บทที่ 196 ระดมความคิดอีกครั้ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 196 ระดมความคิดอีกครั้ง

‘ไขปริศนา…ออกแล้วหรือ!’

สีหน้าของทุกคนแสดงความปีติยินดี แต่ก็รู้สึกเหลือเชื่อ เขาคิดได้อย่างไร ทั้งที่ไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย

คดีที่ไม่มีเบาะแสเช่นนี้ เขาสามารถไขปริศนาได้อย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่ทุกคนต่างมีส่วนร่วมในคดีนี้และได้มีการแสดงความคิดเห็นร่วมกัน ข้อมูลเดียวกัน เบาะแสเดียวกัน ทุกคนต่างสับสน ทำไมเขาจึงไขปริศนาได้

‘สวี่หนิงเยี่ยนน่ากลัวจริงๆ’

ผู้ตรวจการจางที่กำลังขบคิดปริศนาคำทาย ‘แม่นางเหวินแต่งงาน’ สะดุ้งสุดตัว และคลายมนต์คาถาได้แล้ว เขาคว้าแขนของสวี่ชีอันด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้ เหล่าจางลืมมาดของใต้เท้าผู้ตรวจการไปจนสิ้น ซักถามรัวๆ ว่า

“เจ้าไขปริศนาได้แล้วหรือ จริงหรือ จริงหรือ”

เวลานี้หากข้าพูดว่า ข้าโกหกพวกเจ้า… คงโดนฆ่าตายแน่… สวี่ชีอันลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไป “อย่างน้อยก็มีความคืบหน้าครั้งใหญ่นะขอรับ”

ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องของทุกคน เขามาถึงลานของจุดพักเปลี่ยนม้า หยิบแผนที่ออกจากกระเป๋าที่ห้อยอยู่บนหลังม้า กลับไปที่ห้องโถง แล้วกางออกบนโต๊ะ

“ความลับของอักษรปริศนาอยู่ในแผนที่นี้” สวี่ชีอันกดแผนที่ด้วยมือทั้งสองข้าง เงยหน้าขึ้นมองทุกคน แล้วอธิบายว่า “อาศัยเพียงป้ายหยกชิ้นเดียว ไม่สามารถถ่ายทอดข้อมูลออกไปได้ โจวหมินจะต้องพยายามหาทางทำให้อิงอิงฮูหยินนำข้อมูลไปมากกว่านี้ แต่เพื่อรักษาความลับ เขาจึงใช้วิธีทายอักษรปริศนา เขาปิดบังทุกคน รวมถึงอิงอิงฮูหยินด้วย”

“แต่ด้วยสติปัญญาของฆราวาสจื่อหยาง แค่เพียงสอบถามอย่างละเอียด ย่อมไขความลับของอักษรปริศนาได้อย่างแน่นอน”

“แล้วทำไมความลับของอักษรปริศนาจึงอยู่ในแผนที่เล่า” จูกว่างเสี้ยวขมวดคิ้วถาม

“เพราะแผนที่เป็นสิ่งที่หาได้ง่ายที่สุด และยังเป็นสิ่งที่ฆราวาสจื่อหยางที่มาอวิ๋นโจวครั้งแรกต้องมีไว้ในมือ” สวี่ชีอันตอบ

‘ใช่แล้ว ในจุดพักเปลี่ยนม้าก็มีแผนที่ คนที่มาครั้งแรก การมีแผนที่ไว้ในมือนับเป็นตัวเลือกแรกที่สำคัญ…’ ทุกคนต่างเข้าใจในทันใด

“การอนุมานของข้าถูกหรือผิด ทุกคนมาพิสูจน์พร้อมกัน” สวี่ชีอันก้มลงมองแผนที่ “อักษรปริศนาทั้งห้าตัวคือ ซือ (思) ป๋อ (伯) เก้า (告) หวง (皇) หมิง (明)”

ทุกคนต่างกรูกันเข้ามาที่โต๊ะ ดูแผนที่พร้อมกับเขา

เมื่อกางแผนที่ออก ก็กินพื้นที่หน้าโต๊ะเกือบทั้งหมด ครอบคลุมเมืองไป๋ตี้ไว้ทั้งหมด ถนนทุกเส้น อาคารทุกหลัง ทะเลสาบ สะพาน ที่ทำการปกครองทุกแห่งเป็นต้น ล้วนมีเครื่องหมายกำกับไว้

ทุกคนอ่านตัวอักษรทั้งห้าในใจ พร้อมกับสืบค้นชื่อที่สัมพันธ์กัน

จู่ๆ ซ่งถิงเฟิงก็ชี้ไปที่จุดหนึ่ง “สะพานซือหมิง (思明桥) !”

จากนั้น สายตาของทุกคนก็มองไปที่ตำแหน่งที่นิ้วของเขาชี้ บริเวณนั้นวาดเค้าโครงสะพานโค้ง มีอักษรตัวเล็กกำกับไว้ว่า ‘สะพานซือหมิง’

ฆ้องทองแดงอีกคนชี้ไปที่อีกจุดหนึ่งทันที “ตรงนี้มีถนนหวงป๋อ (黄伯街) ”

สำหรับตัวอักษร ‘เก้า’ และ ‘หวง’ กลับไม่พบสถานที่สัมพันธ์กัน โดยเฉพาะตัว ‘หวง’ ซึ่งเป็นอักษรต้องห้าม ไม่ปรากฏในแผนที่เลย

“เบาะแสน่าจะอยู่ที่สองแห่งนี้” สวี่ชีอันวิเคราะห์

“ตัวอักษรสองตัวที่เหลือไม่มีประโยชน์แล้วหรือ” มีคนถาม

“อักษรตัวอื่นอาจจะเป็นการตบตา เป็นกลลวง ตอนนี้อย่าเพิ่งสนใจ รอจนกว่าพวกเราสืบค้นทั้งสองที่นี้ก่อน ดูว่าจะได้ผลอะไรหรือไม่” สวี่ชีอันพูด

ผู้ตรวจการจางเลือกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหกคน เปลี่ยนชุดลำลองไปตรวจสอบสถานการณ์ที่ถนนหวงป๋อ ขณะที่สวี่ชีอันพาจูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงเพื่อนสนิทสองคนไปที่สืบหาความจริงที่สะพานซือหมิง

ถนนหวงป๋ออยู่ไม่ไกลจากจุดพักเปลี่ยนม้า ระยะทางประมาณสิบกว่าลี้ สะพานซือหมิงยาวประมาณยี่สิบกว่าลี้

ทั้งสามควบม้าวิ่งห้อไปตามถนนกว้าง อาคาร บ้านเรือนตลอดทางมีเอกลักษณ์ของภาคใต้อย่างชัดเจน มีผนังสีขาวกระเบื้องสีดำ และชอบปลูกต้นผีผาไว้ที่ลานบ้าน

ต้นผีผาเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของอวิ๋นโจว

นอกจากนี้ การแต่งกายของชาวบ้านก็แตกต่างไปจากคนเมืองหลวงอย่างมาก การแต่งกายของคนที่นี่อิสระกว่า มีคนใส่ชุดสีเหลืองอยู่ทุกที่

แต่ในเมืองหลวง ผ้าสีเหลืองสงวนไว้สำหรับราชวงศ์ แต่ในอวิ๋นโจวสวี่ชีอันเห็นผู้สัญจรไปมามากมายสวมเสื้อคลุมยาวสีเหลืองสดใส

“แม้ว่าความนิยมในแต่ละสถานที่จะแตกต่างกัน แต่ราชสำนักปล่อยปละละเลยอวิ๋นโจวเกินไปหรือเปล่า” สวี่ชีอันรู้สึกเป็นกังวล

“สภาพอากาศที่อวิ๋นโจวทำให้รู้สึกไม่สบายตัวจริงๆ ทั้งชื้นและหนาวเย็น” ซ่งถิงเฟิงขมวดคิ้วพูด

“ยังไงเมืองหลวงของพวกเราก็ดีกว่า ถึงจะหนาวไปหน่อย แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกขนลุกซู่ขนาดนี้ วันนี้ตอนที่ข้าส่งพ่อค้าเร่กลับไป ข้าเห็นคนสัญจรไปมาเดินไปหนาวสั่นไป” จูกว่างเสี้ยวพูด

“พวกเจ้าทั้งสองเหมือนหมาป่าภาคเหนือ พอลงใต้ก็หนาวจนกลายเป็นฮัสกี้” สวี่ชีอันพูดพร้อมหัวเราะเสียงดัง แน่นอนว่า ทหารระดับหลอมปราณนั้นไม่กลัวร้อนกลัวหนาวอยู่แล้ว เขาแค่หยอกเล่นเท่านั้น

….ทั้งสองคนต่างมองหน้าเขาด้วยความงุนงง ‘ฮัสกี้คืออะไร’

ที่จริงแล้วในยุคนี้ หน้าหนาวของภาคใต้ยังดีกว่าภาคเหนือหลายโยชน์ ชาวบ้านที่ยากจน ในฤดูหนาวขอแค่รวบรวมฟางข้าวให้ได้มากๆ แล้วมีที่บ้านที่สามารถกันลมกันฝนสักหลัง ก็จะสามารถผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้

แตกต่างจากภาคเหนือ คนยากไร้จำนวนมากในภาคเหนือที่ไม่มีกำลังซื้อถ่าน ต้องเสียชีวิตไปอย่างเงียบๆ ในฤดูหนาว

ภาคเหนือของต้าฟ่งไม่มีเตาผิง อีกอย่าง ขี่ม้าในฤดูหนาวทางภาคใต้ ขี่ไปขี่มา น้ำมูกก็ไหลออกมา แต่ถ้าขี่ม้าในฤดูหนาวทางภาคเหนือ ขี่ไปขี่มา จมูกก็ใช้การไม่ได้เสียแล้ว

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงที่หมาย

สะพานซือหมิงพังทลายลงในแม่น้ำสายเล็ก ๆ เป็นสะพานโค้งที่มีช่องโค้งขนาดใหญ่สองช่องและช่องโค้งขนาดเล็กสองช่อง ก่อขึ้นจากหินอ่อนสีขาว ตัวสะพานถูกปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำ

ทั้งสามคนตรวจสอบสะพานอย่างละเอียดเป็นเวลานาน ในที่สุด สายตาของสวี่ชีอันก็จับจ้องไปที่ภายนอกของสะพาน ซึ่งเป็นอิฐที่นูนออกมา

ใช้สองนิ้วยึดก้อนอิฐ แล้วค่อยๆ ดึงก้อนอิฐขนาดเท่าอิฐก่อกำแพงออกเล็กน้อย

เขาเอื้อมมือออกไปคลำในช่องอิฐครู่หนึ่ง แล้วก็พบถุงผ้าแพรใบหนึ่ง

จริงดั่งคาด เป็นเพราะถุงผ้าแพรใบนี้ ที่ทำให้ก้อนอิฐไม่สามารถประกบติดกันสนิทได้

“มีบางอย่างจริงๆ ด้วย!” ซ่งถิงเฟิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก กระเถิบเข้ามาใกล้ แล้วเร่งเร้าว่า “เปิดดูซิว่ามันคืออะไร”

สวี่ชีอันเปิดถุงผ้าแพรออก ข้างในมีกระดาษแผ่นหนึ่ง เมื่อกางกระดาษออก ด้านบนมีข้อความเขียนไว้ว่า

‘โม่หนึ่งร้อยหกสิบสอง’

‘สามร้อยสี่สิบเจ็ดสี่หนึ่งสอง’

โม่หนึ่งร้อยหกสิบสอง สามร้อยสี่สิบเจ็ดสี่หนึ่งสอง… ตัวเลขสองชุดนี้หมายความว่าอย่างไร… ให้ตายสิ โจวหมินเก่งจริงๆ…ทำอะไรเอิกเกริกเสียไม่มี… น่าเสียดายที่ตายเสียแล้ว… สวี่ชีอันจ้องมองกระดาษ แล้วนิ่งเงียบไป

ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวสบตากัน ฝ่ายแรกพูดอย่างว่างงุนงงว่า “หมายความว่าอย่างไร”

“ข้าจะรู้ได้ยังไง!” สวี่ชีอันตอบอย่างอารมณ์เสีย “เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเหมือนกัน เหตุใดจึงแตกต่างกันมากมายเช่นนี้” ดูสายลับของคนอื่นสิ เก่งกว่าพวกเจ้าสองคนตั้งเท่าไร เทียบกันไม่ได้เลย เทียบกันไม่ได้เลย..”

“ตัวสายลับเองก็คือผู้ที่เก่งกาจ แต่ละคนก็มีจุดเด่นเฉพาะตัว ไม่อย่างนั้นจะทำหน้าที่ดักซุ่มได้อย่างไร” ซ่งถิงเฟิงพูดแก้ตัวอย่างไม่ยอมแพ้

“หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลในที่ทำการปกครองอย่างพวกเรา รับผิดชอบด้านกำลังทหารก็พอแล้ว”

สายลับเป็นคนเก่งที่มีที่มีทักษะพิเศษ หรือมีความคิดรอบคอบ หรือฉลาดเป็นกรด ในขณะที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแห่งที่ทำการปกครองรับผิดชอบเพียงการใช้กำลังอาวุธเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ในเวลานี้ ใกล้ยามอัสดงเต็มที

สวี่ชีอันเก็บกระดาษ แล้วพูดอย่างจนใจว่า “กลับไปก่อนแล้วกัน”

สิ่งที่รอพวกเขาอยู่… ไม่สิ สิ่งที่รอเขาอยู่ ก็คือการระดมความคิดอีกครั้ง

จุดพักเปลี่ยนม้า

เนื่องจากถนนหวงป๋ออยู่ใกล้กับจุดพักเปลี่ยนม้ามากกว่า หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ไปสำรวจถนนสายนี้จึงกลับมาแล้ว และได้นำข่าวที่น่าผิดหวังกลับมาด้วย

“ไม่พบอะไรเลย พวกเจ้าสำรวจดีหรือยัง” ผู้ตรวจการจางถาม

“ถนนสายนั้นช่วงกลางวันมีคนไม่กี่คน สอบถามครอบครัวที่อาศัยอยู่ถนนถัดไป จึงได้รู้ว่าเป็นตลาดซื้อขายสุนัข จะเปิดตลาดเฉพาะตอนกลางคืน เวลานี้ไม่มีคนเลย”

ฆ้องทองแดงที่ไปสำรวจตอบด้วยความกลัดกลุ้ม

ถนนที่จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก การมุดเข้าไปเหมือนแมลงวันไร้หัวเช่นนี้ จะได้ผลอะไร เจอใครก็ถามว่ารู้จักเสมียนโจวโจวหมินแห่งกรมบัญชาการหรือไม่เนี่ยนะ

‘เฮ้อ!’ บรรดาหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่างพากันท้อแท้และส่ายหน้า

ผู้ตรวจการจางจิบชา นั่งอยู่สักครู่ ก็นั่งไม่ติด จึงเดินไปมาในห้องโถง

ถนนหวงป๋อไม่มีเบาะแสใดๆ เวลานี้จึงทำได้เพียงรอข่าวจากสวี่หนิงเยี่ยน หากพวกเขาก็ไม่พบเบาะแสเช่นกัน คดีก็จะต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น พวกเขาก็จะต้องย่ำอยู่กับที่

‘ยังไงก็ต้องได้ผล มิเช่นนั้นก็จะกลายเป็นคดีที่ไม่มีเบาะแสจริงๆ…’ ผู้ตรวจการจางพึมพำ

เสียงพึมพำของเขา เข้าไปในหูของฆ้องเงินหลายคนและเจียงลวี่จงโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว

“พวกเขากลับมาแล้ว” ฆ้องทองแดงที่อยู่ที่ประตูพูดขึ้นด้วยความดีใจ

ทุกคนหันไปมองที่ประตูโดยพร้อมเพรียง มองสวี่ชีอันพาสหายร่วมหน่วยสองคนกลับมา

“เป็นอย่างไรบ้าง” เจียงลวี่จงรีบถาม

มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อของผู้ตรวจการจางบีบแน่น จ้องมองพวกเขาอย่างคาดหวังและตื่นเต้น

สวี่ชีอันหยิบกระดาษออกมา แล้ววางลงบนโต๊ะ ทันใดนั้น มือสิบกว่าคู่ก็ยื่นออกมาพร้อมกัน

‘ปัง!’

ฝ่ามือของเจียงลวี่จงปัดกรงเล็บทั้งหมดออกไป รีบแย่งมา กางจดหมายออกดู แล้วก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง

“นี่เขียนว่าอะไร”

เอาล่ะ นี่ไม่ใช่รหัสของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล… สวี่ชีอันทำการวิเคราะห์

“ขอข้าดูหน่อย!”ผู้ตรวจการจางพุ่งเข้ามา และคว้ากระดาษไว้อย่างฉับไว ในกระดาษเขียนตัวเลขไว้สองชุด

‘โม่หนึ่งร้อยหกสิบสอง’

‘สามร้อยสี่สิบเจ็ดสี่หนึ่งสอง’

ผู้ตรวจการจางตกอยู่ในสภาวะตะลึงงันอยู่เป็นเวลานาน หนังสือปรัชญาที่เคยอ่านแวบเข้ามาในสมองทีละเล่ม จากนั้นก็ตัดตัวเลือกที่สอดคล้องกับเรื่องที่อ้างอิงจากหนังสือโบราณในหนังสือออก

เรื่องนี้ก็เหมือนกับ ‘แม่นางเหวินแต่งงาน’ เป็นโจทย์ที่ใช้รังแกผู้อื่น… ขณะที่ผู้ตรวจการจางกำลังกลัดกลุ้มอยู่นั้น ก็เห็นสวี่ชีอันขึ้นไปชั้นบนอย่างเงียบ ๆ

“หนิงเยี่ยน เจ้าจะไปทำอะไร”

สวี่ชีอันหันหลังกลับขณะอยู่บนบันได ท่าทางซึมเซา “กลับไปนั่งสมาธิที่ห้อง ไม่อย่างนั้น ข้ารู้สึกว่าข้าจะตายอย่างกะทันหันเมื่อใดก็ได้ เอ่อ ข้าไม่ได้นอนมาสิบสองวันแล้ว”

‘!!!’ เจียงลวี่จงเลิกคิ้วอย่างแรง

เขารู้อยู่แล้วว่าสวี่ชีอันกำลังพิชิตระดับหลอมวิญญาณ ตอนนั้นขณะล่องเรือสวี่ชีอันก็เคยถามคำถามที่คล้ายกันว่า จะพิชิตระดับหลอมวิญญาณได้อย่างไร

หลายวันมานี้เห็นรอยคล้ำใต้ตาของเขาเข้มขึ้นทุกวัน เจียงลวี่จงเดาว่าเจ้าหมอนี่อาจจะกำลังพิชิตระดับหลอมวิญญาณ แต่ฝึกมากี่วันแล้ว

สิบสองวัน สิบสองวันยังไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัด ระหว่างนั้นยังมีการต่อสู้กัน…

นี่หมายความว่าพลังจิตของสวี่ชีอันแข็งแกร่งมาก ยิ่งใหญ่มาก หากเขาก้าวเข้าสู่ระดับหลอมวิญญาณ พลังจิตก็จะมีการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ตัวเจียงลวี่จงเองได้รับการเลื่อนระดับเป็นระดับหลอมวิญญาณ ก็ต้องอดทนเป็นเวลาสิบหกวัน และฆ้องทองคำคนอื่นๆ ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก

‘ดูท่าทางเจ้าหมอนี่ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสิบสองวันไม่ใช่ขีดจำกัด ไม่รู้ว่าเขาจะทนได้นานแค่ไหน’ เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจียงลวี่จงก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “จำไว้ว่าอย่าผล็อยหลับไปล่ะ”

เมื่อกลับมาถึงห้อง สวี่ชีอันก็ถอดรองเท้า นั่งขัดสมาธิบนเตียง ฝึกลมหายใจหลอมปราณ พร้อมกับนึกถึงภาพผู้ยิ่งใหญ่ และบางครั้งก็เปลี่ยนเป็นภาพสิงโตคำรามสีทอง

เมื่อค่อยๆ เข้าสู่สภาวะที่ดี ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตู

“มีอะไร” เขาลืมตา

“หนิงเยี่ยน อาการดีขึ้นบ้างหรือยัง” เสียงของผู้ตรวจการจางมาจากประตู และหลังจากได้รับคำตอบจากสวี่ชีอัน เขาก็พูดทันทีว่า

“ตามข้าไปงานเลี้ยงอาหารค่ำ ไปพบกับผู้ที่อยู่ในแวดวงขุนนางของอวิ๋นโจวหน่อย”

…………………………………..