได้ทุกอย่าง อย่าคิดแค่ว่าตัวเองเป็นนักร้องแล้วจะไม่ต้องสนใจเรื่องการแสดง สมัยนี้มีนักแสดงคนไหนที่ทำงานแค่สายเดียวบ้าง ดังนั้นหลังจากที่นายมีชื่อเสียงขึ้นอีกนิด ถังหนิงจะขอให้นายคิดให้ดีๆ ว่าจุดยืนของนายคืออะไรกันแน่

 

 

“เราเลยเตรียมงานแสดงไว้ให้นายอีกสักหน่อย เป็นบทตัวละครสมทบทั้งหมด ไม่มีตัวละครหลักเลยสักเรื่อง นายจำเป็นต้องเข้าใจความรู้สึกของการเป็นนักแสดงสมทบก่อน ไห่รุ่ยต้องการสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น”

 

 

“ไห่รุ่ยเหรอครับ” ลัวเซิงแปลกใจเมื่อได้ยินชื่อนี้

 

 

“ใช่แล้ว เราทำข้อตกลงไว้กับไห่รุ่ย ตราบใดที่ศิลปินมีศักยภาพ พวกเขาจะได้เซ็นสัญญากับทางไห่รุ่ย ดังนั้นถ้านายอยากไปที่นั่น นายก็ต้องตั้งใจทำผลงานให้ดี”

 

 

ได้ยินดังนั้นลัวเซิงก็รู้สึกได้ถึงแรงกระตุ้นที่เพิ่มขึ้น

 

 

การได้เข้าสังกัดไห่รุ่ยหมายถึงการที่เขาจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นตำนานในอนาคต

 

 

หากคนอื่นพูดแบบเดียวกันกับเขา เขาคงรู้สึกว่าพวกเขาแค่ให้สัญญาลมๆ แล้งๆ หากแต่เมื่อมาจากปากของหลงเจี่ย นั่นหมายถึงว่ามันมาจากถังหนิง ถ้าเป็นอย่างนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะไม่เชื่อ

 

 

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ หลงเจี่ย ผมจะตั้งใจทำให้ดี”

 

 

หลงเจี่ยส่งยิ้มบางๆ ให้เขาก่อนจะยื่นบทละครเรื่องใหม่ให้เขา “ลองอ่านดูและมารายงานตัวที่กองถ่ายให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้”

 

 

ลัวเซิงไม่เคยลืมว่าบทบาทการแสดงครั้งที่สองของเขาเป็นตัวร้าย มันเป็นบทที่เขาต้องสวมหน้ากากไว้เกือบจะตลอดเวลา

 

 

ทว่าลัวเซิงก็ได้เตรียมตัวเอาไว้แล้ว ถ้าถังหนิงเป็นคนเลือกแสดงว่าเธอต้องมีเหตุผล ไม่กี่วันหลังจากนั้นลัวเซิงก็ถือบทละครและไปถึงที่กองถ่าย

 

 

เมื่อเห็นท่าทีเอาจริงเอาจังของลัวเซิง หลงเจี่ยก็เบาใจลงได้ในที่สุด และเมื่อนำเรื่องนี้ไปรายงานกับถัง

 

 

หนิง เธอก็เอ่ยชื่นชมเขาเล็กน้อย

 

 

“เราควรจ้างผู้ช่วยให้เขาไหมคะ”

 

 

“ไม่ต้องรีบหรอก” ถังหนิงตอบ “ตอนนี้เขาเป็นแค่นักแสดงสมทบ ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือมากขนาดนั้น แต่ก่อนเขาก็ผ่านประสบการณ์มามาก และเขาก็ไม่ใช่คนเรื่องมาก อีกอย่างเราต้องให้ความสำคัญกับการเซ็นสัญญากับศิลปินคนอื่นหลังจากที่เขาถ่ายละครจบด้วย”

 

 

“คุณเลือกได้แล้วเหรอคะ” หลงเจี่ยโพล่งถามด้วยความตื่นเต้น

 

 

“หลินเฉี่ยนกำลังจับตาดูเธออยู่” ถังหนิงตอบกลับ

 

 

“เมื่อไม่กี่วันก่อนลัวเซิงถามฉันว่าคุณจะกลับเข้าวงการหรือเปล่าด้วยค่ะ”

 

 

“เมื่อจู้ซิงมีเดียก้าวขึ้นมามีชื่อเสียง” ถังหนิงเอ่ย

 

 

แต่ในครั้งนี้เธอไม่ได้วางแผนที่จะกลับไปเป็นนางแบบหรือนักแสดงแต่อย่างใด เธอจะกลับเข้าวงการในฐานะผู้จัดการและผู้บริหาร บางทีเมื่อถึงตอนนั้นเจ้าแสบสองคนคงจะสามารถอยู่ข้างๆ เธอได้แล้ว

 

 

“ฉันจะรอคอยวันนั้นนะคะ” หลงเจี่ยเอ่ยก่อนจะวางสาย เก็บของและขับรถกลับบ้าน แต่ในทันทีที่เธอก้าวผ่านประตูเข้ามาในบ้าน ก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่แปลกไปเล็กน้อย

 

 

และก็พบว่าคุณนายลู่ได้มาถึงที่บ้านเป็นที่เรียบร้อย

 

 

ลู่เช่อยังคงอยู่ที่ทำงาน ดังนั้นพี่เลี้ยงจึงเป็นคนที่กำลังดูแลลูกสาวของเธออยู่

 

 

ทันทีที่พี่เลี้ยงเห็นเธอก็มองมาอย่างอึดอัดใจ ท่าทางไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งของพวกเขา

 

 

หลงเจี่ยจึงพยักหน้าเป็นการอนุญาตให้เธอกลับไปได้

 

 

หลังจากพี่เลี้ยงจากไป จึงเหลือผู้ใหญ่เพียงสองคนคือหลงเจี่ยและคุณนายลู่ ในตอนนี้เองที่บรรยากาศไม่เป็นมิตรได้ก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง

 

 

“ผ่านมาแค่เดือนกว่าๆ เอง เธอทิ้งลูกไปทำงานได้ยังไงกัน ลู่เช่อหาเลี้ยงเธอไม่ได้หรือยังไง” คุณนายลู่ว่าขึ้นอย่างท้าทาย “ตอนที่ฉันขอให้เธอมีลูกชายก็ทำเหมือนกับว่าเหนื่อยยากเสียเต็มประดา แต่เธอก็ยังมีแรงเหลือไปทำงานเนี่ยนะ”

 

 

“แม่คะ อย่าพูดเหมือนมันเป็นเรื่องแย่ขนาดนั้นเลยค่ะ” หลงเจี่ยเอ่ยอย่างใจเย็น พยายามแสดงความเคารพและให้เกียรติผู้อาวุโสกว่า

 

 

“เธอกับลู่เช่อเคยนึกถึงฉันบ้างหรือเปล่า”

 

 

“ไม่ค่ะ ดังนั้นไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณแม่จะมาที่นี่เลยค่ะ” หลงเจี่ยตอบอย่างไม่คิด ด้วยในตอนนี้ที่เธอเพิ่งเลิกงานและติดต่อคุยกับคนอื่นมามากมาย จึงตอบสนองออกไปจากใจจริง หลังจากนั้นถึงเข้าไปในห้องเด็กเพื่อดูลูกสาวของตัวเอง ทว่าเธอก็พบว่าเตียงเด็กที่ลูกของเธอควรที่จะอยู่ในนั้นกลับว่างเปล่า

 

 

“ไม่ต้องไปตามหาหรอก ฉันพาเด็กไปแล้ว เพราะเธอไม่รู้วิธีเลี้ยงลูกของตัวเอง ฉันหาคนที่จะดูแลลูกให้เธอไว้แล้ว” คุณนายลู่ประกาศกร้าว

 

 

ในเวลานี้หลงเจี่ยไม่อาจทนหญิงสูงวัยคนนี้ได้อีกแล้ว เธอเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายและเอ่ยถามขึ้น “สมองของแม่มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ แม่ไม่ชอบลูกสาวของฉัน แล้วลูกของฉันไปทำอะไรให้แม่ล่ะ แม่เป็นโรคจิตหรือยังไงคะ! ฉันจะมีลูกอีกคนก็ต่อเมื่อฉันอยากมีเท่านั้น พูดอีกอย่างก็คือมันไม่ใช่เรื่องของแม่ยังไงล่ะคะ!”

 

 

“เธอพูดกับฉันแบบนี้ตอนที่ลู่เช่อไม่อยู่อย่างนั้นเหรอ” คุณนายลู่ตวาดลั่น

 

 

“อย่าเอาลู่เช่อมาเกี่ยวด้วยค่ะ ต่อให้พระราชามาอยู่ต่อหน้าตอนนี้ฉันก็ยังจะพูดกับแม่แบบนี้ แม่คิดว่าตัวเองเป็นใครกันคะ” หลงเจี่ยตอกกลับขณะที่ชี้หน้าคุณนายลู่ “แม่คืนลูกสาวของฉันมาก่อนฉันจะทำกับแม่เหมือนคนนอกดีกว่านะคะ”

 

 

อย่างไรก็ตาม คุณนายลู่กลับทำเพียงยกยิ้มมุมปากและหันออกไป หากแต่หลงเจี่ยเอ่ยรั้งเธอไว้อย่างรวดเร็ว “ถ้าแม่ไม่คืนลูกของฉันมาก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

 

 

ไม่นานลู่เช่อก็เลิกงานและกลับมาที่บ้าน เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียด เขาได้แต่มองไปที่แม่และลูกสะใภ้เพื่อหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

“แม่นายเอาลูกของเราไปแล้ว บอกเธอให้คืนลูกของเรามาทีสิ จากนี้ไปฉันจะไม่ยอมอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเธออีก เธอเป็นคนโรคจิตที่บ้าคลั่งเป็นบ้าเลย!” หลงเจี่ยว่าขึ้นก่อนจะเดินปึงปังเข้าห้องนอนไป

 

 

ลู่เช่อสูดหายใจลึกและมองไปที่คุณนายลู่ “ทำไมแม่ต้องทำลายความเป็นแม่ลูกของเราด้วยครับ”

 

 

“ลูกน่าจะรู้ว่าวันนี้จะมาถึงตั้งแต่แต่งงานกับผู้หญิงคนนี้แล้ว”

 

 

“คืนลูกมาให้ผมครับ ไม่อย่างนั้นแม่จะต้องเดือดร้อน” น้ำเสียงลู่เช่อเรียบนิ่งหากแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง “แม่ทำให้เสี่ยวมั่นโกรธแล้ว ยังไม่พออีกเหรอครับ”

 

 

“ลูกสนใจแต่ผู้หญิงคนนั้นเหรอไง เคยคิดถึงแม่บ้างหรือเปล่า ลูกต้องการลูกสาวของตัวเองอย่างนั้นเหรอ งั้นก็ให้หลานชายกับแม่ตอบแทนมาสิ ไม่อย่างนั้นแม่ยอมตายดีกว่ายอมให้แกตามหาลูกเจอ! อย่าฝันไปหน่อยเลย…

 

 

“ถ้าเมียของลูกไม่อยากคลอดก็ให้ตัวอย่างน้ำเชื้อของลูกมาสิ แม่จะเอาไปเด็กหลอดแก้วเอง… สมัยนี้การแพทย์ก้าวหน้าขึ้นมาก ลูกไม่จำเป็นต้องใช้เธอด้วยซ้ำ ลู่เช่อ แม่ต้องการหลานชายจริงๆ นะ…”