ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 160 กายเต๋าฟ้าประทาน

จอมศาสตราพลิกดารา

นี่เป็นหนึ่งใน ‘กลอนชิงผิงเตี้ยว[1]’ ทั้งสามที่เซียนกวีหลี่ไป๋ในยุคราชวงศ์ถังประพันธ์เอาไว้ ว่ากันว่าในงานเลี้ยงของพระเจ้าถังเสวียนจงและหยางกุ้ยเฟย หลี่ไป๋แต่งกลอนด้วยความเมามาย กำเริบไร้ความเกรงกลัว สั่งให้กุ้ยเฟยฝนหมึกให้ กลอนทั้งสามบทที่แต่งเสร็จในคราเดียวเล่าลือไปพันๆ ปี บทนี้ก็คือหนึ่งในทั้งสามบท โดยเฉพาะ ‘เห็นเมฆดั่งเห็นอาภรณ์เจ้าสวมใส่ เห็นโบตั๋นหวนคิดถึงความงามโฉมสะคราญ’ ยิ่งเหมาะเจาะกับตอนนี้เป็นอย่างมาก ทั้งยังเหมือนกับชื่อของแม่นางฮวา[2]อีกด้วย

 

เมื่อแต่งกลอนเช่นนี้ ฮวาเสี่ยงหรงตาเป็นประกายทันที ยามมองหลี่มู่อีกครั้งในดวงตามีความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูกเพิ่มขึ้นมา

 

ซินเอ๋อร์และนักดนตรีสาวคนอื่นๆ ก็อึ้งตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

 

ดวงตางามแต่ละคู่มองมายังหลี่มู่ ราวกับจะมองเขาให้ทะลุหน้าทะลุหลัง

 

หรือจะเป็นอัจฉริยะนักกวีจริงๆ?

 

ต่อให้เป็นคุณชายเหวินจงปินที่ได้ชื่อว่า ‘พลังกวีเลื่องลือแปดหมื่นลี้ เมื่อเมามายเริ่มวาดรูปทิวทัศน์’ และเป็นคนมีความสามารถมากในจักรวรรดิฉินตะวันตกที่ทุกคนยอมรับ แต่ก็ไม่เหมือนกับเด็กหนุ่มเบื้องหน้านี้กระมัง?

 

แค่อ้าปากก็ท่องออกมาได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นบทกวีที่มากพอจะเล่าลือไปเป็นร้อยปี

 

บนโลกมีคนที่มีความสามารถเช่นนี้จริงๆ หรือ?

 

ถึงแม้ซินเอ๋อร์ไม่ค่อยพอใจหลี่มู่ แต่ตอนนี้ก็มองเขาสูงขึ้นอย่างอดไม่ได้

 

ส่วนฮวาเสี่ยงหรงที่เป็นคนต้นเรื่องกลับจับจ้องหลี่มู่ด้วยสายตาวาววับ ดวงตาแทบจะทอแสงออกมาได้ นางไม่ปกปิดท่าทีที่เหมือนวิญญาณถูกกลอนบทนี้จู่โจมเลยสักนิด ในฐานะคนที่ชอบบทกลอน เมื่อได้ยินหลี่มู่ท่องกลอนบทนี้ นางพบว่า…แย่แล้ว ตนเองเหมือนว่า…ใกล้จะ…ทนไม่ไหว…จะจมดิ่งลงไปแล้ว

 

พลานุภาพของกวียิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เอง

 

อันที่จริง เมื่อครู่นางก็แค่เอ่ยปากล้อเล่นไปตามอารมณ์ ถือว่าเป็นการแก้แค้นที่หลี่มู่เหม่อลอยเมื่อนางร่ายรำเล็กๆ น้อยๆ ช่วยไม่ได้ ใจแค้นของผู้หญิงก็รุนแรงแบบนี้

 

และในความเป็นจริง ตัวนางก็ไม่ได้หวังอะไรมากมาย เพราะยิ่งอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้ถึงความล้ำค่าของกลอนอมตะ ผู้ที่ศึกษาร่ำเรียนหลายคนชั่วชีวิตแต่งบทกลอนอมตะได้บทหนึ่งก็มากพอให้ภาคภูมิใจได้แล้ว ดังนั้นต่อให้เมื่อครู่หลี่มู่แต่งบทที่สองไม่ได้ นางก็จะยังรับปากร่ายรำอีกเพลงหนึ่ง

 

ทว่า เขากลับแต่งออกมาได้

 

เห็นเมฆดั่งเห็นอาภรณ์เจ้าสวมใส่ เห็นโบตั๋นหวนคิดถึงความงามโฉมสะคราณ สายลมสารทฤดูพัดผ่าน แสงจันทร์เด่นขับเน้น งามล้ำถึงเพียงนี้ หากมิได้พบที่หอสดับเซียน คงได้พบ ณ ตำหนักเหยาไถใต้แสงจันทร์?

 

เข้ากับบรรยากาศ เวลา และบุคคล!

 

อีกทั้งสิ่งที่ยิ่งทำให้คนต้องชมเปาะคือ เขาผสานชื่อของนางเข้าไปในนั้นด้วย

 

นี่เป็นบทประพันธ์ที่วิเศษสุดชัดๆ

 

สุดอนาถไร้อำนาจวาสนาบรรดาศักดิ์ แต่พร้อมพรักด้วยวรรณศิลป์ชวนใฝ่หา

 

“คุณชายรอสักครู่” ฮวาเสี่ยงหรงหน้าแดงเล็กน้อย ลุกขึ้นคารวะไปเปลี่ยนชุด

 

นักดนตรีที่อยู่ข้างๆ ยังกำลังหารือกันว่ากลอนบทนี้จะใช้ดนตรีอะไร บรรเลงออกมาอย่างไร ได้เข้าร่วมการขับร้องบรรเลงบทกวีอมตะเช่นนี้ด้วยตัวเอง สำหรับพวกนางแล้ว มิใช่เกียรติอย่างหนึ่งหรืออย่างไร? นี่ทำให้พวกนางตื่นเต้น ลิงโลดนัก

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฮวาเสี่ยงหรงก็เปลี่ยนเป็นชุดชาววังสีขาวโปร่งบางงดงาม

 

เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ ใบหน้านางไม่ได้ไร้เครื่องสำอางเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ตั้งใจแต่งหน้าเขียนคิ้ว รูปโฉมยิ่งพริ้มเพรากว่าเดิม

 

สตรีตั้งใจแต่งหน้าเพื่อคนที่ตนรัก

 

ซินเอ๋อร์เห็นภาพนี้ ท่าทางก็ดูตื่นตะลึง

 

มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ ชุดกระโปรงขาวผ้าโปร่งบางตัวนี้เป็นชุดที่ฮูหยินผู้เฒ่าตัดเย็บด้วยตนเองก่อนตระกูลซ่างกวนจะได้รับโทษริบทรัพย์สามสี่วัน นับแต่มาถึงสถานที่คาวโลกีย์เช่นนี้ คุณหนูไม่เคยใส่เลยสักครั้ง

 

ความคิดของคุณหนู นางรู้ดี

 

ชุดกระโปรงขาวโปร่งบางตัวนี้ คุณหนูมองว่าเป็นของที่ระลึกเพียงอย่างเดียว ขอแค่รักษาเอาไว้ หากโชคดีได้พบกับชายในฝัน เมื่อออกเรือนจะสวมใส่ยามเข้าหอ ทว่าตอนนี้คุณหนูกลับสวมมันแล้ว คงไม่ใช่ว่า…

 

คุณหนูนะคุณหนู ท่านอย่าได้เลอะเลือนเชียว

 

ซินเอ๋อร์แอบเป็นกังวล

 

และตอนนี้เอง ฮวาเสี่ยงหรงยืนยิ้มหวานอยู่ใต้แสงจันทร์ข้างหน้าต่าง ข้างหลังมีแสงจันทร์สาดเข้ามา ขับเน้นเป็นวงแสง ทั่วทั้งร่างราวกับผสานเป็นหนึ่งเดียวกับแสงนวล สวยบริสุทธิ์จนเกินเหตุอยู่บ้าง ศักดิ์สิทธิ์ราวเทพธิดาจากวังสวรรค์ก็ไม่ปาน

 

หลี่มู่อ้าปากค้าง ไม่ได้พูดอะไร

 

เขามีความรู้สึกแปลกๆ บางอย่าง ฮวาเสี่ยงหรงเข้ากันได้ดีกับแสงจันทร์มาก ราวกับเป็นร่างจำแลงจากแสงจันทร์

 

สาวงามเช่นนี้กลับอยู่ในหอนางโลม หรือว่าสาวงามชะตาอาภัพ ชะตาชีวิตลำบากจริงๆ?

 

ยามที่หลี่มู่ทอดถอนใจ เสียงดนตรีก็บรรเลงขึ้นมา ฮวาเสี่ยงหรงร่ายระบำอีกครั้ง

 

ท่วงท่างดงาม ประหนึ่งเซียนฉางเอ๋อร์แห่งวังจันทราลงมายังโลกมนุษย์

 

ริมฝีปากแดงของนางขยับ เสียงนุ่มลอยอ้อยอิ่ง ขับร้องว่า “เห็นเมฆดั่งเห็นอาภรณ์เจ้าสวมใส่ เห็นโบตั๋นหวนคิดถึงความงามโฉมสะคราญ สายลมสารทฤดู….” แน่นอนว่านางร้องกลอนบทใหม่นั้น

 

หลี่มู่รวบรวมสมาธิมอง

 

ไม่นานนัก เรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็น การคาดเดาของเขาก่อนหน้านี้ไม่ผิดจริงๆ เมื่อฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำอยู่ใต้แสงจันทร์ราวกับภูตพราย ภาพอันศักดิ์สิทธิ์เหมือนธรรมชาติและเต๋าผสานเป็นหนึ่ง แผ่กระจายท่วงทำนองแห่งเต๋าที่ยากจะบรรยายออกมา

 

ก่อนหน้านี้ที่พลังจิตวิญญาณของหลี่มู่โหมบ่า ในกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็เพราะท่วงทำนองแห่งเต๋าชนิดนี้เหนี่ยวนำการสอดประสานจาก ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ของเขา

 

‘ท่าทางการคาดเดาก่อนหน้านี้จะไม่ผิดจริงๆ ฮวาเสี่ยงหรงคนนี้คือกายเต๋าฟ้าประทานล้ำค่าหายากตามที่ซินแสเฒ่าเคยบอก แต่เป็นกายเต๋าแบบไหนยืนยันไม่ได้ ดูแล้วน่าจะเกี่ยวกับแสงจันทร์’

 

หลี่มู่ยืนยันได้แล้ว

 

เขาโคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ และได้สัมผัสอะไรใหม่ตามคาด

 

ภายใต้ท่วงทำนองที่แผ่ระลอกออกมาจากร่างของฮวาเสี่ยหรง ผลการฝึกฝนวิชาก่อนกำเนิดยิ่งดีขึ้น แสงจันทร์ที่คนอื่นมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นแปรเปลี่ยนเป็นทำนองศักดิ์สิทธิ์ระยิบระยับ ก่อนจะผสานเข้าไปในร่างของหลี่มู่ กระทั่งว่าผลของการฝึกดีกว่าใน ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ที่วางเอาไว้ในที่ว่าการเสียอีก

 

‘ตามคำพูดของซินแสเฒ่า หากสามารถฝึกฝนคู่กับกายเต๋าฟ้าประทาน พลังฝึกจะยิ่งเพิ่มเร็วขึ้น บรรลุทางสายหลักแห่งฟ้าดินรวดเร็วยิ่งขึ้น’

 

ในใจของหลี่มู่มีความคิดที่กำแหงนัก

 

แต่ว่ามันจะกำแหงเกินไปหน่อย

 

เขายังคงชั่งใจพิจารณา

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฮวาเสี่ยงหรงก็ร่ายรำจบเพลง

 

หลี่มู่เก็บพลังปราณ รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

ในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ผลการฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ เทียบกับการฝึกฝนหลายสิบวันตามปกติแล้วนับว่าอัศจรรย์นัก

 

“คุณชาย ข้าร้องจบแล้ว ร่ายรำจบแล้วเช่นกัน พอเข้าตาคุณชายหรือไม่” ฮวาเสี่ยงหรงหอบเล็กน้อย

 

ร่ายรำติดกันสองเพลง ถือเป็นแบบทดสอบอย่างหนึ่งสำหรับร่างกายนาง ก่อนหน้านี้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้น้อยมาก หน้าผากขาวเนียนและไรผมมีเหงื่อซึม ผมหลุดรุ่ยเล็กน้อย ยิ่งเพิ่มกลิ่นอายของเสน่ห์ที่ชวนให้คนใจหวั่นไหว

 

หลี่มู่กระทั่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายหอมหวานยามนางพูดออกมา

 

ลมหายใจราวกลิ่นดอกกล้วยไม้

 

“เสียงร้องและระบำของแม่นางฮวาไร้ใครเทียม ทำให้ข้าเมามายราวอยู่ในแดนเซียน” หลี่มู่เอ่ยจากใจจริง

 

ใบหน้าของฮวาเสี่ยงหรงเผยยิ้ม ดั่งแสงสวรรค์สาดส่อง งดงามเปล่งประกาย

 

ซินเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ เห็นบรรยากาศเหมือนจะพัฒนาไปในทางที่ไม่ค่อยดี จึงรีบกระแอมขึ้นเบาๆ “คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ วันนี้หมดเวลาพบแขกแล้ว”

 

หลี่มู่อึ้งไปนิด ก่อนจะเข้าใจในทันที

 

นี่คือสัญญาณเตือนไล่แขกสินะ

 

แม่เด็กนี่ก่อนหน้านี้ในโถงใหญ่ยังพูดช่วยตนเองอยู่เลย ทำไมตอนนี้จู่ๆ จึงพูดจาไม่ต้อนรับตนแบบนี้เล่า

 

ใบหน้าของฮวาเสี่ยงหรงก็ปรากฏแววประหลาดใจเช่นกัน

 

ที่นี่ไม่มีเวลาพบแขกอะไรพวกนี้

 

หลี่มู่ลุกยืนขึ้น ในใจยังขบคิดว่าจะเอ่ยปากออกไปอย่างไร เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางฮวาเคยคิดว่าวันหนึ่งจะไปจากหอสดับเซียน ไปจากหน่วยเลี้ยงรับรองหรือไม่?”

 

เมื่อกล่าวเช่นนี้ หญิงสาวทั้งหมดในห้องเข้าใจผิดทันที

 

พวกนางคิดว่าหลี่มู่ชื่นชมฮวาเสี่ยงหรง หมายจะไถ่ตัวนาง

 

ดวงตาคู่งามของฮวาเสี่ยงหรงฉายแววยินดี สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ยังสนใจตนใช่หรือไม่? แต่ไม่นานก็นึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าจึงหม่นหมอง ไม่เห็นร่องรอยความดีใจ นางก้มหน้าต่ำ ไร้คำพูดไปขณะหนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยเสียงเบา “ความหวังดีของคุณชายข้ารับเอาไว้แล้ว เพียงแต่…ตอนนี้ข้ายังไปจากหอสดับเซียนไม่ได้”

 

อ้อ นี่ถือว่าเป็นการปฏิเสธแล้วใช่ไหม?

 

ถึงอย่างไรหลี่มู่ก็เป็นหนุ่มบริสุทธิ์ ศักดิ์ศรีที่ควรจะมีก็มีมาตั้งนานแล้ว โดยเฉพาะต่อหน้าหญิงที่สวยแบบนี้ เมื่อได้ยินดังนั้นในใจย่อมค่อนข้างผิดหวัง ขโมยผลงานของเซียนกวีหลี่ไป๋มาติดๆ กัน แต่ก็ยังทำให้ใจของหญิงคนนี้หวั่นไหวไม่ได้อย่างนั้นหรือ?

 

หรือเป็นเพราะว่าตนเองอัปลักษณ์เกินไป?

 

ในใจของเขาพะว้าพะวง

 

แต่คิดในอีกมุมหนึ่ง นี่เป็นแค่การพบกันครั้งแรกของพวกเขา หากคิดพาตัวออกไปเลยก็ค่อนข้างจะใจร้อนไปสักนิดจริงๆ อีกทั้งฮวาเสี่ยงหรงบอกว่าตอนนี้นางไปไม่ได้ อืม วันหน้าก็คงมีการเปลี่ยนแปลงกระมัง?

 

ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวของเขา ใบหน้าฝืนยิ้ม กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” ถึงแม้กายเต๋าฟ้าประทานจะอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง แต่เขาบังคับนางไม่ได้ หากอีกฝ่ายเกิดรังเกียจขึ้นมา เช่นนั้นผลภายหลังกลับจะยิ่งย่ำแย่ ส่งผลให้ท่วงทำนองแห่งเต๋าต่อต้านเขา จะเปลืองเวลาฝึกมากกว่าครึ่ง

 

พูดจบ หลี่มู่ก็หันหลังเดินออกไป

 

ฮวาเสี่ยงหรงรู้สึกว่าในใจเหมือนมีอะไรบางอย่างถูกดูดตามการหมุนตัวจากไปของเด็กหนุ่ม จู่ๆ ก็ทรมานยิ่งนัก

 

นางเดินขึ้นไปข้างหน้า อยากจะยื่นมือออกไปรั้งเอาไว้ ซินเอ๋อร์ที่อยู่ข้างรีบดึงนางทันที

 

ในใจของนางพลันกระจ่างขึ้นมาบ้าง จึงกัดฟันถาม “คุณชาย ท่าน…จะมาอีกหรือไม่?”

 

หลี่มู่หันกลับมามองนางอย่างตกใจ ถึงแม้เขาเป็นชายบริสุทธิ์ไม่เคยมีประสบการณ์ แต่ถึงตอนนี้ต่อให้เป็นคนโง่ก็เข้าใจ ความหมายของคำถามนี้เท่ากับคำเชื้อเชิญ

 

ยังมีหวัง

 

หลี่มู่หัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “แน่นอน หากแม่นางไม่ขัดข้อง”

 

ในใจฮวาเสี่ยงหรงเกิดความยินดีขึ้นทันใด นางก้มหน้า กล่าวเสียงงึมงำราวกับยุง “ข้าจะรอคุณชายทุกเวลา…” พูดจนถึงสุดท้ายกลับหน้าแดง นี่เท่ากับสารภาพความในใจแล้ว

 

ซินเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ มองแล้วได้แต่ส่ายหน้าติดกัน

 

คุณหนูผู้โง่งมของนาง เพียงแค่ไม่นานก็เกิดหวั่นไหวขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว

 

หลี่มู่ยิ้มก่อนจะหมุนตัวจากไป

 

ได้ยินเสียงฝีเท้าของหลี่มู่ค่อยๆ ลงบันไดเดินจากไปไกล รอยแดงซ่านบนใบหน้าฮวาเสี่ยงหรงก็ค่อยๆ จางหาย ในดวงตายังมีความหวานฉ่ำหลงเหลืออยู่บ้าง นางเองก็คิดไม่ถึง บางทีการชอบพอใครสักคนก็ง่ายเพียงแค่นี้ แค่ได้พบหน้าครั้งเดียวเท่านั้น

 

……………………………………………………

 

 

 

[1] ชิงผิงเตี้ยว แต่งขึ้นในสมัยถังโดยหลี่ไป๋ มีทั้งสิ้นสามบท เนื้อความเขียนบรรยายความงามของหยางกุ้ยเฟยกับดอกโบตั๋น ความรักของพระเจ้าถังเสวียนจงที่มีต่อหยางกุ้ยเฟย และผนวกเอาทั้งสองบทเข้าด้วยกัน

 

[2] ชื่อของฮวาเสี่ยงหรงมีความหมายคือ เห็นดอกไม้แล้วคิดถึงความงาม ‘เห็นโบตั๋นหวนคิดถึงความงามโฉมสะคราญ’ ตรงกับภาษาจีนว่าฮวาเสี่ยงหรงพอดี