หลังผ่านการย่ำยีที่โหดร้ายทารุณอย่างมหันต์แล้ว อันหลินก็นอนแผ่กับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก แสดงท่าทียอมจำนนต่อชะตา

ดวงหน้าอันงดงามของหญิงสาวเข้าสู่คลองจักษุของเขาอีกครั้ง แม้ใบหน้าจะเปื้อนยิ้มที่น่าหลงใหล แต่ในสายตาเขา รอยยิ้มนี้ไม่ต่างอะไรกับรอยยิ้มชั่วร้ายของปีศาจร้ายเลย

“ภาพของข้าเข้าตาสหายอันหลินไหม” หลินจวิ้นจวิ้นถามด้วยรอยยิ้ม

“ภาพวาดของใต้เท้าเทียนอวี่ลึกล้ำกว้างไกล วิเศษเหนือคำบรรยาย ไม่มีผู้ใดเทียบได้!” อันหลินประจบประแจงอย่างอ่อนแรง

“เช่นนี้เองหรือ ความจริงข้ายังมีภาพสุดท้าย อันหลินมาชมอีกสักหน่อยเถอะ” เสียงนุ่มละมุนดุจธารน้ำไหลเอื่อยกระทบโสตประสาท แต่กลับทำให้อันหลินสะดุ้ง

เขาตกใจจนเกือบจะเด้งตัวขึ้นมา พูดอย่างประหลาดใจว่า “ยังมีอีกหรือ!”

หลินจวิ้นจวิ้นขมวดคิ้ว “ทำไม เจ้าไม่ชอบหรือ”

“ชอบ…ชอบมาก” อันหลินฝืนยิ้มออกมา หากมีกระจก เขาจะพบว่ารอยยิ้มในตอนนี้น่าเกลียดกว่าร้องไห้เสียอีก

อันหลินลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เดินกะเผลกไปยืนข้างหญิงสาวคนนั้น ภาพวาดสุดท้ายของหลินจวิ้นจวิ้นต้องเป็นท่าไม้ตายแน่ เขากระวนกระวายกับสิ่งนี้อย่างยิ่ง

แต่ทว่า เมื่อภาพวาดปรากฏแก่สายตา เขากลับยืนอึ้งอยู่กับที่

นกกระเรียนสมจริงดั่งมีชีวิตโบยบินท่ามกลางขุนเขา ความสุนทรีเลือนรางไกลโพ้นโชยมาปะทะหน้า มันเป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่ง ความงามหนึ่งเดียวที่ขาดก็คือ ดวงตาของนกกระเรียนไม่ถูกเติมลงไป

เขามองภาพวาดที่คุ้นหน้าคุ้นตาอึ้งๆ นานกว่าจะเอ่ยปากพูดว่า “ภาพนี้…นกกระเรียนตาโตใช่ไหม!”

ตอนแรกหลินจวิ้นจวิ้นพึงพอใจกับปฏิกิริยาของอันหลินมาก แต่บัดนี้เมื่อได้ยินเขาพูด พลันแน่นหน้าอกขึ้นมา ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น “หึ นกกระเรียนตาโตตัวนั้นนั่นแหละ…เพราะมีคนไร้มารยาทรบกวน นกกระเรียนในภาพวาดถึงได้กลายเป็นนกกระเรียนตาโตที่เจ้าว่า ตอนนี้ข้าวาดขึ้นมาใหม่ จึงอยากให้เจ้าได้เห็นภาพวาดสำเร็จว่าเป็นอย่างไร”

“เอ่อ…” อันหลินกะพริบตาปริบๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหลินจวิ้นจวิ้น ในใจคาดเดาได้แล้ว

พู่กันของหลินจวิ้นจวิ้นจรดลงไป ราวกับวาดมังกรแต้มตา[1] วาดสิ่งสุดท้ายบนภาพวาดเสร็จสิ้น

นัยน์ตาสดใสมีชีวิตชีวาปรากฏบนตัวนกกระเรียน

ทันใดนั้น พลังปราณสี่ทิศเริ่มโหมซัดอย่างบ้าคลั่ง หมอกขาวลอยขึ้นมา

เมื่ออันหลินเห็นภาพมายาของขุนเขาที่เลือนรางห่างไกล ได้ยินเสียงของนกกระเรียนที่เสนาะหูวนเวียนในศาลา

ร่างสีขาวกระโจนออกมาจากภาพวาด มันช่างงดงามเสียนี่กระไร ร่างกายสะโอดสะองขาวดุจหิมะ ปีกที่อ่อนนุ่มมีความยืดหยุ่นและกว้างขวาง ลำคอระหง รวมถึงดวงตาที่กลมโต

อันหลินเงยหน้ามองนกกระเรียนที่บินออกมา ดวงตาเบิกกว้าง อ้าปากค้าง เสมือนตกอยู่ในภวังค์ความตกใจอย่างถอนตัวไม่ได้

หลินจวิ้นจวิ้นพึงพอใจอากัปกิริยาของอันหลิน ภาพวาดที่สมบูรณ์แบบนี้ต่างหากที่เป็นไพ่ตายที่แท้จริงของนาง ผลงานที่อันหลินหัวเราะเยาะก่อนหน้านี้ นี่เป็นวิธีที่ตบหน้าอันหลินได้ดีที่สุด!

นางแหงนหน้ามองนกกระเรียนตัวนั้น ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มบางๆ

แต่ไม่นานรอยยิ้มของนางก็ค้างอยู่บนใบหน้า ปากสีระเรื่อเผยอเล็กน้อย จดจ้องนกกระเรียนที่บินวนเหนือศาลาอึ้งๆ

นกกระเรียนตัวนี้มีดวงตาที่กลมโต อืม ดวงตาที่โตกว่าศีรษะ…

ดวงตากลมโตของมันทะลุเบ้า เหมือนมีแตงโมสีดำสองลูกแขวนอยู่บนหัว โบยบินอย่างเชื่องช้า แลดูน่าขบขันยิ่งนัก

มุมปากของอันหลินกระตุก ฝืนกลั้นยิ้มจนใบหน้าแดงก่ำ

ขำไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด…

หลินจวิ้นจวิ้นเสียการทรงตัวเล็กน้อย ราวกับว่าได้รับแรงกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวง ปากพึมพำว่า “นรลักษณ์เกิดจากใจ…นกกระเรียนตาโตสะท้อนจิตใจ หัวใจของข้า ข้ามอุปสรรคนี้ไปไม่ได้จริงๆ หรือ…”

ตุบ

ลูกตาทั้งสองรับน้ำหนักไม่ไหว หลุดร่วงจากศีรษะ ตกลงสู่พื้น

นกกระเรียนกลายเป็นน้ำหมึก มีเพียงดวงตาที่ยังเกลือกกลิ้งบนพื้นจนมาถึงฝ่าเท้าอันหลิน

ลูกตาสมจริงอย่างยิ่ง กะพริบด้วยความงุนงงและไร้เดียงสา

“พรืดฮ่าๆ ๆ…” อันหลินทนไม่ไหวแล้วจริงๆ หลุดขำออกมาทันที ชี้ลูกตากลมโตแล้วหัวเราะลั่น “ลูกตานี่ต่างหากที่เป็นร่างจริงสินะ!”

ต่อมา เขาก็เริ่มสั่นระริกขึ้นมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

มีจิตสังหาร!

เขาหันมองหลินจวิ้นจวิ้น สิ่งที่เข้าสู่คลองจักษุคือเงาหมัดที่มืดฟ้ามัวดิน

ปึกๆ ๆ…เพี๊ยะๆ ๆ…ผลัวะๆ ๆ…ปึกๆ ๆ…

หลังถูกย่ำยีฝ่ายเดียวอยู่ครู่หนึ่งแล้ว อันหลินก็ฟกช้ำดำเขียวล้มลงบนพื้น หัวเราะไม่ออกอีกแล้ว…

หลินจวิ้นจวิ้นปัดมือขาวหยวกเล็กน้อย จู่ๆ ก็กระจ่างใจโดยพลัน

เป็นอย่างที่คิด หากจะหักหน้าสู้ใช้กำลังฉับไว ระบายอารมณ์ได้ดีกว่าเยอะ

ผ่านไปครู่หนึ่ง อันหลินที่ทายาแก้ปวดแล้วฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง เข้าสู่หัวข้อที่สองกับหลินจวิ้นจวิ้น

“ต่อไป บอกข้อมูลทั้งหมดของสถาบันวิจัยดาวม่วงที่เจ้ารู้มาให้หมด ข้าจะไม่พลาดแม้แต่นิด!” หลินจวิ้นจวิ้นสงบสติอารมณ์แล้วพูดต่อ

ดวงตาของอันหลินลุกวาว รู้ว่าได้เวลาเก็บเงินแล้ว

เมื่อหลินจวิ้นจวิ้นเห็นอากัปกิริยาของอันหลิน ไม่รู้เพราะเหตุใด ไยใจถึงกระตุก รีบพูดเป็นพัลวันว่า “เดี๋ยว อืม…เจ้ามีข้อมูลอีกประมาณเท่าใด”

อันหลินลูบคาง ครุ่นคิดเล็กน้อย “อืม…ไม่เคยนับเลย อักขระ แผนผังค่ายกล ทฤษฎีการวิจัย แผนผังโครงสร้างสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรวมๆ กันแล้ว ราวๆ ร้อยสองร้อยกระมัง…”

“มีอีกร้อยสองร้อยงั้นหรือ! ทำ…ทำไมเจ้ามีมากมายขนาดนี้! คงไม่ได้แย่งสมองหลักมาจนหมดหรอกนะ” หลินจวิ้นจวิ้นพูดอย่างตกใจ

“ฮะ ไม่ถึงขนาดนั้น หลังถ่ายข้อมูลของสมองหลักมาได้ครึ่งเดียว ก็ถูกไล่ออกมาแล้ว” อันหลินตอบตามความจริง

หลินจวิ้นจวิ้น “…”

“ทำไม ท่านจะรับหมดหรือไม่” อันหลินซักถาม

เขาเห็นความหวังจะพลิกชะตา กลายเป็นหนุ่มสูงหล่อรวยแห่งแดนเซียนอย่างสิ้นเชิง จึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

“เอ่อ…” หลินจวิ้นจวิ้นเบนสายตามองทางอื่น “วันนี้อากาศไม่เลวเลย”

“อืม อากาศดีทีเดียว” อันหลินพยักหน้าแล้วถามต่อว่า “เมื่อครู่ท่านบอกว่าจะไม่พลาดแม้แต่นิดไม่ใช่หรือ เช่นนั้นข้าเอาออกมาแล้วนะ”

มุมปากของหลินจวิ้นจวิ้นกระตุกเล็กน้อย หยิบหินปราณออกจากแหวนมิติจำนวนสามร้อยยี่สิบ กระแอมเล็กน้อย พูดอย่างใจป้ำว่า “เอาแผนผังค่ายกลมาให้ข้าก่อนสักสี่สิบอัน!”

แผนผังค่ายกลสี่สิบอันงั้นเหรอ แปดหมื่นหินวิญญาณต่อหนึ่งแผนผังค่ายกล อันหลินกะพริบตาปริบๆ นึกถึงของที่แลกมาได้ก่อนหน้านี้ ราคาที่หลินจวิ้นจวิ้นให้ไม่เลวเลยทีเดียว ครั้งนี้ดีกว่าครั้งก่อนนิดหน่อย

อันหลินวาดแผนผังค่ายกลสี่สิบอันให้หลินจวิ้นจวิ้นตามคำขอ รับสามร้อยยี่สิบหินปราณมาอย่างสบายใจเฉิบ จากนั้นก็จ้องหญิงตรงหน้าด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย

“เจ้ามองข้าอีกทำไม” ใบหน้าขาวผ่องของหลินจวิ้นจวิ้นแดงเรื่อ หดคอเล็กน้อย

“อักขระ ทฤษฎีการวิจัยกับโครงสร้างสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใต้เท้าเทียนอวี่ตั้งใจว่าจะรับเท่าใด” อันหลินถามอย่างคาดหวัง

หลินจวิ้นจวิ้น “…”

ข้าบอกว่าไม่เอาเลยสักอย่างได้ไหม…หลินจวิ้นจวิ้นสติแตกแล้วจริงๆ

ตอนแรกนางคิดว่าใช้เงินฟาดหัวอันหลินให้มึนงงได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าข้อมูลที่อันหลินได้รับจะมีมหาศาลเช่นนี้ เมื่อเป็นแบบนี้ เหมือนนางจะถูกปั่นหัวจนอับอายขายหน้าอีกแล้ว…

“อา วันนี้อากาศไม่เลวเลย”

“ใต้เท้าเทียนอวี่ ท่านเคยพูดแล้ว วันนี้อากาศไม่เลวจริงๆ เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า…”

“อากาศช่างดีเสียจริง ข้าจะใช้โอกาสที่อากาศดี ไปชมทิวทัศน์แล้ว”

ขณะที่พูด ไม่รอให้อันหลินพูด หลินจวิ้นจวิ้นก็ถอนค่ายกลซ่อนเร้น พุ่งตัวขึ้นฟ้าทันที

“นี่! แล้วข้อมูลที่เหลือเล่าจะทำอย่างไร!” อันหลินตะโกนลั่น

“ค่อยว่ากันครั้งหน้า!”

เสียงของหลินจวิ้นจวิ้นอ่อนหวาน จากนั้นร่างที่ดูหงอยเหงาของนางก็หายลับไปในอากาศ

อันหลินมองหญิงสาวที่จากไปไกล กะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง

ต่อมา เขาก็ส่ายหน้าอย่างระอาใจ

“เฮ้อ เพิ่งได้มาแค่สามล้านสองแสนหินวิญญาณเอง ตอนแรกอยากใช้โอกาสนี้เก็บให้ได้สิบล้านหินวิญญาณ ท่าทางจะยังคืนหนี้ของเทพธิดาฉางเอ๋อไม่ได้…”

ตอนนี้นอกจากข้อมูลที่บอกใครไม่ได้แล้ว ยังมีข้อมูลอีกหนึ่งร้อยสามสิบกว่าอย่างที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ หวังว่าครั้งหน้าใต้เท้าเทียนอวี่จะใจป้ำ พกหินวิญญาณมามากกว่านี้หน่อย…

…………….

[1] วาดมังกรแต้มตา หมายถึง การสร้างสรรค์ศิลปะวรรณกรรม