ตอนที่ 141 ชะตาสวรรค์ลิขิต

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 141 ชะตาสวรรค์ลิขิต

ความเข้าใจเรื่องการทำสงครามซูม่อย่อมมิลึกซึ้งเท่าไป๋ยู่เหลียน ท้ายที่สุดแล้วไป๋ยู่เหลียนก็คือทหารกรำศึกที่เกษียณจากกองทัพฝ่ายตะวันออก แต่ซูม่อกลับมิมีประสบการณ์นี้

ซูม่ออ่านตำราการทำสงครามฉบับพิเศษนี้ด้วยสีหน้ามิเข้าใจ เขามิเข้าใจเลย เพียงแต่รู้สึกได้ว่ามันยอดเยี่ยมมาก ดังนั้นเขาจึงได้เอ่ยถามว่า “กล่าวได้ว่า สิ่งนี้ที่เขาเขียนขึ้นมาแตกต่างจากการฝึกฝนของกองทัพในปัจจุบันนี้หรือ”

ไป๋ยู่เหลียนจึงได้รินสุราหนึ่งจอกแล้วดื่มจนหมด ก่อนจะกล่าวว่า “มันแตกต่าง เป็นสองแนวคิดที่แตกต่างไปอย่างมาก อธิบายให้เจ้าฟังเยี่ยงนี้แล้วกัน การฝึกฝนกองทหารม้าของเรา ขั้นพื้นฐานที่สุดคือการขี่ม้า หลังจากนั้นจึงเป็นการเรียงแถว รูปแบบประสานการรบและอื่น ๆ แต่ที่เขาเขียนนั้นกลับมีแค่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของแต่ละบุคคล ทั้งยังมีสิ่งจำเป็นสำหรับการทำสงครามในแต่ละสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน การฝึกกองทหารม้ามีจำนวนคนและม้านับพัน เขาเริ่มจากหนึ่งคน หลังจากนั้นเป็นห้าคน และมากที่สุดก็คือการประสานเข้าด้วยกันสิบคน แต่การประสานกันนี้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ เมื่อร่วมเข้าด้วยกันก็คือรูปแบบการรบพื้นฐานที่ยึดคนสิบคนไว้เป็นหนึ่ง และเหมาะกับทุกสภาพแวดล้อม”

ซูม่อเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว จึงได้เอ่ยถาม “แต่เขามิมีม้า ราชสำนักควบคุมม้าศึกอย่างเข้มงวด”

“ดังนั้นวิธีการนี้ของเขาจึงหลีกเลี่ยงม้า และหลีกเลี่ยงที่จะใช้คนมากมาย เหมาะสมกับการสืบสวนและโจมตีเร็วโดยเฉพาะ แน่นอนว่าการตัดศีรษะที่เขาพูดเอาไว้นั้น… ข้ารู้สึกว่ามันค่อนข้างยาก ท้ายที่สุดแล้วการให้กองกำลังเล็กไปบุกค่ายทหารหลักของศัตรูก็ยังไม่สอดคล้องต่อความเป็นจริง”

ภายในคู่มือนั้นมีอีกหลายสิ่งที่ซูม่อไม่เข้าใจ หลังจากที่ได้ถาม แม้แต่ไป๋ยู่เหลียนเองก็สับสนขึ้นเรื่อย ๆ เพียงได้บอกว่ารอให้ถึงวันพรุ่งนี้ แล้วมาดูว่าเขานั้นจะอธิบายเยี่ยงไร

……

…..

เช้าวันรุ่งขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนยังคงออกกำลังกายที่ลานบ้าน

อาการบาดเจ็บที่สะบักไหล่หายเร็วกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ คิดว่าคงเป็นผลจากการฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยาง

จากที่ซูม่อกล่าวไว้คัมภีร์พระสูตรเก้าหยางของสำนักเต๋าคือเทคนิคการวางรากฐานที่มั่นคง ห่างไกลจากป่ากระบี่ ภูเขาดาบที่ใช้จิตใจเย็นชา แต่ต้องชนะด้วยความอ่อนโยนและความยาวนาน หากเจ้าอดรนฝึกฝนต่อไป แม้ว่าจะมิสามารถหายใจได้แล้ว แต่อย่างน้อยก็มีผลในการยืดอายุขัย

ในช่วงหลายวันนี้ก็ได้เสริมด้วยเทคนิคการฝังเข็มของซูโหรว ช่วงไหล่หลงเหลือเพียงความเจ็บปวดอีกเล็กน้อย กระดูกที่หักจากหมัดของพี่สี่ในยามใกล้ตายก็คาดว่าน่าจะหายดีแล้ว

หลังจากที่ออกกำลังกายก็ได้ไปอาบน้ำแล้วจึงไปทานอาหารเช้ากับซูม่อ ฉินเฉิงเย่ ไป๋ยู่เหลียนและคนอื่น ๆ ฉินเฉิงเย่เดินออกไปอย่างรีบร้อน ฟู่เสี่ยวกวนมองตามแผ่นหลังของฉินเฉิงเย่แล้วหัวเราะ ชายคนนี้อายุไล่เลี่ยกันกับเขา แต่ในวันนี้ก็ได้เข้าร่วมการวิจัยและพัฒนาอาวุธปืนไฟจนมิสามารถถอนตัวได้… แต่หวังว่าจะมิใช่เพียงความสนใจในชั่วขณะเท่านั้น

รอจนกระทั่งชุนซิ่วมาเก็บจานชาม ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เอ่ยถามซูเจวี๋ยและซูโหรวว่าคุ้นชินกับที่พักแล้วหรือยัง ต้องการสิ่งของอื่น ๆ อีกหรือไม่

ซูเจวี๋ยยังคงนั่งตัวตรง และคิดว่าที่นี่ดีมากแล้ว ค่อนข้างเงียบสงบ เหมาะแก่การบำเพ็ญตบะ

แต่ซูโหรวกลับกล่าวว่าต้องการผ้าไหมและเส้นด้ายหลากสี เพราะวัสดุที่นางนำมาใกล้จะปักเสร็จหมดแล้ว

ในเรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนย่อมเติมเต็มความต้องการของนางอย่างแน่นอน จนถึงขั้นถามนางว่าสามารถนำสิ่งที่นางปักไปขายไปได้หรือไม่ เพราะนกเป็ดน้ำที่ซูโหรวปักนั้นสวยงามมากจริง ๆ หากเอาไปปล่อยในร้านที่สวยงามก็จะเป็นอีกภูมิทัศน์หนึ่ง… บางทีเอาพวกชุดชั้นในเหล่านั้นมากให้นางปักอะไรเล็กน้อยจะได้ไหมนะ

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิด เขาในตอนนี้ยิงมิมีเวลาทำสิ่งนั้น

ต่อจากนั้นไป๋ยู่เหลียนก็นำตำราการทำสงครามฉบับนั้นมาวางบนโต๊ะ ฟู่เสี่ยวกวนดึงสีหน้ากลับมา และอธิบายให้ไป๋ยู่เหลียนฟังอย่างจริงจัง ซูม่อเองก็ตั้งใจฟังอย่างมาก ซูเจวี๋ยฟังแล้วก็เดินออกไป ช่วงเวลาฝึกฝนของเขามาถึงแล้ว ซูโหรวมิได้เดินออกไป ยังคงปักลายเป็ดน้ำต่อ และเงยหน้าขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวนบ้างเป็นครั้งคราว

“การทำสงครามฉบับพิเศษนี้รวมไปถึงทุกสถานการณ์ และภาษามือนั้นมิจำเป็นต้องส่งเสียงใด ๆ ทั้งยังถ่ายทอดคำสั่งได้อย่างถูกต้อง นี่มิใช่เรื่องมากกว่าจำเป็น ตัวอย่างเช่น พวกเราต้องโจมตีลานกว้างเยี่ยงนี้อย่างรวดเร็ว แต่มีองครักษ์คอยเฝ้าอยู่มากมาย หากพูดคุยกันในยามที่รวมตัวก็จะถูกฝ่ายตรงข้ามพบเจอได้ง่าย แต่ภาษามือจะมิเป็นเช่นนั้น ต่อจากนี้ข้าจะสอนภาษามือเจ้า หลังจากนั้นข้าคิดไว้เยี่ยงนี้ ให้ทหาร 500 คนที่เจ้านำมาและทหารใหม่ ณ ที่นี้จับกลุ่มกันใหม่ ผู้อาวุโสนำมือใหม่ ทหารผ่านศึก 1 คนนำทหารใหม่ 4 คน เป็นกลุ่มละ 5 คนพอดี ส่วนเรื่องกลยุทธ์ให้ทหารผ่านศึกเหล่านั้นเป็นผู้ฝึกสอน”

“เจ้าต้องดูอย่างตั้งใจ”

ต่อจากนั้นซูม่อก็จ้องมองการขยับในแต่ละท่าของฟู่เสี่ยวกวน หลังจากนั้นก็อธิบายความหมายของแต่ละท่วงท่าโดยละเอียด ช่วงเช้าผ่านไป คำอธิบายท่วงท่าของเขาก็มีมากถึง 36 ท่า

ทุกการขยับแบบง่าย ๆ ของฟู่เสี่ยวกวนมีความหมายที่ไม่เหมือนกัน แต่ความหมายของการขยับเพียงไม่กี่ครั้งนั้นกลับมีความหมายที่ชัดเจน ทั้งยังใช้ระยะเวลาสั้นกว่าการพูด

“ทั้งหมดนี้เป็นภาษาใหม่แบบหนึ่ง ต่อจากนี้ข้ากล่าวเจ้าทำ”

ทั้งสองคนยังคงฝึกซ้อมต่อไป ไป๋ยู่เหลียนทำผิดอยู่หลายครา จนซูโหรวยิ้มเยาะ “เสี่ยวเหลียน ใช้สมองหน่อยสิ”

ทันใดนั้นใบหน้าที่หล่อเหลาของไป๋ยู่เหลียนก็แดงขึ้นมา “เจ้าพูดใหม่อีกทีสิ”

ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นไปจนถึงตอนเย็น มื้ออาหารกลางวันเป็นไปอย่างเรียบง่าย แม้แต่ตอนทานอาหาร มือของไป๋ยู่เหลียนก็ยังคงมิหยุดขยับ และแท้จริงแล้วมือของซูม่อก็ยังคงขยับอยู่เช่นกัน

วันนี้ทั้งวันทุกคนต่างไม่ได้ออกไปไหน สิ่งที่ทำทั้งหมดก็มีเพียงเรื่องนี้

“ของสิ่งนี้ต้องสลักเอาไว้ในสมอง เจ้าที่อยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชา ต้องออกคำสั่งกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างแม่นยำ คนของเจ้าเองก็ต้องเข้าใจคำสั่งของพวกเจ้าให้แม่นยำ มิฉะนั้นเจ้ากล่าวตะวันออก เขาไปตะวันตก แล้วภารกิจจะสำเร็จได้เยี่ยงไร”

ไป๋ยู่เหลียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง ฟู่เสี่ยวกวนมีธุระจึงออกไปข้างนอก เขาฝึกภาษามือกับซูม่อต่อไป ซูโหรวคอยแก้ไขประโยคให้อยู่ตลอดเวลา หากฟู่เสี่ยวกวนอยู่ย่อมมองซูโหรวด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

แต่ไป๋ยู่เหลียนไม่ได้เอาจริงกับการฝึกภาษามือกับซูม่อเท่าใด พวกเขารู้ว่าความสามารถในการจดจำของซูโหรวเกรงว่าจะมิมีใครในใต้หล้านี้เทียบได้แล้ว

จนถึงยามเย็นฟู่เสี่ยวกวนก็ยังมิกลับมา ไป๋ยู่เหลียนและคนอื่น ๆ กำลังทานอาหารกันอยู่ ก็พูดถึงฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมา

“เจ้าว่าสมองของเขามีความคิดเยี่ยงไร ถึงสามารถคิดท่าทางที่ง่ายดายเยี่ยงนี้ให้ออกมาเป็นภาษา…” ซูม่อส่ายหน้า ยากที่จะเชื่อได้ลง “ข้าเคยเห็นเขาประพันธ์บทกวีด้วยตาของตนเอง เพียงแค่ตวัดปลายพู่กัน ถึงแม้อักขระจะน่าเกลียดแต่ก็ต้านทานบทกวีที่ดีของเขาไว้ไม่ไหว การออกแบบอาคารที่ด้านนอกซีซานเหล่านั้นก็เป็นเขาที่วาดมันขึ้นมาทีละหลัง ตัวข้ายังได้เห็นการกำเนิดสิ่งที่เรียกว่าปูนซีเมนต์นั้นด้วยสายตาของตนเอง ทั้งนี้เขายังทำเมล็ดพืชที่เรียกว่าฟู่อีต้ายออกมา กล่าวว่าในภายภาคหน้าผลผลิตของข้าวจะมีถึงห้าร้อย หกร้อยและจะสูงไปถึงหนึ่งพันชั่ง พวกเจ้าคงมิอยากเชื่อ ข้าเห็นเขาม้วนขากางเกงและลงไปในทุ่งนากับตา วันนั้นฝนตกอย่างหนัก เพื่อสิ่งนี้แล้วเขาจึงรีบกลับมายังหลินเจียง ลงไปในทุ่งนาท่ามกลางฝนตกหนัก ถึงแม้จะสวมหมวก แต่ยามที่ลุกขึ้นมากลับเปียกไปทั้งร่าง”

“ตอนนี้เขาคงทำของสิ่งนี้ขึ้นมาอีก พวกเจ้าเคยเห็นคนที่มีความสามารถรอบด้านเยี่ยงนี้บนโลกนี้เยี่ยงนั้นหรือ”

ไป๋ยู่เหลียนเลิกคิ้วขึ้น แล้วกล่าวอย่างขำขัน “ยามที่ข้าและเขาพบกันครั้งแรกก็รู้สึกว่าเขานั้นแตกต่าง ยามนั้นที่ลานฝึกด้านนอกเรือน เขาวิ่งเข้ามา หยุดยืนมองข้าฝึกดาบ ข้าสะบัดดาบออกไปทางเขา เขาไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ ในตอนนั้น ข้าก็รู้สึกว่าเขานั้นแตกต่างไปจากผู้อื่น”

ทันใดนั้นซูเจวี๋ยก็เอ่ยขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ตามคัมภีร์ลัทธิเต๋ากล่าวไว้ว่า ผู้ที่เกิดมามีความรู้ ได้รับชะตาสวรรค์ลิขิต เรียกกันว่าบุคคลแห่งโชคชะตา”

“ศิษย์น้องคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนคือบุคคลแห่งโชคชะตาหรือ”

“มิใช่  แต่เป็นท่านอาจารย์ที่คิดเยี่ยงนั้น ไม่เยี่ยงนั้นแล้วเหตุใดเจ้าและข้าจักต้องออกมากัน”