บทที่ 228

ไม่นานนักยั่วหลิงก็หมดแรง คงเหลือไว้แค่เพียงเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดก็เท่านั้น

ตัวถังหยินนั้นไม่เคยคิดถึงเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนาโดยไม่รั้งรอ

เสียงร้องโหยหวนของยั่วหลิงดังลั่นออกมานอกกระโจม ทำให้พวกทหารด้านนอกได้ยิน หากแต่พวกเขาก็เลือกที่จะทำเป็นไม่สนใจเพราะยังไงเสียอีกฝ่ายก็เป็นศัตรู

หลังม่านนั่น ถังหยินได้ทำให้ยั่วหลิงบอบช้ำทั้งกายใจ ส่วนที่ข้างเตียงก็มีศพอยู่ไม่ไกลนักจากจินเหล่ยและชุยหลิงที่นั่งตัวสั่นเทาด้วยความกลัว ก่อนที่ทั้งสองจะยิ่งร้องไห้หนักขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนตัวเองที่ไม่อาจช่วยได้

ทางด้านพวกหนิง

หลิงเปิงยอมทำตามคำสั่งที่ได้มาและทำการมุ่งหน้าไปยังเมืองจินฮั๋วทันทีโดยไม่รอช้า ซึ่งตัวเขาก็ไม่ได้มาคนเดียว หากทว่ามีสหายร่วมทางมาด้วย

อันที่จริงแล้วตัวของหลิงเปิงนั้นไม่ค่อยจะมีสหายมากนัก ด้วยเพราะประวัติที่ไม่ค่อยดีของเขา แต่เมื่อเขาได้รับคำสั่งที่เหมือนกับให้ไปตายนี้มา มันก็ทำให้สหายหลาย ๆ คนของเขาไม่ค่อยชอบใจที่จ้านอู่ฉางทำเช่นนี้ และเลือกที่จะตามติดมาด้วยเพื่อช่วยหลิงเปิง

หลิงเปิงมองไปรอบ ๆ แล้วพูดขึ้น “ตอนนี้พวกเราจำต้องทำภารกิจเสี่ยงตาย ด้วยการเข้าไปช่วยตัวประกันออกมา โดยที่เราไม่รู้ว่าจะมีอะไรอยู่ข้างในบ้าง เพราะฉะนั้นพวกเจ้าทุกคนต้องร่วมมือกันให้ถึงที่สุด และถ้ามันไม่มีโอกาสที่ภารกิจนี้จะสำเร็จ ก็ให้ถอนกำลังออกมาทันที เข้าใจไหม ?”

“แน่นอนสหายหลิง พวกเราจะเชื่อมั่นในตัวเจ้า” พวกทหารมองหน้าหลิงเปิงแล้วพยักหน้าให้

“ข้าขอบคุณพวกเจ้าจริง ๆ”

พวกเขาออกจากค่ายหนิงไปด้วยเกราะปราณเคลือบสีดำ ก่อนจะพากันเดินทางอย่างเงียบเชียบตรงไปยังกำแพงเขตเมืองจินฮั๋วทางทิศเหนือ ซึ่งที่นั่นก็มีหลงซิงและเติงหนานที่นำทหารกองหนึ่งเดินมาซุ่มรออยู่ก่อนแล้ว

หลิงเปิงและพรรคพวกพากันเคลื่อนไหวพร้อมกับหลบซ่อนตัวไปด้วย จนกระทั่งพวกเขามาถึงหน้ากำแพงเมืองจินฮั๋วได้โดยไร้รอยขีดข่วน

ซึ่งก่อนที่จะมานั้น หลิงเปิงและคนอื่น ๆ ก็ได้วิเคราะห์พื้นที่นี้มาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นพวกเขาไม่มีทางพลาดแน่นอน

พวกเขาซ่อนตัวอยู่ข้างล่าง ซุ่มฟังการเคลื่อนไหวของพวกทหารยามด้านบนกำแพง แล้วรอให้ทหารกลุ่มนี้ผ่านไปก่อนจะขว้างตะขอขึ้นไปข้างบน

เมื่อดึงเชือกตรวจสอบว่ามันแข็งแรงพอหรือไม่จนแน่ใจแล้ว พวกเขาก็พากันปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

ถึงมันจะฟังดูง่ายแต่ก็เสี่ยงมาก หากพลาดแต่เพียงนิดพวกเขาก็จะพบเข้ากับทหารเฟิงที่กำลังเดินผ่านมาทันที ดังนั้นหลิงเปิงและคนของเขาจึงต้องระวังอย่างถึงที่สุด

หลิงเปิงหยิบแผนที่ขึ้นมาดูว่าตำแหน่งของพวกยั่วหลิงว่าอยู่ที่ไหน จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ เพื่อตรวจสอบดู

ก่อนที่เขาจะพบว่าบริเวณที่อยู่คือเต็นท์ทหารของพวกเฟิงที่วางเรียงรายกันเต็มไปหมด จนทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าพวกตัวประกันอยู่ที่ไหนกันแน่

หลิงเปิงถอนหายใจ ด้วยตอนนี้มีแต่ต้องใช้ความรู้สึกและโชคในการหาเป้าหมายแล้ว เขาทำการส่งสัญญาณให้กับกลุ่มทหารตัวเอง ก่อนจะลอบเร้นเข้าไปตามพงหญ้าระหว่างเต็นท์

เพียงชั่วพริบตาพวกเขาทั้ง 10 คนก็เข้ามาถึงบริเวณที่พักของแม่ทัพตามแผนที่ และเมื่อหลิงเปิงมองไปรอบ ๆ เขาก็เห็นเข้ากับเต็นท์ขนาดใหญ่ที่เด่นสะดุดตาเหมือนกับในแผนที่ไม่มีผิด ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นสถานที่ที่เขาตามหาอยู่ก็เป็นได้

ภาพตรงหน้าทำให้หลิงเปิงตื่นเต้นมาก รีบโบกมือให้พวกทหารมารวมตัวเพื่อเตรียมตัวบุกเข้าไปในทันที

เต็นท์ที่เป็นเป้าหมายมีทหารเฝ้าอยู่เพียง 2 นายเท่านั้น หากคิดจัดการพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากแต่อย่างใด

ว่าแล้วกลุ่มจารชนก็ไม่รอช้า พากันอ้อมเข้าไปยังด้านข้างของเต็นท์และหยุดลงข้าง ๆ ทหารยาม 2 คนนั้น

พวกหนิงมองหน้ากันและกัน ก่อนที่พวกเขาจะใช้ดาบปราณแทงหัวใจของทหารยามทั้ง 2 คนนี้จนถึงแก่ความตาย

ไม่มีเสียงใด ๆ เกิดขึ้น พวกเขาทำการนี้อย่างเงียบที่สุด และเพื่อปกปิดหลักฐาน พวกหลิงเปิงจึงได้ลากศพทหารกลับไปยังด้านหลังเต็นท์ ก่อนทำการตรวจสอบโดยรอบว่ามีใครอื่นอยู่อีกหรือไม่ แล้วทั้งหมดจึงค่อย ๆ ก้าวเข้าไปในนั้น

แต่แล้วหลิงเปิงกับทุกคนก็ต้องผิดหวัง เพราะข้างในนั้นไม่มีอะไรเลย มีเพียงทหารเฟิงในชุดเกราะสีดำที่นอนอยู่บนโต๊ะและเศษเหยือกเหล้าวางอยู่ข้าง ๆ ก็เท่านั้น

หลิงเปิงตั้งใจจะถอนทัพตั้งแต่ตอนแรก แต่หลังจากพิจารณาดูแล้วเขาก็เข้าไปดูร่างของนายทหารตรงหน้าด้วยความแววตาครุ่นคิด

ตอนนี้เขากำลังอยู่ท่ามกลางค่ายของศัตรู ดังนั้นแผนที่ใช้จึงไม่อาจผิดพลาดได้ เพราะการหลงทาง หลงทิศหรือเสียเวลาเพียงนิด มันก็อาจทำให้พวกเขาจบชีวิตลงได้ แต่ทว่าหลิงเปิงนั้นกลัวว่าหากเขาถอนทัพกลับไปมือเปล่าจะต้องโดนจ้านอู่ฉางโวยวายแน่ ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะตัดหัวแม่ทัพตรงหน้ากลับไปด้วย

เขามองไปยังทหารของเขาแล้วออกคำสั่งให้เข้ามาตัดหัวแม่ทัพคนนี้

ทหารพวกนี้ติดตามเขามานานหลายปี ดังนั้นจึงเข้าใจในสิ่งที่หลิงเปิงจะสื่อและไม่คิดชักช้าอีก พากันชักดาบออกมาแล้วเข้าไปล้อมร่างของแม่ทัพคนนี้เอาไว้ทันที

แม่ทัพคนนี้หลับลึกมากด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ หากแต่เขาก็ยังพอมีสติอยู่บ้าง ทำให้ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาบางที่กำลังเคลื่อนไหวเข้ามา

แม่ทัพหนุ่มลุกขึ้นมาแล้วถามขึ้น “ใครน่ะ ?”

หลิงเปิงและทุกคนถึงกับใจหาย หากแต่เขาก็ยังไม่คิดถอยและตะโกนออกมา “จัดการเขาซะ อย่าให้หนีไปได้ !”

พวกทหารหนิงรีบเข้าไปจัดการแม่ทัพเฟิงคนนี้อย่างรวดเร็ว

การกระทำดังกล่าวทำให้แม่ทัพเฟิงนายนั้นได้สติอย่างรวดเร็ว เขารีบเรียกเกราะปราณออกมาหลังจากที่สัมผัสได้ถึงอันตราย ทำให้เกิดควันสีขาวที่เข้าห่อหุ้มจนกลายเป็นเกราะปราณขึ้นมา

เคร้ง ! เสียงเหล็กกระทบกันดังไปทั่วจนเกิดประกายไฟ ด้วยดาบทั้ง 10 เล่มไม่อาจเข้าแทงร่างของแม่ทัพตรงหน้าได้เลย

พวกเขาทั้งหมดตะลึง ซึ่งมันก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่แม่ทัพเฟิงได้สติคืนมาทั้งหมดและร้องตะโกนออกมา “มือสังหาร ! เจ้ากล้าดียังไง !” เขาสะบัดร่างของตัวเองเพื่อดีดดาบให้ออกไป ก่อนจะพุ่งเข้าไปชกหน้าทหารหนิง 2 นายที่อยู่ใกล้ที่สุดในทันที

พวกหนิงกรีดร้องออกมาพร้อมถอยกลับเพื่อหลบหมัดที่กำลังพุ่งเข้ามา ทว่าแม่ทัพเฟิงนั่นก็หาได้หยุดมือแต่อย่างใด

ซึ่งการกระทำเช่นนั้นมันก็ทำให้ทหารหนิงทั้ง 2 คนที่หนีตายเริ่มเหนื่อยล้าจนหลบไม่ทันและตัดสินใจยกดาบขึ้นปัดป้องแทน

เคร้ง !

หมัดของแม่ทัพเฟิงเข้าปะทะกับดาบปราณทั้ง 2 เล่ม และด้วยหมัดที่ปกคลุมไปด้วยเกราะปราณ มันก็ทำให้ดาบของอีกฝ่ายเกิดรอยร้าวก่อนที่จะแตกละเอียดกลายเป็นชิ้น ๆ ปล่อยให้หมัดนั่นพุ่งตรงต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง !