บทที่ 214: คุณจะต้องตีพิมพ์!

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 214: คุณจะต้องตีพิมพ์!

ทั้งสองฝ่ายต่างไม่เอ่ยอะไรออกมา

ผู้เฒ่ายวีและเถาหรานต่างนิ่งเงียบ และสีหน้าของทั้งคู่ก็เปลี่ยนเป็นสีแดง

โอเค มาลงละเอียดให้มากกว่านี้กันดีกว่า…ใบหน้าของพวกเขามีเลือดสูบฉีด และมันก็ถูกแต่งแต้มด้วยสีที่น่ารักของฤดูใบไม้ผลิ

พวกเขาต่างมีความรู้สึกที่คล้ายกันในตอนนี้ พวกเขาคือคนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตสั่งสมประสบการณ์ในการแสวงหาความรู้ แต่กลับถูกเด็กอายุ 18 ฆ่าตาย ถ้าอีกฝ่ายบอกว่ามีความยาวของไอ้นั่น 18 เซนติเมตร ยังจะน่าเชื่อกว่า…เพราะอย่างไรแล้วพวกเขาทั้งคู่ก็แก่ลงเรื่อย ๆ…แต่มันสามารถเชื่อได้จริง ๆ หรือว่าเด็กคนนี้จะสร้างอะไรแบบนี้ได้? นี่เขาเป็นนาจา[1]กลับชาติมาเกิดอย่างนั้นหรือ?

“คุณแน่ใจไหมว่าอาจารย์ทั้งสามคนนี้เป็นคนเขียนบทความนี้ขึ้นมา?” ผู้เฒ่ายวีถามอีกครั้ง ความขุ่นมัวภายในใจของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และเขาก็ไม่กล้าหวังคำตอบอะไรจากเถาหรานมากนัก

ในอีกด้านหนึ่งของปลายสาย เถาหรานเองก็กำลังประสบกับการตีกันของอารมณ์เช่นกัน และเขาก็ตอบอย่างอึกอัก “ครับ…และอาจารย์ฉินก็เป็นผู้เขียนหลัก…”

“ดี!” หลังจากผ่านไปหลายนาที ในที่สุดความตึงเครียดภายในจิตใจของผู้เฒ่ายวีก็ลดลงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “มันเป็นเรื่องดี…อย่างน้อยมันก็นับว่าเป็นเรื่องดี…”

“ผมขอแสดงความยินดีกับทางสำนักฝึกตนแห่งแรกจริง ๆ อาจารย์ทั้งสามคนนี้จะต้องกลายเป็นเสาหลักของ ศูนย์วิจัย SRC ในอนาคตอย่างแน่นอน!”

เถาหรานแทบจะสำลักออกมา

เดี๋ยวก่อนครับ…ศาสตราจารย์ยวี คุณไม่คิดว่านั่นมันเป็นคิดเองเออเองไปหน่อยหรือ…

อะไรที่ทำให้คุณคิดว่าพวกเขาเป็นคนของศูนย์วิจัย SRC? คุณไม่คิดหรือว่าคุณกำลังคิดเข้าข้างตัวเองเกินไป

พวกเขายังไม่ได้ลาออกจากหน้าที่ของพวกเขาในตอนนี้ด้วยซ้ำ และต่อให้พวกเขาจะเลิกเป็นอาจารย์ คุณคิดจริง ๆ หรือว่าทางสำนักฝึกตนแห่งแรกจะไม่เสนอตำแหน่งที่ดีกว่านี้ให้พวกเขา? คุณเห็นเราเป็นอะไร? โอเค คุณอาจจะเป็นคนที่สามารถประจันหน้ากับผู้อำนวยการทั้งสองของเราได้ แต่…ผมก็ไม่คิดว่าพวกเราจะยอมปล่อยให้คนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ไปให้คุณเช่นกัน…

ผมหมายถึง พวกเราต่างก็เป็นนักวิชาการที่แสวงหาความรู้…ดังนั้นคุณจำเป็นจะต้องเล่นสกปรกขนาดนี้เลยหรือ?

แต่ถึงอย่างไรเถาหรานก็ไม่ได้คิดที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงกลบเกลื่อนคำพูดที่แฝงความนัยของศาสตราจารย์ยวีด้วยการกระแอมเบา ๆ “ถ้าเช่นนั้น ศาสตราจารย์ครับ เกี่ยวกับบทความวิจัยนี้…คุณคิดว่า…”

“บทความวิจัยนี้มีศักยภาพมากพอที่จะถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสิบงานวิจัยสุดยอดแห่งปี” ศาสตราจารย์ยวีเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนที่เถาหรานจะเอ่ยคำถามของตนจบ “ผมรู้สำนักฝึกตนแห่งแรกในตอนนี้กำลังอยู่ในจุดที่ต้องแบกรับอะไรหลาย ๆ อย่างและทุกตนต่างก็จับจ้องสายตาไปที่พวกคุณ และการที่จะสามารถปิดปากที่ขยับไปมาไม่หยุดพวกนั้นก็มีเพียงการแสดงหลักฐานที่เป็นรูปธรรมออกมา เอาล่ะ ตอนนี้พวกคุณโชคดีมาก ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้ปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาที่ดีที่สุดแล้ว”

“รอการติดต่อกลับจากผม”

………………….……………

กลับมาที่เมืองไดซาน ศาสตราจารย์ยวีกดวางสายทันทีที่เอ่ยจบ เขาก็มองไปยังการจราจรที่ติดขัดตรงหน้าอย่างเหม่อลอย ขณะที่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

“คนรุ่นใหม่นั้นก้าวหน้าไปไกลกว่าคนรุ่นเก่าอย่างแท้จริง…หากเราพยายามให้มากกว่านี้ เด็กพวกนั้นคงจะตามเรามาทันในไม่ช้านี้แน่”

“ยิ่งคิดว่าคุณสามารถหากุญแจในการปลดล็อกความลับเกี่ยวกับหัวข้อวิจัยที่ผมศึกษามาตลอดแบบนี้…ผมรู้สึกซาบซึ้งใจในความเมตตานี้จริง ๆ เอาล่ะ…เราคงมาเปิดประตูนี้ไปด้วยกันดีไหม?”

เขารวบรวมความคิดตัวเองและกดเข้าไปที่แอปโม่โม่อีกครั้ง ไล่หาดูรายชื่อผู้ติดต่อเพื่อหาเบอร์โทรของคนคนหนึ่งก่อนจะกดโทรออก

“หัวหน้าบรรณาธิการเหยาอยู่ไหม?”

หากเป็นคนอื่นอย่างผู้สนับสนุน คำตอบที่ได้ออกมาตอนนี้คงเป็น “พูดมาเลยว่าคุณต้องการอะไร เรากำลังยุ่งกันมาก หากคุณต้องการจะส่งบทความก็ลงมันมาทางกล่องข้อความได้เลย ไม่จำเป็นต้องถามว่าเขาอยู่หรือเปล่า”

แต่ทางปลายสายกลับเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะต่อสายตรงไปยังบุคคลที่มีรูปโปรไฟล์เป็นรูปอุนจิที่มีใบหน้ายิ้มแปะอยู่ เสียงหัวหน้าบรรณาธิการเหยาดังมาตามสาย “สวัสดีครับศาสตราจารย์ยวี คุณเป็นอย่างไรบ้าง? ขอโทษด้วยที่ปล่อยให้รอเสียนาน มีอะไรอยากจะให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ?”

ศาสตราจารย์ยวีไม่ได้สนใจคำพูดเกริ่นนำพวกนั้น เขารีบเอ่ยเข้าประเด็นทันทีโดยไม่แม้แต่จะถามด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายกำลังยุ่งอยู่หรือไม่ “พวกคุณสรุปเรื่องบทความวิจัยที่จะได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ฉบับต่อไปหรือยัง?”

มันเป็นเพราะว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดคุยสัพเพเหระ ต่อให้หัวหน้าบรรณาธิการเหยากำลังยุ่ง เขาก็ต้องบอกว่าตนว่างกับศาสตราจารย์ยวีอยู่ดี

หืม? ตาแก่นี่ไม่มั่นใจในตัวเองไปหน่อยหรือไง? เขาไม่เอ่ยแนะนำตัวกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แล้วทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงต้องรู้สึกเคว้งคว้างด้วย…

“เราสรุปกันแล้วครับ…”

“ผมคงต้องขอให้คุณยกเลิกสรุปนั้น” ศาสตราจารย์ยวีพูดแทรกก่อนที่เขาจะพูดจบเสียอีก

หัวหน้าบรรณาธิการเหยา: ……

คุณคิดว่าผมมีเวลาว่างมาเล่นเกมกับคุณหรือไง?! หรือว่าโทรศัพท์ของผมส่งข้อความผิดมาให้?!

ให้ตายเถอะ! ผมรู้อยู่แล้วว่าไม่ควรรับสายคุณ หัวหน้าบรรณาธิการเหยากลอกตาที่ปลายสาย

หัวหน้าบรรณาธิการเหยาเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง ว่าทำไมชีวิตเขาต้องวนเวียนเจอกับคนประเภทนี้อยู่เรื่อย หลังจากใช้เวลาหลายวินาทีเพื่อตั้งสติ เขาก็ยิ้มออกมาและเอ่ยถามว่า “ศาสตราจารย์ยวี คุณ….จะตีพิมพ์วิจัยอย่างนั้นหรือครับ?”

ศาสตราจารย์ยวีเป็นคนจริงจังอย่างแท้จริง เขารีบส่งไฟล์เอกสารให้กับอีกฝ่ายทันทีพร้อมกับคำสั่ง “ตีพิมพ์บทความวิจัยนี้ในสัปดาห์หน้า และให้พื้นที่บทความทั้งหน้ากระดาษ ผมได้ตรวจดูสมมติฐานทั้งหมดที่อยู่ภายในบทความนี้ด้วยตัวเองแล้ว และมันถ้าเป็นไปได้ทั้งหมด ผมคงต้องขอรบกวนคุณเตรียมการทุกอย่างที่จำเป็นให้ที”

…………………..……………

เมืองเยียนจิง สำนักงานใหญ่ของหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ หัวหน้าบรรณาธิการเหยาเปิดไฟล์เอกสารดู หากศาสตราจารย์ยวียืนยันว่าเขาต้องการจะตีพิมพ์บทความวิจัย มันก็คงจะไม่มีใครมีปัญหาอะไรกับเรื่องนั้น ต่อให้จะอุทิศทั้งหน้ากระดาษให้กับงานวิจัยของชายสูงวัยก็ตาม แต่ถึงกระนั้น เขาต้องปรับแว่นสายตาของตัวเองอย่างตกตะลึงเมื่อได้อ่านหน้าปกของงานวิจัย

การกลายพันธุ์ของวิญญาณ: สาเหตุ พัฒนาการ และความเป็นไปได้

ผู้เขียนหลัง: อาจารย์ฉินเย่ สำนักฝึกตนแห่งแรก

ผู้เขียนร่วม: อาจารย์ซู่เฟิงและอาจารย์หลินฮั่น สำนักฝึกตนแห่งแรก

“นี่ไม่ใช่คนของศาสตราจารย์ยวีนี่?” เขาชะงักไป “ฉินเย่? ฉันไม่เคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อน แต่ผู้เฒ่ายวีกลับขอพวกเราให้สละพื้นที่ทั้งหน้ากระดาษให้กับบทความวิจัยของเขาจริง ๆ น่ะหรือ? หรือว่าศาสตราจารย์ยวีต้องการจะช่วยสนับสนุนลูกบุญธรรมของเขา? แต่ต่อให้เป็นแบบนั้น นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือไง?”

มันไม่ใช่ว่าเขาดูถูกใคร แต่ชื่อเสียงในแวดวงวิชาการของคนคนหนึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควร ไม่มีนักวิชาการคนไหนโด่งดังขึ้นภายในข้ามคืน ผลงานแต่ละชิ้นในสาขานี้เกิดขึ้นจากการวิจัยและการทดลองระยะยาว รวมถึงข้อโต้แย้งและข้อสนับสนุนที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน ผู้ที่สามารถเติมเต็มเงื่อนไขพวกนี้ได้จะไม่มีทางไม่เป็นที่รู้จักหรือไม่ถูกพูดถึงในแวดวงวิชาการ ต่อให้คนคนนั้นจะไม่ได้รับเครดิตโดยตรงในการเขียนวิจัยเล่มนั้นก็ตาม

แต่ฉินเย่คือชื่อที่เขาไม่รู้จักและไม่คุ้นหูเลยสักนิด แล้วแบบนี้อีกฝ่ายมีสิทธิ์อะไรที่จะได้รับการอุทิศทั้งหน้ากระดาษเพื่องานวิจัยของเขากัน?

ด้วยความอยากรู้ที่ผุขึ้นมากมายในใจ เขาเริ่มอ่านบทความวิจัยดังกล่าวทันที

หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งนาที คิ้วที่ขมวดยุ่งของเขาก็คลายออก

สามนาทีต่อมา เขาอ้าปากอย่างตกตะลึง กำโทรศัพท์ที่อยู่ในมือแน่น จ้องไปที่เนื้อหาในบทความอย่างไม่ละสายตา

แปดนาทีต่อมา หัวหน้าบรรณาธิการเหยาลุกขึ้นยืนและทุบโต๊ะอย่างแรง เขามองไปยังสัญลักษณ์ด้านบนสุดของโทรศัพท์ที่แสดงว่าสายของเขาและศาสตราจารย์ยวียังไม่ถูกตัดไป จากนั้นจึงมองเนื้อหาในบทความอีกที

หลังจากผ่านไปอีก 15 นาทีเต็ม ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมาและวางโทรศัพท์ลง เขาส่ายศีรษะเบา ๆ และเคาะนิ้วบนโต๊ะอย่างครุ่นคิด

เขากำลังพิจารณาถึงเนื้อหาทั้งหมดที่ตนเพิ่งได้อ่านไป

นี่คือบทความวิจัยที่ทำให้ผู้ที่อ่านรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก 15 นาทีที่ผ่านมาเขารู้สึกราวกับว่าตัวเองได้ขึ้นรถไฟเหาะอยู่ตลอดเวลาที่อ่าน หนึ่งนาทีแรกแววตาของเขาเป็นประกายขึ้น สามนาทีต่อมาเขาอ่านต่ออย่างระมัดระวัง แปดนาทีต่อมาเขาเคลิบเคลิ้มไปกับมัน และสามนาทีสุดท้าย เขาถูกพาไปยังมิติแห่งความเข้าใจใหม่อย่างสิ้นเชิง

“ช่างเป็นบทความวิจัยที่มีความเป็นมืออาชีพมากจริง ๆ…การพิสูจน์ที่เฉียบคม ตรงประเด็น กระชับในการโต้แย้งและกระบวนการคิดที่ปราศจากรูรั่ว…ทำไมเราถึงไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อนกัน? เขาเป็นมือใหม่จริง ๆ น่ะหรือ? อาจารย์จากสำนักฝึกตนแห่งแรก? ไม่ใช่ศาสตราจารย์ด้วยซ้ำ?”

เขาลืมตาขึ้นและจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ของตน โดยที่หางตายังคงกระตุกไม่หยุด นี่มันบ้ามาก…จู่ ๆ ผู้มีพรสวรรค์ที่ซ่อนตัวมาตลอดก็เปิดเผยตัวตนออกมาด้วยการแสดงฝีมือที่เฉียบคมแบบนี้…

“ศาสตราจารย์ยวี” เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยเรียกศาสตราจารย์ยวีอีกครั้ง “นักวิชาการที่เป็นคนเขียนบทความวิจัยนี้คือใครกันครับ? รูปแบบการเขียน กระบวนการทางความคิดและการพิสูจน์นั้นดูไม่เหมือนกับพวกมือใหม่เลยสักนิด!”

ศาสตราจารย์ยวีเงียบไป

ไอ้หนู… ความคิดเห็นของนายมันกรีดลึกบาดใจฉันจริง ๆ…

นายคิดว่าฉันไม่ตกใจหรือไงที่จู่ ๆ ก็มีไอ้ปีศาจตัวนี้ก็โผล่หัวที่น่าเกลียด ๆ ของมันออกมา? ทั้ง ๆ ที่ฉันก็นั่งอยู่ในเมืองไดซาน ทำงานและสนใจหัวข้อวิจัยของตัวเองอยู่ แล้วจู่ ๆ ก็โดนลอบโจมตีโดยไอ้เด็กนี่…แถมเขายังเจอกุญแจที่จะใช้ปลดล็อกประตูวิจัยที่ถูกปิดสนิทมาตลอดหลายสิบปี…แต่นายกลับมาถามฉันเนี่ยนะ? ฉันขอตบหน้านายแรง ๆ สักทีได้ไหม?!

“คุณคิดว่ายังไงล่ะ?” ชายสูงวัยถามกลับไป

คุณคิดว่ายังไงล่ะ?

หัวหน้าบรรณาธิการเหยาไม่ได้ตอบออกไปในทันที คำถามที่ดูเหมือนจะธรรมดานี้ได้กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกมากมายขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง

หากอีกฝ่ายบอกกับเขาว่าตนนั้นตกตะลึงกับสมมติฐานที่ได้รับการขัดเกลามาอย่างดี รูปแบบวิทยานิพนธ์ที่แปลกใหม่ และยังวิธีการเขียนที่เป็นมืออาชีพ บทความวิจัยบทนี้ก็สามารถถือได้ว่าสร้างความสั่นสะเทือนให้เขาเป็นอย่างมาก

ภายในหัวของเขาไม่มีข้อสงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย มันไม่เกิดข้อขัดแย้งใด ๆ เลยด้วย หากพูดกันตามความจริง ทันทีที่เขาอ่านมันจบเขาก็รู้สึกเห็นด้วย ราวกับว่าสิ่งที่ถูกกล่าวมาในงานวิจัยทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องจริงและเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไป

ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเพียงวิทยานิพนธ์เท่านั้น!

เอกสารวิทยานิพนธ์ทุกฉบับ ล้วนเป็นคำเชิญชวนเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น! แลกเปลี่ยนความคิดเห็น! มันไม่ได้หมายถึงอ่านเพื่อการเอาหน้า ราวกับว่าผู้เขียนเพียงระบุถึงข้อเท็จจริง มันหมายถึงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสถาบันวิจัยอื่น ๆ อย่างจริงจัง! อีกทั้งเขากลับไม่มีความรู้สึกขัดแย้งกับสิ่งที่ถูกเขียนอยู่ในนี้เลยแม้แต่นิดเดียว!

มันสามารถพูดได้ว่าคุณภาพของบทความนั้น สูงขนาดที่ว่าสมมติฐานและหลักฐานพิสูจน์ รวมถึงการโต้แย้งนั้นเฉียบคมและถูกบรรยายอย่างดีจนแทบจะไร้ที่ติ มันเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาที่จะมีบทความที่ไร้ซึ่งช่องโหว่แบบนี้ถูกตีพิมพ์ออกมา แม้ว่าจะเปรียบเทียบกับบทความวิจัยสุดยอดทั้งหมดที่ถูกตีพิมพ์มาในผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ก็ตาม

“เหลือเชื่อ” เขาถอนหายใจออกมา “มันน่าเหลือเชื่อมากจริง ๆ บทความวิจัยนี้…จะต้องสร้างกระแสไปทั่วโลกแห่งการบ่มเพาะแน่นอน มันอาจจะเป็นกุญแจที่ใช้จัดการกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่มีระดับสูงกว่าเขตไล่ล่าทั่วไปก็ได้ บทความวิจัยที่ไร้ที่ติเช่นนี้มีค่ามากเกินกว่าแค่การอุทิศพื้นที่ทั้งหน้ากระดาษให้ด้วยซ้ำ อันที่จริง…บทความนี้น่าตื่นเต้นกว่าบทความที่เหล่านักวิชาการเก่า ๆ และศาสตราจารย์บางท่านส่งมาเสียอีก!”

“ดี จัดเตรียมทุกอย่างซะและติดต่อไปหาทางสถาบันโดยเร็วที่สุด” เมื่อเอ่ยจบศาสตราจารย์ยวีก็วางสายไป

หัวหน้าบรรณาธิการเหยานั่งอยู่ที่โต๊ะของตน มองดูรูปโปรไฟล์ของศาสตราจารย์ยวีดับไป เขาถอนหายใจออกมาและขมวดคิ้ว หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ถอนหายใจอีกครั้งและหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมา “ดร.ลั่ว”

“อ่าา…สบายดีไหมครับหัวหน้าบรรณาธิการเหยา” น้ำเสียงสดใสดังมาจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง “มีอะไรต้องการให้ผมช่วยหรือครับ? การเตรียมการสำหรับการตีพิมพ์วิจัยของผมเสร็จหรือยัง? ผมต้องขอบคุณจริง ๆ ครับที่เป็นธุระให้….”

บรรณาธิการเหยากุมขมับขณะที่เอ่ยแทรกขึ้นว่า “คืออย่างนี้ครับ ทางเรามีบทความวิจัยสำคัญบทความหนึ่งที่จะได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ฉบับที่กำลังจะมาถึง ดังนั้นบทความวิจัยของคุณคงต้องรอไปก่อน”

เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง

หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที ดร.ลั่วก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ “เป็นไปได้ยังไง…บรรณาธิการเหยา ไม่ใช่ว่าเราตกลงกันไว้แล้วหรือครับ? นี่มันอะไร—…”

“อย่างที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้ครับ เราจะหาช่วงเวลาที่เหมาะสมกันอีกที และในตอนนั้นผมก็พูดแค่ว่าผลงานของคุณ ‘อาจจะ’ ได้ตีพิมพ์ก็เท่านั้น ดังนั้นคุณไม่ควรตกใจขนาดนี้นะครับ เนื่องจากพวกเราได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าแล้ว” บรรณาธิการเหยายกขาขึ้นไขว่ห้างและเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ

“เหล่าลั่ว ทุกคนต่างรู้ดีว่าบทวิจัยพิเศษจะถูกส่งมาเป็นครั้งคราว และบทความระดับสองหรืออื่น ๆ ก็ย่อมต้องหลีกทางให้กับมัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว บทความพวกนี้ก็ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับสารเติมเต็ม และตอนนี้บทความวิจัยพิเศษนั้นก็ถูกส่งมาถึงแล้ว พวกเขาจำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับมันเป็นอันดับแรก…ส่วนหินวิญญาณ 300 ก้อน ผมจะโอนมันกลับคืนไปยังบัญชีของคุณทันที ผมโทรมาบอกคุณเพื่อเป็นมารยาทเท่านั้น”

สิ้นสุดเสียงพูด บรรณาธิการเหยาก็วางสายไปก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ตอบ จากนั้นด้วยเหตุผลบางประการ มือของเขาคว้าบทความวิจัยของฉินเย่และหยิบมันขึ้นมาอ่านอีกครั้ง

ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากอ่านไปสามครั้งติดกัน จากนั้นเขาก็วางมันลงในที่สุด ถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกที่พลุ่งพล่านแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาโดยไม่ลังเล

“สวัสดีครับ นั่นใช่สายผู้อำนวยการสวี่หรือเปล่าครับ?”

………………………………

ฉินเย่ไม่รับรู้เรื่องทั้งหมดนี้เลยสักนิด เขากำลังนั่งอยู่กับซู่เฟิง หลินฮั่นและนักเรียนอีกประมาณสิบคน เฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จของวิทยานิพนธ์ของพวกตน

นี่คือมิตรภาพที่เกิดขึ้นจากการฝ่าฟันอุปสรรคในการเขียนบทความทางวิชาการจนกระทั่งพวกเขาสามารถก้าวข้ามมันไปได้ในที่สุด หลังจากผ่าน 20 วันแห่งความยากลำบาก ในที่สุดพวกเขาก็รู้สึกได้ว่าโซ่ตรวนที่ล่ามพวกตนอยู่ได้หลุดออกไปเสียที และปลดปล่อยตัวตนไปกับค่ำคืนแห่งความรื่นเริง

ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ร้านหม่าล่าเสียบไม้ ในวิทยาเขตของสำนัก ปาร์ตี้เต็มไปด้วยบรรยากาศของความสนุกสนาน ซู่เฟิงยกแก้วของเขาขึ้นและเอ่ย “ทุกคน มา ยกแก้วขึ้น! นี่คือการดื่มให้กับวันคืนทั้งหมดที่เราได้ใช้ไปกับการเขียนบทความวิจัย!”

“แด่วิทยานิพนธ์!” “แด่วิทยานิพนธ์ที่แสนหฤโหด!” “แต่วิทยานิพนธ์ที่ไม่อยากจะเห็นอีกตลอดไป!” “แด่พี่น้องทุกคนที่มีส่วนร่วมในวิจัยเล่มนี้!” “ขอบคุณอาจารย์ทุกคนที่มอบโอกาสดี ๆ แบบนี้ให้เรา!”

“ชน!!!!” ด้วยเสียงร้องที่ดังลั่น คนทั้งหมดต่างดื่มเครื่องดื่มในแก้วของตนจนหมด ฉินเย่เองก็แย้มยิ้มและดื่มของเหลวในแก้วของตนอึกใหญ่ เมื่อเขาวางแก้วไวน์ในมือลง เด็กหนุ่มก็มองไปยังแก้วเปล่าใบอื่น ๆ ที่อยู่บนโต๊ะด้วยสายตาพึงพอใจ วินาทีนั้น หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ทั้งอิ่มเอมใจและโล่งอก

[1] นาจา คือ เทพเจ้าในร่างเด็กที่มีหน้าที่รักษาประตูสวรรค์ในปกรณัมของจีน