เล่ม 1 ตอนที่ 187 คำสั่งให้ไล่ล่า!

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังจากนั้นไม่นาน ที่เมืองซูหนาน เดิมทีนั้นตระกูลลู่เป็นผู้ครอบครองดินแดนอันกว้างใหญ่นี้ กลับต้องถูกกลืนกินไปกับกองเพลิงในพริบตา 

 

 

เมื่อข่าวไปถึงเรือนของทหารองครักษ์ เฮ่อเหลียนเฟิงก็กระโดดลงจากเตียงสนมของเขาด้วยความตกใจ 

 

 

เขามาถึงพร้อมกับเหล่ากองกำลังทหาร พบเพียงทะเลเพลิงลุกโชนอยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย 

 

 

หลังจากเหตุการณ์นี้ ข่าวลือได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองซูหนาน 

 

 

บางคนพูดว่า คนของตระกูลลู่ทั้งหมดถูกเผาไหม้และจมกองเพลิง มีบางคนพูดอีกว่า ตระกูลลู่ทำผิดจึงต้องเผาเรือนแล้วหนีไป 

 

 

… 

 

 

เรื่องราวในเมืองซูหนาน ข่าวยังไม่ทันได้ส่งไปยังซั่งตู 

 

 

แต่ว่าเรื่องบนแท่นประหารที่อู่เหมินได้แพร่กระจายไปยังพระราชวังแล้ว 

 

 

มู่เจิ้งเฟิงยืนอยู่ข้างบัลลังก์มังกร กวาดล้มกระเบื้องเคลือบชั้นดีจนแตกละเอียด แต่ก็มิอาจบรรเทาความโกรธลงได้ 

 

 

 “ไร้ประโยชน์สิ้นดี! เจ้าพวกไร้ประโยชน์! เป็นคนภายใต้องค์ชายแท้ๆ ยังปล่อยให้คนปางตายแล้วหลอกได้อีก! ทำให้ข้าอับอายยิ่งนัก!” 

 

 

คนที่มู่เจิ้งเฟิงกำลังตำหนิ คือขุนนางที่ลานประหารนั่นเอง 

 

 

ในขณะนี้ เขาคุกเข่าอยู่ต่อหน้า และไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากกลัวจนตัวสั่น 

 

 

 “ฝ่าบาท เมื่อข้าไปถึงที่จวนของตระกูลลู่ ก็พบว่าข้างในไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว แม้กระทั่งทรัพย์สินในจวนก็หายไปด้วยอย่างไร้ร่องรอย” ณ ขณะนี้นายพลที่ถูกสั่งให้ไปยึดเรือน ก็คุกเข่าและรายงานอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ 

 

 

เรือนของตระกูลลู่ได้ขับไล่เหล่าคนรับใช้ของเขาออกไปอย่างลับๆ พวกเขารู้ แต่คาดไม่ถึงว่าจะจัดการขับไล่จนหมด เพราะไม่เหลือไว้ให้พวกเขาแม้สักคนเดียวเยี่ยงนี้ 

 

 

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ สีหน้าของมู่เจิ้งเฟิงก็มืดมนมากขึ้น “ไร้ประโยชน์!ไร้ประโยชน์สิ้นดี!” เขาที่เต็มด้วยความโกรธ จึงกวาดกองหนังสือพับบนโต๊ะลงกับพื้น 

 

 

คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง 

 

 

มู่เจิ้งเฟิงคงไม่คาดคิดมาก่อน ว่าคราวนี้เขาจะชนะอย่างสวยงาม และเมื่อมาถึงตอนท้าย กลับถูกโต้ตอบกลับอีกครั้ง       

 

 

รู้สึกไม่สาแก่ใจ เขาหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วบัญชาว่า “ตามโองการของข้า ให้แขวนศพของลู่ซิ่งเฉาและภรรยาของเขาที่อู่เหมิน ให้ตากแดดเป็นเวลาสามวัน ส่วนศพของข้ารับใช้ที่ดื้อรั้นของเขา ก็ให้เป็นอาหารของพวกหมาป่าซะ” 

 

 

ขุนนางที่ลานประหารและนายพลที่รื้อค้นบ้าน ต่างมองไปที่ฮ่องเต้ของพวกเขาด้วยความตกใจ 

 

 

กล่าวกันว่าคนตายก็เหมือนไฟตะเกียงที่ดับ ขณะที่ยังมีชีวิตไม่ว่าจะมีความไม่พอใจหรือความคับแค้นใจอะไรก็ตาม เมื่อคนตายไปแล้ว ก็ควรปล่อยวาง แต่ไม่คาดคิดว่า ฮ่องเต้ของพวกเขาจะรับสั่งทำเช่นนี้ได้จริง 

 

 

“องค์ชายอยู่ที่ใด” มู่เจิ้งเฟิงไม่สนใจในสิ่งที่พวกเขาคิด และตะโกนถามขันทีที่อยู่นอกประตู 

 

 

ไม่นานนัก ก็มีคนไปตามองค์ชายแห่งราชวงศ์โฮ่วจิ้นเข้ามา 

 

 

โดยไม่ให้มู่เจิ้งเฟิงต้องรอนาน องค์ชายที่ถูกเรียกตัว ก็มาถึงด้านนอกวังแล้ว 

 

 

พระโอรสในราชวงศ์โฮ่วจิ้นนี้ มีอยู่สองพระองค์ 

 

 

หนึ่งคือองค์ชายรัชทายาทองค์ปัจจุบัน มู่สิงโจว อายุยี่สิบห้า เป็นหลิงเจี้ยงระดับหก อยู่ในอันดับที่สามในสิบผู้องอาจแห่งเมืองหลวง เกิดจากฮองเฮาแห่งราชวงศ์องค์ปัจจุบัน 

 

 

ยังมีอีกองค์หนึ่ง ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นหย่งหวัง พระราชโอรสในพระสนมหานเฟยผู้ล่วงลับ  

 

 

มีนามว่ามู่สิงฉือ เมื่อครั้งอายุสิบห้า เขาออกจากราชวงศ์โฮ่วจิ้นและฝึกฝนตนที่ภายนอกเป็นเวลาหกปี โดยไม่ค่อยจะกลับมาที่วัง หัวใจของพระองค์ไม่ได้ฝักใฝ่ในบัลลังก์ใดๆ และองค์ชายก็ดำรงอยู่ในราชวงศ์โฮ่วจิ้นอย่างไร้ตัวตน 

 

 

           มู่สิงโจวมีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าสัดส่วนได้รูป เป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม สง่างามสมกับเป็นองค์ชาย 

 

 

เมื่อเข้ามาในท้องพระโรง เขามองไปยังเหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่ แล้วทักทายเสด็จพ่อของตน “เสด็จพ่อ ลูกอยู่ที่นี่แล้วขอรับ” 

 

 

 “โจวเอ๋อร์ มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากให้เจ้าไปทำ” มู่เจิ้งเฟิงจ้องมองโอรสของตนด้วยแววตาเย็นชา 

 

 

มู่สิงโจวเงยหน้าขึ้น แต่ก็ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วพร้อมตอบกลับว่า “ลูกพร้อมสนองคำสั่งของเสด็จขอรับ” 

 

 

“ข้าต้องการให้เจ้านำทหารองครักษ์ของซั่งตู ไปค้นหาให้ทั่วเมืองเพื่อหาคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลลู่ และ หลังจากที่จับคนของตระกูลลู่ได้ ไม่ต้องมารายงานแก่ข้า เจ้าจัดการฆ่ามันได้ทันที เจ้าทำได้หรือไม่” สายตาของมู่เจิ้งเฟิงดูน่ากลัวเล็กน้อย 

 

 

มู่ซิงโจวพยักหน้ารับคำสั่งโดยไม่ลังเล “ลูกจะไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวังขอรับ” 

 

 

“ดีมาก! จำไว้ว่า ฆ่ามันและอย่าปล่อยให้รอดไปได้!” มู่เจิ้งเฟิงกัดฟันและพูดเน้นย้ำ 

 

 

จากคำสั่งนี้เพียงอย่างเดียว เห็นได้ว่าความอดทนของพระองค์ ที่มีต่อตระกูลลู่ได้หมดสิ้นลงแล้ว เขาไม่ต้องการให้มีตระกูลลู่อยู่ในราชวงศ์โฮ่วจิ้นอีกต่อไป 

 

 

… 

 

 

จากสถาบันไป๋หยวนไปยังอู่เหมิน มีระยะทางที่ยาวไกล 

 

 

ท่ามกลางฝนตกหนัก ลู่เสวียนไม่รู้ว่าเขาล้มลงกี่ครั้ง แต่แล้วก็ลุกขึ้นวิ่งต่อไป เมื่อฝนหยุดตก ตัวเขาก็เต็มไปด้วยโคลน 

 

 

เจียงหลีไล่ตามเขาไปตลอด ไม่ได้หยุดสิ่งที่เขาทำ นางเองก็อยู่ในอาการตื่นตระหนกเช่นกัน 

 

 

 หากเป็นข้า กลัวว่าข้าจะหุนหันพลันแล่นยิ่งกว่าเขาเสียอีก เมื่อมองไปแผ่นหลังของชายหนุ่มที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ข้างหน้า เจียงหลีถอนหายใจในใจ 

 

 

ลู่อ๋องและพระชายาลู่ตายแล้วอย่างนั้นหรือ 

 

 

จนถึงตอนนี้ นางแทบไม่กล้าเชื่อเรื่องนี้ 

 

 

นางรู้ว่ามันเป็นศึกแห่งอำนาจและการสมรู้ร่วมคิด แต่อย่างไรก็ตาม นางเชื่อมั่นในลู่เจี้ยว่าจะไม่ปล่อยให้ญาติของตนต้องประสบเหตุเช่นนี้แน่ แต่ผลลัพธ์ของปัจจุบันนี้จะอธิบายอย่างไรดีเล่า 

 

 

ลู่เจี้ย…ลู่เจี้ย ข้ายังคงมองเจ้าไม่ออกเช่นเคย เจียงหลีถอนหายใจอยู่ภายในใจ 

 

 

หลังจากเข้ามาในเมือง เจียงหลีไม่ปล่อยให้ลู่เสวียนวิ่งด้วยความโกลาหลอีกต่อไป 

 

 

เรือนของลู่หวังประสบกับหายนะ เขาที่เป็นบุตรชายก็จะไม่ถูกปล่อยให้อยู่รอดอย่างแน่นอน 

 

 

นางได้ดึงเขาให้ปลอมตัวและอยู่แบบสุ่มมอง ทั้งสองจึงเดิมอ้อมไปที่หน้าอู่เหมิน 

 

 

แน่นอน เมื่อพวกเขามาถึงอู่เหมินสิ่งที่พวกเขาเห็นคือฉากที่น่าสะพรึงกลัวและทำให้ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพราะร่างของลู่ซิ่งเฉาและพระชายาถูกแขวนแยกกันอยู่เหนืออู่เหมิน 

 

 

พวกเขาเปียกโชกไปด้วยฝนที่ตกหนัก ร่างกายเต็มไปด้วยโคลน และถูกแขวนไว้หน้าอู่ 

 

 

เหมินในสภาพเช่นนี้ 

 

 

บนลานประหาร หมาป่าเจ็ดแปดตัวกำลังแทะซากศพที่ไม่สามารถแยกออกได้ว่าใครเป็นใคร เลือดนั้นได้ไหลออกและกลิ่นคาวเลือดที่ฉุนจนชวนให้น่าสะพรึงกลัวยิ่ง 

 

 

 “ท่านพ่อ … ฮือ …” 

 

 

ขณะที่ลู่เสวียนตะโกนออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ เจียงหลีก็ปิดปากของเขาได้ทันเวลา และลากเขากลับไปในที่มืด 

 

 

ลู่เสวียนพยายามขัดขืนอย่างสุดชีวิต แต่ถูกเจียงหลีควบคุมเอาไว้อย่างแน่นหนา นางรู้สึกถึงการสั่นสะท้านจากร่างกายของลู่เสวียน เช่นเดียวกับที่รู้สึกถึงพลังความแข็งแรงของร่างกายเขา 

 

 

ความเสียใจและความโกรธแค้น ทำให้เส้นเลือดและเส้นเอ็นที่ลำคอปูดโปน รวมถึงใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงอย่างน่ากลัว 

 

 

น้ำตาของเขา หยดลงบนมือของเจียงหลี ทำให้นางรู้สึกถึงพลังความเกลียดชังและความเจ็บปวดอย่างรุนแรงของชายหนุ่มผู้นี้ 

 

 

ทำไม ทำไม 

 

 

เจียงหลีคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ของลู่เจี้ย เขาต้องมีวิธีที่รัดกุมมาก ในการปกป้องไม่ให้พ่อแม่ของเขาต้องตาย แต่ไฉนเหตุการณ์ถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ 

 

 

หรือว่า เพียงเพื่อจะให้การนำทัพออกรบของตระกูลลู่สมเหตุสมผลมากขึ้น อยากให้เสียงเพรียกหาความยุติธรรมนั้นดังกระหึ่ม จึงต้องเสียสละชีวิตของพ่อแม่ตัวเองเชียวหรือ เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ ในดวงตาของเจียงหลี สัมผัสแห่งความกลัวก็ปรากฏขึ้น ถ้าลู่เจี้ยเป็นแบบนั้นจริงคงจะน่ากลัวยิ่งนัก 

 

 

ไม่! เขาไม่มีทางเป็นคนแบบนั้นแน่นอน! เจียงหลีรีบปฏิเสธการคาดเดานี้อย่างรวดเร็ว 

 

 

นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องทั้งหมดนี้ต้องไปหาลู่เจี้ยก่อน จึงจะถามให้ชัดเจนได้ 

 

 

เจียงหลีที่อยู่ในอารมณ์ที่สับสนวุ่นวาย เงยหน้าขึ้นมองร่างของพระชายาลู่ที่ถูกแขวนอยู่กลางอากาศเยี่ยงนั้น และความโกรธยังคงลุกโชนอยู่ภายในใจ ภาพเมื่อนางครั้นที่นางได้พบและพูดคุยกับพระชายาลู่ปรากฏต่อหน้านาง ทำให้นางไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงที่ใจดีเช่นนาง ต้องถึงแก่ชะตากรรมเช่นนี้ 

 

 

“ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านพ่อท่านแม่ของข้าถูกหยามเกียรติเช่นนี้แน่!” ลู่เสวียนหลุดพ้นจากการควบคุมของเจียงหลี และรีบพุ่งตัวออกจากมุมมืด 

 

 

“เจ้ากลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้!” เจียงหลีตกใจ คว้าเสื้อของเขาและดึงเขากลับมา “ดูก็รู้แล้วว่าเป็นกับดัก เจ้ายังจะเข้าไปอย่างโง่ๆ อีกรึ” 

 

 

 “แม้นว่ามันจะเป็นกับดัก แต่ข้าก็ต้องเอากระดูกของท่านพ่อท่านแม่กลับคืนมา!” ลู่เสวียนกัดฟันพูดด้วยความเศร้าโศกและโกรธแค้น  

 

 

เพี้ยะ! 

 

 

“เจ้าควรใจเย็นและอยู่ในความสงบ!” 

 

 

เสียงฝ่ามือที่ตบลงไปบนแก้มของลู่เสวียนทำให้เขาสงบลง 

 

 

แต่ก่อนที่เจียงหลีกำลังจะตำหนิเขานั้น ภายนอกบนถนนก็มีเสียงล้อรถบดขยี้พื้นดังขึ้น…