บทที่ 220 หอคอยที่ตกจากโลกเซียน

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 220 หอคอยที่ตกจากโลกเซียน

รอบนอกสนามรบบรรพกาล แมลงเต่าทองสีแดงดำตัวหนึ่งบินผ่าน

มันกระพือปีกรวดเร็วมาก ไม่นานก็ออกจากสนามรบมาอยู่กลางหุบเขารกร้าง

ในหุบเขารกร้างมีคนชุดคลุมดำนั่งอยู่สามคน

แมลงเต่าทองบินลงในมือคนชุดคลุมดำคนหนึ่ง ก่อนจะส่งคลื่นพลังจิตออกมา

ใบหน้าใต้หน้ากากคนชุดคลุมดำเปลี่ยนไปอย่างมาก “แย่แล้ว นายน้อยโดนบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จับตัวไป!”

“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร ท่านประมุขมอบแก่นโลหิตศักดิ์สิทธิ์ให้นายน้อยตั้งหกเม็ด! มากพอจะให้เขาปราบมารโลหิตระดับดวงจิตอรุณได้หกตัวเชียว”

“ในสนามรบนี่ นายน้อยน่าจะไร้พ่ายแล้วสิ!”

“หรือว่าแดนศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นได้ข่าวอะไรบางอย่างเลยวางกับดักเอาไว้ก่อนกัน”

“รีบรายงานประมุขให้เร็วที่สุด! ถึงอย่างไรก็จะให้เสียเรื่องนั้นไม่ได้!”

คนชุดคลุมดำสามคนยืนขึ้นพร้อมกัน ร่างสั่นไหวเบาๆ ก่อนหายไปในหุบเขารกร้าง

…..

ดินแดนบูรพา แดนศักดิ์สิทธิ์ท้องนภา ยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์

นี่คือที่ปิดด่านบำเพ็ญของบุตรศักดิ์สิทธิ์ท้องนภา ปกติจะมีแขกมาตลอด เพราะอัจฉริยะทั้งดินแดนบูรพารู้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ท้องนภาไม่ชอบเดินทางไปไหนมาไหนกับใครมาตั้งนานแล้ว

แต่มีข่าวลือว่าสุดยอดโอรสสวรรค์ลำดับสี่ในรายนามแก่นพลังทองดินแดนบูรพาคนนี้มีศักยภาพลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ที่ยังไม่ติดอันดับสามเพียงเพราะบุตรศักดิ์สิทธิ์ท้องนภาหวังเสินซวีเป็นคนรักสันโดษ แทบจะไม่ประลองฝีมือกับใคร

เขามีกายเทพว่างเปล่า เป็นหนึ่งในกายเทพที่แกร่งที่สุดในตำนาน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นกายต้องสาป เล่าลือกันว่าโอรสสวรรค์ที่มีกายนี้ แม้จะมีพลังแกร่งกล้าควบคุมความว่างเปล่าได้ แต่ก็มีอายุขัยเป็นราคาต้องจ่าย

ทุกครั้งที่หวังเสินซวีใช้วิชาคัมภีร์ท้องนภาจะเสียอายุขัยตัวเอง เรียกได้ว่ากินชีวิต!

กระทั่งต่อให้ไม่สู้กับคนอื่น อายุขัยของผู้มีกายเทพว่างเปล่าก็สั้นกว่าผู้ฝึกบำเพ็ญรุ่นเดียวกันปกติแล้ว นี่คือรูปแบบชะตาต้องตายแต่เยาว์วัย

ด้วยเหตุนี้หวังเสินซวีจึงเก็บตัวมาตลอด การต่อสู้ไม่โดดเด่นพอ จึงต้องอยู่ใต้ฉีเซ่าเซวียน ขู่ตัวและฟางฉางอย่างคับอกคับใจ

แต่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าหากต่อสู้กันอย่างสุดกำลัง หวังเสินซวีอาจจะไม่อ่อนแอไปกว่าฉีเซ่าเซวียน!

ถึงอย่างไรเมื่อหมื่นปีก่อน ผู้มีกายเทพว่างเปล่าคนนั้นตอนเผชิญหน้ากับมารร้ายต่างแดนได้เผาชีวิตเข้าสู้และแสดงกำลังรบออกมาทำให้คนหนาวสั่นจริงๆ

เวลาคือราชา ความว่างเปล่าคือผู้สูงศักดิ์!

ความแกร่งของกฎเกณฑ์แห่งความว่างเปล่าไม่เป็นที่ต้องสงสัยเลย

หากไม่จำเป็นจะไม่มีใครกล้าล่วงเกินกายเทพที่สืบทอดกันมาของแดนศักดิ์สิทธิ์ท้องนภา เพราะอย่างไรปกติพวกเขาจะดูเก็บตัวอยู่เงียบๆ แต่ยามมีเรื่องจะสู้สุดชีวิต

เหอะๆ วางมาดเหมือนจะตายไปพร้อมๆ กันเลยล่ะ

ถึงอย่างไรคนเท้าเปล่าก็ไม่กลัวคนสวมรองเท้า เอาอายุขัยหลายร้อยปีของข้าแลกกับหลายพันปีของเจ้า กำไรเลือดสาด!

ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นหอมชาลอยโชย~

ชายชุดคลุมขาวคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิกลางวิหารใหญ่

เครื่องหน้าเขาหล่อเหลาสมบูรณ์ เพียงแค่หน้าซีดขาว ขอบตาดำอย่างเห็นได้ชัด

หญิงงดงามสี่คนคอยรับใช้อยู่ข้างกาย ทุกคนสวมชุดคลุมขาวลอยล่องเหนือธรรมดา ตอนนี้กำลังชงชาวิญญาณให้เขา

มองออกได้เลยว่านี่ไม่ใช่ชาวิญญาณธรรมดา

ในน้ำชาเติมสมุนไพรยาอย่างเช่นโสม หวงจิงและเก๋ากี้เป็นต้น อีกทั้งอายุยังมีพันปีขึ้นไป เป็นของล้ำค่า

“ศิษย์พี่ ช่วงนี้ฉีเซ่าเซวียนนั่นท้ารบไปทั่ว โอหังมาก!”

“ท้ารบกับโอรสสวรรค์รุ่นเยาว์ทั้งหมด รวมถึงระดับดวงจิตดรุณ คิดว่าตัวเองเป็นราชาไร้มงกุฎจริงๆ!”

“ใช่ ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์พี่เราร่างกายอ่อนแอ อันดับหนึ่งแก่นพลังทองแห่งดินแดนบูรพาไม่ตกเป็นของเจ้านั่นแน่นอน!”

“ศิษย์พี่เสินซวี เดี๋ยวดื่มชาห้าสิ่งเลอค่าเยอะๆ หน่อย บำรุงจิต ถ้าเจ้านี่กล้ามาท้าทายแดนศักดิ์สิทธิ์เรา ก็ฆ่ามันเลย!”

เมื่อได้ฟังคำพูดโกรธแค้นอยู่เต็มอกของศิษย์น้องหญิงสี่คนแล้ว ชายชุดคลุมขาวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เหตุใดศิษย์น้องหญิงพวกนี้ถึงฉุนเฉียวกันเช่นนี้!

แล้วยังมีให้ใช้คัมภีร์จักรพรรดิท้องนภาฆ่าเขา คนที่เสียอายุขัยไม่ใช่พวกเจ้านี่!

หวังเสินสวีจิบชาอึกหนึ่ง ก่อนพูดอย่างจำใจ “ศิษย์น้องหญิงทั้งสี่ ใจเย็นๆ หน่อย ปรองดองกันไว้ๆ”

หญิงชุดคลุมขาวสี่คนทำเสียงขึ้นจมูก “ศิษย์พี่ ท่านแข็งกร้าวหน่อยไม่ได้รึ เขาจะมาถึงพวกเราแล้วนะ ไม่ฆ่าพวกมันจะรอให้เขามาขี้ใส่หรือ”

หวังเสินซวีพูดไม่ออก

บุพการีของศิษย์น้องหญิงสี่คนนี้ก็จริงๆ เลย สอนบุตรสาวกันดีจริงๆ!

หวังเสินซวีพูดด้วยความจำใจ “ศิษย์น้องหญิงเหมยหลันจู๋จวี๋ทั้งสี่ ฉีเซ่าเสวียนยังไม่ได้มาท้าสู้กับข้าไม่ใช่รึ!”

เพิ่งพูดจบก็เห็นศิษย์ท้องนภาคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากนอกวิหารบุตรศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเคารพ เขามองหวังเสินซวีด้วยความอิจฉา

มีศิษย์พี่หญิงดั่งดอกไม้ดั่งหยกลุมร้อมทุกวัน ชีวิตของบุตรศักดิ์สิทธิ์น่าอิจฉาจริงๆ!

แต่ถึงอิจฉาไปก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เขาเป็นเพียงศิษย์ส่งสารเท่านั้น

ศิษย์คนนั้นยื่นสาร์สท้ารบฉบับหนึ่งมาด้วยความนอบน้อม “ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ ฉีเซ่าเสวียนบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงส่งสาร์สท้ารบมาให้ท่าน”

เพิ่งเอ่ยจบ โต๊ะน้ำชาตรงหน้าหวังเสินสวีพลันแตกกระจาย เสียงฉุนเฉียวดังขึ้นกลางวิหาร

“กล้ามาท้าสู้จริงๆ ด้วย ตอนนี้แดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงโอหังอะไรเช่นนี้ ศิษย์พี่ฆ่ามันเลย!”

“กล้ามารังแกศิษย์พี่ที่ร่างกายอ่อนแอหรือ หรือคิดว่าศิษย์พี่เป็นคนกลัวตายกัน”

“ศิษย์พี่ ฆ่าฉีเซ่าเสวียน อย่างมากเราก็เลี้ยงท่านยามชราได้!”

“อำนาจบารมีของแดนศักดิ์สิทธิ์ท้องนภาเราไม่ใช่จะดูถูกกันได้ง่ายๆ สู้!”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความโกรธของหญิงสี่คนข้างหลังแล้ว หวังเสินซวีเหงื่อออกหน้าผาก

มีศิษย์น้องหญิงสี่คนสุมไฟอยู่ทุกวันเช่นนี้ ข้ายังต้องกังวลว่าจะอายุยืนอีกรึ!

เหตุใดพวกโอรสสวรรค์ดินแดนบูรพานี่ถึงชอบเข่นฆ่ากันนัก! มีชีวิตกันอย่างสงบสุขไม่ได้หรือ

และยังมีฆ่าฉีเซ่าเสวียน อย่างมากก็เลี้ยงดูข้าในยามชราอีก ข้าเพิ่งยี่สิบกว่าเอง!

ไม่มีแม้แต่คู่ครอง เลี้ยงดูยามชราน้องเจ้าสิ ทำร้ายพี่ชัดๆ!

ช่างเถอะ กลับไปต้องหาทางหนีออกไปแล้ว!

อืม เอาชาบำรุงไปหน่อยด้วย

เอาตัวรอดได้สักสองปีก็เอา

…….

ช่วงที่เกิดเรื่องราวมากมายข้างนอก พวกเสิ่นเทียนกลับยังคงเต็มอิ่มในการฝึกฝนและเสี่ยงอันตรายอย่างเรียบง่าย

ตอนนี้ ทุกคนเข้ามาในเก้าร้อยลี้ของสนามรบบรรพกาลแล้ว

ดินที่นี่เป็นสีแดงคล้ำ จะเจอวิญญาณมรณะพวกมารกระดูก มารโลหิตและมารร้ายเทียบเท่าระดับแก่นพลังทองตลอด

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสิ่นเทียนที่เสริมกำลังทัพมา วิญญาณมรณะพวกนี้มีกำลังต่อต้านเปราะบางมากจริงๆ

หลังจากได้ของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพาน ว่านโลหิตมังกรและผลใจกระบี่ชะล้างแล้ว กำลังรบของทุกคนรอบข้างเสิ่นเทียนก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก

แม้แต่เสิ่นเอ้าที่อ่อนแอที่สุด ตอนนี้พลังบำเพ็ญยังถึงจุดสูงสุดระดับสร้างฐาน อีกทั้งรากฐานยังหนาแน่นมาก

ถึงอย่างไรน้องสิบสามก็ให้ผลประโยชน์เขามากมาย!

และยังมีพวกซ่งฟู้กุ้ยและหลิวไท่อี่ ตอนนี้ศักยภาพค่อนข้างแข็งแกร่งเช่นกัน

พวกเขาสองสามคนร่วมมือกัน ไม่นานก็ปราบสังหารวิญญาณมรณะระดับแก่นพลังทองตัวหนึ่งได้

กำลังรบเช่นนี้หากไปอยู่ในแดนเทวาแดนผาสุกและแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ จะถือว่าเป็นผู้โดดเด่นกระทั่งโอรสสวรรค์ในระดับสร้างฐาน

เดินทางไปตลอด สังหารไปตลอดทาง

บางครั้งจะเจอวิญญาณมรณะระดับแก่นพลังทองหลายสิบตัวขึ้นไป ทางข่งเมิ่งกับเสิ่นเทียนจะเป็นคนลงมือ

ต้องบอกว่าหลังจากข่งเมิ่งได้รับต้นกำเนิดนกยูงนั้นเมื่อหมื่นปีก่อน แสงเทพห้าสีมีอานุภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้ในสนามรบ ระดับพลังของนางจะถูกจำกัดไว้ระดับสร้างฐาน ก่อนหน้านี้ก็ยังพอปราบมารโลหิตระดับดวงจิตดรุณได้

เมื่อเจอกับวิญญาณมรณะระดับแก่นพลังทองก็สบายๆ สาดแสงเทพห้าสีไปก็สังหารมันได้ตลอด

แต่เสิ่นเทียนเล่นได้มากกว่า เขาลองนำวิชาแสงเทพปัญจธาตุกับกายเทพกระบี่ฟ้าของตนมาผสานกัน

แต่ถลึงตามองวิญญาณมรณะพวกนั้นก็มีไอกระบี่แสงเทพธาตุทองยิงออกไปจู่โจม

ถลึงตามองอีกที ไอกระบี่ที่ยิงออกไปเป็นไอกระบี่สายฟ้าธาตุไฟ

ถึงอานุภาพสังหารตอนนี้จะยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก แต่เสิ่นเทียนก็คิดว่านี่เป็นทิศทางที่ไม่เลว

ภายภาคหน้าหากมีเวลามากพอ บางทีอาจจะสร้างทักษะกระบี่ ‘ถลึงตาสังหาร’ ขึ้นเองก็ได้

……

ระหว่างที่เต็มอิ่มกับการล่าสัตว์ประหลาดเพิ่มค่าประสบการณ์นั้น ทุกคนก็มาอยู่ระหว่างเทือกเขาแห่งหนึ่ง

เสิ่นเทียนมองศีรษะจ้าวเฮ่าแล้วมองศีรษะของข่งเมิ่ง มั่นใจไม่ผิดแน่

จะว่าไป ข่งเมิ่งก็สมกับเป็นผู้มีวงรัศมีสีม่วงทองจริงๆ

ในสนามรบแห่งนี้ บนศีรษะจ้าวเฮ่าปรากฏโชคลิขิตหนึ่ง จินอวี่ก็ปรากฏโชคลิขิตหนึ่ง แต่ข่งเมิ่งกลับปรากฏสองโชคลิขิต อีกทั้งยังทับกับของจ้าวเฮ่าและจินอวี่ มีสวรรค์ดูแลอยู่จริงๆ

“รู้สึกถึงโชคลิขิตนี่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว หากข้าเดาไม่ผิดก็น่าจะอยู่ในเทือกเขานี้!”

เสิ่นเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก กำกระบี่วารีครามไว้ในมือ “ทุกคนระวังหน่อย”

เมื่อได้ฟังคำเตือนจากเสิ่นเทียน ทุกคนก็ระวังขึ้นมาเช่นกัน

แต่จินอวี่กลับแบะปาก ‘จากหุบเขามารโลหิตมาที่นี่แค่ห้าร้อยลี้ เจ้ารู้สึกได้ว่าที่นี่มีโชคลิขิตหรือ มันไร้เหตุผลเกินไป นี่เจ้าจะหลอกเก่งเกินไปกระมัง! คิดว่าข้าโง่รึ’

แน่นอน จินอวี่พึมพำคำพูดพวกนี้ในใจ ไม่ได้พูดออกมา

ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังอยู่ข้างกายเสิ่นเทียน ต้องไว้หน้าเขาหน่อย

ทุกคนไปตามเทือกเขา ข้ามยอดเขาลูกหนึ่ง

ไม่นานก็ปรากฏหอคอยสีม่วงสูงพันจั้งตรงหน้าทุกคน หอคอยนี้เป็นสีม่วงทุกส่วน หลอมรวมกับความว่างเปล่ารางๆ และยังมีสายรุ้งเจ็ดสีวนเวียน

ที่น่าแปลกคือหอคอยยักษ์นี่จากยอดลงถึงฐานมีแต่ลวดลายแตกร้าว ออกเป็นสีแดงคล้ำเหมือนโลหิต ราวกับเป็นลวดลายมาร ทำให้คนใจสั่นไหว

มีเสียงเทพมารปะทะกันและเสียงอาวุธกระทบกันดังเบาๆ จากความว่างเปล่า กลิ่นอายเข่นฆ่าเข้มข้นแผ่ซ่านเข้ามา

ทันใดนั้นทุกคนเหมือนเห็นภาพลวงตาน่าสะพรึง

นั่นคือสนามรบกว้างใหญ่ยิ่ง บนฟ้ามีมังกรยักษ์นองเลือดตกลงมา มีเทพเจ้ามีปีกถูกฉีกร่าง มีพระพุทธองค์กายทองคำขนาดจั้งแปดร่างแหลกสลาย…

สีโลหิตเข้มข้นบดบังทั้งฟ้าดิน มวลอากาศพังทลายลงไม่หยุด ยิงประกายแสงดำมืดดั่งหมึกออกมา

ตึง!

ทันใดนั้นมีเสียงระฆังดังแว่วมา

ภาพมายาทั้งหมดสลายไป ทุกคนได้สติกลับมา

ข่งเมิ่งมองหอคอยยักษ์ด้วยแววตาหวาดกลัว “ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นหอคอยนี่”

เสิ่นเทียนเกาหัว “หอคอยนี้มีอะไรหรือ”

ฉินอวิ๋นตี๋สูดลมหายใจเข้าลึก “พันจั้ง สีม่วง มีลายแตกทุกส่วน มันคือหอคอยที่ตกมาจากโลกเซียนในตำนาน”

เมื่อเห็นพวกเสิ่นเอ้ากับซ่งฟู้กุ้ยเหมือนจะไม่เข้าใจแล้ว ฉินอวิ๋นตี๋จึงอธิบาย “เล่าลือว่าหอคอยนี่ตกมาจากท้องนภาช่วงท้ายของสงครามครั้งนั้นในยุคบรรพกาล ตอนที่หอคอยนี่ปรากฏ มันมีลายแตกทุกส่วนเหมือนจะถล่มลงทุกเมื่อ ไม่นึกเลยว่าหมื่นปีมาแล้วยังไม่ถล่มเลย”

เสิ่นเอ้าถาม “ไม่มีใครกล้าเอามันไปหรือ”

ฉินอวิ๋นตี๋ “ตอนแรกเซียนที่ลงมาจากโลกเซียนก็อยากจะเอามันไปเหมือนกัน ปรากฏว่าโดนมันดูดเข้าไปหลอมรวมสิ้นชีพไป ทำให้ห้าดินแดนตกใจกันใหญ่ นับจากนั้นมาก็ไม่มีใครคิดจะครองมันไปอีก

แต่ถึงจะเอาหอคอยนี่ไปไม่ได้ ทว่าหอคอยเทพสงครามนี่ก็ยังเป็นหนึ่งในโชคลิขิตที่ล้ำค่าที่สุดในสนามรบ!”

ดวงตาฉินอวิ๋นตี๋เต็มไปด้วยความเร่าร้อน “ศิษย์พี่สมกับเป็นบุตรแห่งโชคจริงๆ ไม่อยากเชื่อว่าจะหามันพบ! ดูท่าศิษย์พี่คงจะมีวาสนากับหอคอยนี่ บางที…ก็อาจจะลองเอามันไปได้!”

……………………..