บทที่ 218 ให้ข้าทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์ร้านอาหารนี้เป็นอย่างไรเล่า

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

อวี่ฝูตักโจ๊กโลหิตมังกรร้อนจี๋ใส่ชามศิลาดลเพื่อพักไว้ พลังชีวิตพุ่งออกจากชามแล้วรวมตัวเป็นไออยู่ในอากาศเหนือชาม จากนั้นนางก็ค่อยๆ ใช้ช้อนกระเบื้องตักโจ๊กขึ้นมาเล็กน้อยแล้วเป่าให้เย็นลง พลังชีวิตที่ก่อตัวเป็นอสรพิษขนาดจิ๋วค่อยๆ สลายหายไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมเข้มของอาหาร

โจ๊กชามนี้เป็นโจ๊กโลหิตมังกรไม่ใช่โจ๊กที่กินเป็นของหวาน เนื่องจากใส่เนื้อวัวมังกรพเนจรเข้าไปด้วย จึงมีกลิ่นที่ค่อนข้างเค็มของอาหารคาวลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ

โจ๊กที่มีสีแดงเล็กน้อยถูกส่งเข้าปากอวี่เฟิงซึ่งนอนไม่ได้สติอยู่ หลังจากกินเข้าไปสองชามเล็ก สีหน้าของมนุษย์อสรพิษผู้นี้ก็เริ่มดูดีขึ้นมาบ้าง ใบหน้าที่เคยซีดเซียวเหมือนคนตายกลับมามีเลือดฝาดแดงเรื่อขึ้นที่แก้มทั้งสองข้าง

ผลลัพธ์ของอาหารโอสถทิพย์นี้ดีเยี่ยมกว่าครั้งก่อนอยู่มากโข หลังจากที่กินเข้าไปหมดสามชามเล็ก อวี่เฟิงก็พลันลืมตาขึ้นมา รูม่านตาของเขาดูเหมือนมีพลังชีวิตไหลเวียนอยู่ภายใน

พลังปราณระเบิดออกจากร่างอวี่เฟิง พัดเอาอวี่ฝูที่กำลังตักโจ๊กอีกช้อนแทบปลิวกระเด็น

ครืน…

ขณะที่กระแสพลังปราณยังคงปั่นป่วนอยู่ภายในกาย ใบหน้าของอวี่เฟิงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มราวกับว่ากำลังจะมีเลือดไหลทะลักออกมา

จากนั้นเขาก็กระอักของเหลวสีดำออกจากปาก ส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงไปทั่วบริเวณ

ก่อนหน้านี้ปฏิกิริยาตอบรับของอวี่เฟิงไม่ได้ชัดเจนมาก สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเหนือความคาดหมายของปูฟ่างไปพอสมควร แต่ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ตกใจเท่าไร เนื่องจากเป็นสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว

โจ๊กชามนี้เต็มไปด้วยวัตถุดิบที่มีพลังชีวิตปริมาณมาก แค่มงกุฎเลือดก็เพียงพอที่จะทำให้อวี่เฟิงตื่นขึ้นมาได้แล้ว เมื่อใส่ข้าวโลหิตมังกรเข้าไปอีก ฤทธิ์ของอาหารโอสถทิพย์จึงรุนแรงได้ผลชะงัดมากขึ้น

พลังปราณของอวี่เฟิงเพิ่มสูงขึ้นพักหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เสถียร ผมสีดำสนิทเหมือนหมึกของเขาพัดเข้าปะทะใบหน้าตนเอง เหงื่อปนพิษหลั่งไหลออกจากใบหน้า ย้อยลงไปตามสันกราม แล้วตกลงกระทบพื้นในที่สุด

เหงื่อเหล่านี้มีมลทินที่ร่างกายขจัดออกมา พอได้ฟื้นพลังชีวิตแล้ว การเผาผลาญของเขาก็กลับมาทำงานตามเดิมจนกำจัดสิ่งสกปรกออกมาได้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าเขาหายดีแล้ว

“ท่านพ่อ!” อวี่ฝูร้องออกมา นางดีใจมากเสียจนแทบหลั่งน้ำตา การเดินทางเพื่อนำบิดามารักษาในครั้งนี้ช่างแสนอันตราย เต็มไปด้วยความยากลำบากและอุปสรรคจนตัวนางเองเกือบสิ้นชีวิตไปก็หลายต่อหลายครั้ง เมื่อเห็นว่าอวี่เฟิงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง อวี่ฝูก็มีความสุขมากเสียจนรู้สึกว่าชีวิตนี้คงไม่ได้มีความสุขมากเช่นนี้อีกแล้ว

ดวงตาของอวี่เฟิงมีแววลึกล้ำ เขาหันมองบุตรสาวด้วยสายตารักใคร่ ก่อนหันไปพยักหน้าให้อาหนีซึ่งยืนกระสับกระส่ายด้วยความตื่นเต้นอยู่ข้างๆ จากนั้นจึงหันมามองปู้ฟาง

เพียงแค่โบกสะบัดหางของตน อวี่เฟิงก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม มนุษย์อสรพิษจับมือปู้ฟางเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างซาบซึ้งจริงใจ

“ข้าขอบคุณเหลือเกินเถ้าแก่ปู้ ที่ทำอาหารโอสถทิพย์เพื่อช่วยข้า หนี้ชีวิตนี้ข้าอวี่เฟิงจะไม่มีวันลืมเลย”

ปู้ฟางหรี่ตามองมนุษย์อสรพิษตรงหน้าที่กลับมาเป็นปกติอีกครั้งหลังจากกินอาหารโอสถทิพย์เข้าไป เขารับคำขอบคุณของอวี่เฟิงด้วยความยินดีปรีดา

“ยังเหลือโจ๊กโลหิตมังกรอยู่อีกชามหนึ่งตรงนั้น พอกินหมดอาการบาดเจ็บของเจ้าจะหายเป็นปลิดทิ้ง” ปู้ฟางเอ่ย

อวี่เฟิงพยักหน้ารับ เขาเอ่ยขอบคุณปูฟ่างอีกครั้ง จากนั้นก็ค่อยๆ กินโจ๊กจนหมดชาม

โจ๊กชามนี้มีฤทธิ์เป็นยาและเต็มไปด้วยพลังชีวิตปริมาณมาก ทั้งยังมีรสชาติอร่อยล้ำที่หาได้ยากยิ่ง อวี่เฟิงกินโจ๊กหมดชามด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ เกือบจะกลืนลิ้นตนเองลงท้องเข้าไปด้วยขณะซดโจ๊กคำสุดท้ายเข้าปาก

“ความสามารถในการทำอาหารของเถ้าแก่ปู้นั้นยอดเยี่ยมยากหาผู้ใดเทียบเทียมในปฐพี ข้าขอขอบคุณท่านอีกครั้งที่ช่วยข้า ข้าไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนน้ำใจอันแสนยิ่งใหญ่ของท่านอย่างไรดี!” อวี่เฟิงมองลึกลงไปในดวงตาของปู้ฟาง

แต่ปู้ฟางกลับโบกมือแสดงออกว่าไม่จำเป็น “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้ข้า ดอกบัวประมุขน้ำแข็งที่ข้าได้มานั้นก็มาจากเผ่าของเจ้า ข้าสัญญากับผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าเจ้าไว้ว่าจะช่วยชีวิตเจ้า เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นการแลกที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว ไม่ต้องคิดตอบแทนอะไรอีก”

แม้จะได้ยินเช่นนั้น แต่อวี่เฟิงเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าดอกบัวประมุขน้ำแข็งนั้นเทียบไม่ได้กับการช่วยชีวิตของเขาแม้แต่น้อย ถึงดอกบัวจะเป็นวัตถุดิบล้ำค่า แต่อวี่เฟิงก็รู้ดีว่าโจ๊กชามที่เขาเพิ่งกินเข้าไปมีวัตถุดิบที่ล้ำค่าเทียบเคียงดอกบัวประมุขน้ำแข็งอยู่อย่างน้อยสองชนิดด้วยกัน

“เถ้าแก่ปู้ หากท่านไม่ว่าอะไร…พอจะเป็นไปได้หรือไม่ที่ข้าจะทำหน้าที่เป็นองครักษ์ปกป้องร้านท่าน เมืองที่ใหญ่โตอย่างนครหลวงนี้เถ้าแก่ปู้คงทำมาค้าขายลำบากไม่น้อย…แม้ตัวข้าจะไม่ได้มีเคล็ดวิชามากมาย แต่ขั้นปราณก็จัดว่าใช้ได้อยู่…” อวี่เฟิงเสนอออกมาหลังจากคิดอยู่สักพัก การที่เขาผู้ซึ่งเป็นถึงขั้นนักพรตยุทธการจากเผ่ามนุษย์อสรพิษมาเสนอตัวทำหน้าที่เป็นองครักษ์ให้พ่อครัวนั้น น่าจะมากพอตอบแทนบุญคุณได้

เมื่อได้ยินข้อเสนอนั้น อวี่ฝูและอาหนีก็มีสีหน้าสนใจใคร่รู้ทันที

ปู้ฟางได้แต่อึ้งไป ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร…

“ไม่เป็นไร…ไม่ต้องมาเป็นองครักษ์อะไรนั่นหรอก…ข้าว่า…”

“เถ้าแก่ปู้ไม่ชอบข้อเสนอนี้หรือ แม้พลังปราณของข้าจะไม่ได้จัดว่าอยู่ในอันดับสูงในนครหลวงของมนุษย์อสรพิษ แต่ก็น่าจะเอาชนะผู้ฝึกตนในนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วได้ไม่ยาก…” อวี่เฟิงประกาศด้วยความมั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยม

อวี่ฝูและอาหนีอดกลอกตาใส่อีกฝ่ายไม่ได้

เขาคิดว่าตนเองเป็นใครกัน ร้านอาหารของเถ้าแก่ปูนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว…แล้วก็เป็นร้านอาหารเล็กๆ ซึ่งดูไม่มีพิษไม่มีภัยนี้เอง ที่ทำให้นครหลวงตกอยู่ในความโกลาหลอยู่ทุกวันนี้…

มีขั้นนักพรตยุทธการหลายต่อหลายคนพยายามสืบเสาะหาความลับของร้านอาหารแห่งนี้ ทั้งยังมีผู้ฝึกตนไม่น้อยที่อดทนไม่ไหวจนมาวางมวยหาเรื่องร้านอาหารนี้เข้า แล้วดูสิว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร

ร้านก็ยังคงเปิดทำการตามปกติอย่างสุขเกษมสำราญทุกวันอย่างไรเล่า

ร้านนี้ไม่ได้ต้องการให้ใครมาคุ้มครองแม้แต่น้อย…โดยเฉพาะจากอวี่เฟิง

“ร้านของเรามีคนคอยรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องห่วงไป หากเจ้าหายดีแล้วข้าก็ถือว่าตนเองทำตามที่เคยสัญญาไว้ได้ลุล่วง อีกอย่างร้านเราก็ได้เวลาปิดแล้วด้วย ถึงเวลาที่ข้าจะปิดร้านเสียที…ทุกคน ข้าขอส่งแค่นี้ก็แล้วกัน…” ปู้ฟางตอบด้วยสีหน้าตายด้าน ไม่อยากเสียเวลากับเรื่องนี้อีกต่อไป

ในร้านของเขานั้นมีเจ้าขาวคอยคุ้มกันอยู่แล้ว ส่วนนอกร้านก็มีเจ้าสุนัขอ้วน…เอ่อ หมายถึงท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้น เมื่อเทียบกับสองสิ่งที่เขามีอยู่ ขั้นนักพรตยุทธการก็เป็นได้แค่เด็กเล่นขายขนม…

“เอาละ ในเมื่อเถ้าแก่ปู้ไม่ต้องการความช่วยเหลือของข้า ข้าก็จะไม่ดื้อดึง แต่ข้าจะอยู่ที่นครหลวงอีกหนึ่งปี หากร้านนี้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบ…ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยท่าน หากเถ้าแก่ปูต้องการความช่วยเหลือ ขอเพียงแค่บอกข้ามา” พอพูดจบ อวี่เฟิงก็ออกจากร้านไปพร้อมอาหนีและอวี่ฝูโดยไม่แม้แต่จะรอคำตอบจากปู้ฟาง

ชายหนุ่มมองทั้งสามจากไปด้วยสีหน้าประหลาด

“มนุษย์อสรพิษตนนั้น…เหตุใดจึงดื้อแพ่งถึงเพียงนี้ หรือเป็นเพราะข้าพูดจาอ้อมค้อมเกินไป เฮ้อ…หากข้ารู้ว่าสุดท้ายจะกลายเป็นเช่นนี้ ข้าคงพูดไปตรงๆ แล้วว่าแค่ขั้นนักพรตยุทธการ…ยังไม่ดีพอที่จะมาเป็นองครักษ์ให้ร้านนี้หรอก”

ปู้ฟางเม้มปาก อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตนเองเล็กน้อย จากนั้นก็ยกไม้กระดานปิดทางเข้า แล้วจัดการเก็บกวาดถ้วยชามก่อนเดินกลับเข้าครัวไปเพื่อฝึกทำอาหารสองสามรายการ พอเสร็จครบทุกอย่างชายหนุ่มก็เดินขึ้นห้องไปพักผ่อนหย่อนใจ

ในบริเวณห้องอาหาร ต้นตื่นรู้ทางห้าสายปล่อยกลิ่นเข้มขึ้นกว่าเดิม ดูเหมือนว่าต้นไม้ต้นนี้กำลังเจริญงอกงามขึ้นอย่างดี

“อวี่ฝู…ใครกันที่ทำร้ายเจ้าหนักขนาดนี้” ขณะที่อวี่เฟิงกำลังเลื้อยออกจากตรอก ใบหน้าของเขาก็ถมึงทึงขึ้นเมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของอาหนีและอวี่ฝู

เขาอยากจะถามคำถามนี้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในร้านแล้ว แต่เกรงใจเถ้าแก่ปู้จึงไม่ได้พูดอะไร ทว่าตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้นอีกต่อไป

อวี่ฝูคือบุตรสาวคนเดียวของเขา.. ทว่าวันนี้เนื้อตัวของนางกลับเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ดูเหมือนว่าระหว่างที่เขาหมดสติไปจะเกิดเรื่องขึ้นไม่น้อยเลย

เมื่อได้ยินคำถามนี้ อาหนีก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนี้อวี่เฟิงหายดีแล้ว ชายหนุ่มจึงรู้สึกราวกับว่าตนเองมีที่พึ่งมากขึ้นในนครหลวงที่เต็มไปด้วยขั้นนักพรตยุทธการแห่งนี้

อาหนีเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดตอนที่อวี่เฟิงหมดสติอยู่ รวมถึงตอนที่อวี่ฝูถูกเจ้ามู่เฉิงจับตัวไปทรมานให้อีกฝ่ายฟัง ทั้งยังเล่าถึงตอนที่ตนไปให้คำมั่นสัญญากับอู๋อวิ๋นไป่เอาไว้ เพื่อแลกกับการให้นางบุกเข้าไปช่วยอวี่เฟิงและอวี่ฝูออกมา

“ไอ้แก่ชาติชั่วสารเลวนั่น! กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายลูกสาวข้า…เห็นทีจะปล่อยให้หายใจต่อไปไม่ได้เสียแล้ว!” พอได้ยินเรื่องราวทั้งหมด แรงสังหารก็กระจายออกจากดวงตาของอวี่เฟิงทันที แสงสว่างเจิดจ้าวาบขึ้น จากนั้นหอกสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุมาอยู่ในมือของเขา ไอกระหายเลือดพลันระเบิดออกมาจากหอกสีดำน่ากลัวนั้น

“อาหนี จงพาข้าไปหาไอ้เลวนั่น ข้าสาบานต่อหน้าฟ้าดินว่าข้าจะเสียบมันให้พรุนด้วยหอกนี่!” อวี่เฟิงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว

แต่อาหนีรู้ดีว่าที่พำนักของเจ้ามู่เฉิงนั้นน่ากลัวเพียงใด แม้แต่ขั้นนักพรตยุทธการสองคนอย่างอูอวิ๋นไป๋และอาอู่อาจารย์อาอู่ยังแทบเอาชีวิตไม่รอด ไม่ว่าอวี่เฟิงจะแข็งแกร่งเพียงใด การบุกเข้าไปในนั้นสุ่มสี่สุ่มห้ามีแต่จะรนหาที่ตายเสียมากกว่า

ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยายามพูดให้อวี่เฟิงใจเย็นลงแทน จากนั้นจึงเสนอว่าพวกเขาควรไปเยี่ยมอูอวิ๋นไป๋ก่อน อวี่เฟิงที่ใจเย็นลงแล้วพยักหน้าตกลง เขารู้ดีว่าทางเลือกใดเป็นทางเลือกที่รอบคอบกว่า แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเพิ่มเจ้ามู่เฉิงเข้าไปในรายชื่อของคนที่ต้องสังหารให้จงได้

“อ้อ ใช่ อาหนี เจ้าลองไปหาเช่าโรงเตี๊ยมแถวๆ ร้านเถ้าแก่ปู้นะ เราจะอยู่ที่นี่กันสักปีหนึ่ง ข้าให้คำมั่นกับเถ้าแก่ปู้เอาไว้แล้ว ข้าต้องรักษาคำพูด” หลังจากที่คิดอยู่สักพักอวี่เฟิงก็ยื่นผลึกให้อาหนี

อาหนีรับผลึกมาด้วยสีหน้างุนงง ดูไม่ได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย

“หือ เอ่อ…”