ตอนที่ 683 โอรสหยินสวรรค์

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

สีหน้าของเทพผู้เฒ่าบิดเบี้ยว และเขาคิดจะหนี แต่ทว่า เขารีบหยุดทันทีเมื่อเห็นฉินมู่เขย่าบันทึกเป็นตายในมือ เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่าม

ฉินมู่ยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่ว่าบันทึกเป็นตายของข่มพวกเปรตโดยเฉพาะ

“เจ้าบอกว่าพวกเราคือเปรต นั่นก็ไม่ผิด”

เทพผู้เฒ่าเอ่ยปากในที่สุด และเขาก็หัวเราะในคอ “ความเป็นมาของโลกหยินสวรรค์ดึกดำบรรพ์เป็นอย่างยิ่ง และมันก็ย้อนกลับไปได้ถึงเริ่มกำเนิดฟ้าดิน เมื่อแดนใต้พิภพและแดนปริศนากำเนิดขึ้นมา โลกหยินสวรรค์ก็ถือกำเนิดขึ้นเช่นกัน ก่อนจะมีพวกที่เรียกกันว่ามนุษย์ เทพบรรพกาลได้ปกครองจักรวาลแห่งนี้ และพวกเขาก็ก่อตั้งสภาสวรรค์แห่งเทพบรรพกาล เทพีหยินสวรรค์เป็นหนึ่งในเทพบรรพกาล”

ฉินมู่สะท้านหัวใจอย่างรุนแรง แต่เขากล่าวด้วยสีหน้าอันเยือกเย็น “ถ้าอย่างนั้นเทพีหยินสวรรค์ก็ไม่ต่างอะไรกับภูติบดีและเทพสรรพชีวิตสินะ พวกเขาล้วนแต่เป็นเทพเจ้าที่เกิดจากฟ้าดิน”

เทพผู้เฒ่าส่ายหัวและกล่าว “เทพีหยินสวรรค์ต้อยต่ำกว่าสองเทพบรรพกาลนั้นมาก โลกหยินสวรรค์เป็นเพียงความมืดกระผีกหนึ่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเทพสรรพชีวิต แต่ทว่านั่นก็ยังเป็นข้อได้เปรียบของโลกหยินสวรรค์ คือมันไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับบัญชาของเทพสรรพชีวิต เทพสรรพชีวิตและภูติบดี ทั้งสองต่างไม่มีใครสามารถมาที่นี่ได้ และนั่นก็หมายความว่า…”

ฉินมู่กล่าว “นั่นหมายความว่า สิ่งที่มีชีวิตที่อาศัยในโลกหยินสวรรค์ ดวงวิญญาณของพวกเขาจะไม่ตกลงไปในแดนใต้พิภพ พวกเขาจึงเป็นอมตะ ข้าอนุมานถูกหรือไม่”

เทพผู้เฒ่าหัวเราะด้วยเสียงอันดัง แต่ไม่ใช่เสียงหัวเราะที่มาจากใจ เขาดูเหมือนจะหัวเราะเพื่อจะได้หัวเราะเท่านั้น เขาส่ายหัวและกล่าว “อมตะ? ฮี่ๆ ฝันไปเถอะ แต่ทว่า ความอมตะในโลกหยินสวรรค์นั้นไม่เหมือนกับที่เจ้าจินตนาการเอาไว้ ดวงวิญญาณของพวกเราไม่มีวันตายก็จริง แต่นี่ทำให้ยิ่งมีดวงวิญญาณสะสมพอกพูนมากขึ้นทุกทีเมื่อร่างเนื้อตายลงไป หากว่าเป็นเทพเจ้าก็ยังพอทำเนา ในเมื่อพวกเขาสามารถรักษากายเนื้อไม่ให้ตายลงไปได้ แต่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ล่ะ? พวกเขามากมายได้ตายลงไป”

ฉินมู่ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “หากว่ามีสิ่งมีชีวิตตายไปมากขึ้นเรื่อยๆ สถานที่นี้จะไม่กลายเป็นแดนใต้พิภพอีกแห่งหรือ”

“อย่างที่ข้าบอก โลกหยินสวรรค์มิได้อยู่ภายใต้กำกับดูแลของภูติบดี ภูติบดีไม่อาจควบคุมบัญชาสถานที่แห่งนี้ได้ งั้นทำไมมันจะกลายเป็นแดนใต้พิภพล่ะ”

เทพผู้เฒ่าส่ายหัวและกล่าว “สถานที่นี้ไม่มีวันกลายเป็นแดนใต้พิภพ ไม่ว่าภูติบดีหรือเทพสรรพชีวิต ที่นี่คือจุดบอดสายตาของพวกเขา สถานที่ที่พวกเขาไม่มีทางย่างเท้าเข้ามาได้ แต่ทว่า เมื่อมีดวงวิญญาณสะสมในโลกหยินสวรรค์มากเกินไป ดวงวิญญาณก่อเริ่มก่อความวุ่นวาย คนตายจะทนดูคนเป็นมีความสุขรื่นเริงได้อย่างไร ดังนั้นสงครามระหว่างคนเป็นและคนตายจึงปะทุขึ้นมา”

ฉินมู่ฉงนฉงาย “ดวงวิญญาณจะต่อสู้กับคนเป็นได้อย่างไร ผู้คนที่มีกายเนื้อและดวงวิญญาณย่อมแข็งแกร่งกว่าดวงวิญญาณเพียงอย่างเดียว ดวงวิญญาณของคนตายไม่มีวันเอาชนะมนุษย์เป็นๆ ได้”

เทพผู้เฒ่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ทว่า กายเนื้อก็ยังคงมีวันที่มันแห้งเหี่ยวไป ส่วนดวงวิญญาณในโลกหยินสวรรค์นั้นไม่มีวันตาย แม้แต่เทพเจ้าก็ไม่อาจทำลายล้างดวงวิญญาณในโลกหยินสวรรค์ไปได้โดยสิ้นเชิง แม้ดวงวิญญาณถูกบดขยี้ไป พวกเขาก็ไม่หายไปเลยสักนิด ในการต่อสู้ระหว่างมนุษย์และภูตผี มีดวงวิญญาณแตกสลายมากเกินไป และดวงวิญญาณเหล่านั้น ในที่สุดก็กลายเป็นทรายดำ”

ดวงตาของเขาพลันกลายเป็นดำทั้งลูกตา มันเหมือนกับทรายสีดำอันละเอียดอย่างถึงที่สุด

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนเป็น เขาคือสัตว์ประหลาดพิลึกกึกกือที่ก่อขึ้นมาจากทรายดำเข้าไปยึดครองผืนหนังมนุษย์

“ทรายดำพวกนี้คือดวงวิญญาณที่แตกสลายของพวกเรา” เทพผู้เฒ่าเผยรอยยิ้มประหลาด “เพราะว่าพวกเราแหลกสลายจนเกินไป จึงไม่มีใครมองเห็ได้ชัด ไม่มีใครแตะต้องพวกเราได้ เจ้าเป็นกรณีหายากที่สามารถมองเห็นพวกเรา หลังจากที่พวกเราได้รับกายเนื้อผืนหนังมา พวกเราก็จะหิวโหย และนี่เป็นความหิวแสบขาดไส้เกินจะทานทน อันทำให้พวกเราบ้าคลั่งหาอาหาร ดังนั้น พวกเราจึงเริ่มกิน”

เขาไม่ได้บอกเล่าประวัติศาสตร์นี้ และเพียงแต่กล่าว “ไม่นานนัก คนเป็นในโลกหยินสวรรค์ทั้งหมดก็ถูกพวกเรากินไป”

ฉินมู่รู้สึกขนหัวลุกเต็มเหยียด และแม้ว่าเทพผู้เฒ่าจะไม่บรรยายช่วงประวัติศาสตร์นี้ แต่เขาก็จินตนาการได้ว่าความโกลาหลนั้นน่าสยดสยองแค่ไหน

“ถ้าอย่างนั้น เทพีหยินสวรรค์อยู่ที่ไหน”

ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ทำไมเทพีหยินสวรรค์ถึงไม่ยับยั้งพวกเจ้า”

เทพผู้เฒ่าไม่ตอบ และเล่าต่อ “เมื่อพวกเรากินไปและกินไป พวกเราก็ตระหนักว่าไม่เหลือคนเป็นๆ ในโลกหยินสวรรค์อีกต่อไป ดังนั้นพวกเราจึงเริ่มกัดกินตนเอง พวกเรากินเลือดและเนื้อของร่างกาย พวกเรากินกระดูก กินทักษะเทวะ และกินจิตวิญญาณดั้งเดิม ในท้ายที่สุด ทุกคนก็เหลือแต่ผืนหนัง พวกเราหิวจนเกินไป ดังนั้นพวกเราจึงจับจ้องไปที่เทพีหยินสวรรค์…”

ฉินมู่ตัวสั่นเทิ้ม เมื่อเทพผู้เฒ่ากล่าวเช่นนั้น เขาพูดเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา และสันดานมารในน้ำเสียงของเขาทำให้ฉินมู่รู้สึกหวาดกลัว

เทพผู้เฒ่ากล่าว “พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเทพีหยินสวรรค์ แต่โชคดีที่ว่า พวกเรามีจำนวนคนมากมาย แต่ถึงกระนั้น แม้ว่ามีคนมากมาย ก็ไม่มีใครกัดเทพีหยินสวรรค์ได้ นางฟาดทุบพวกเราอย่างหนักหน่วง แต่พวกเราไม่มีวันตาย! พวกเราคือดวงวิญญาณที่แหลกสลายไปแล้ว และไม่มีทางแหลกไปได้มากกว่านี้ นางไม่อาจสังหารพวกเรา และพวกเราก็กินนางไม่ได้ นี่ดำเนินไปจนกระทั่งวันหนึ่ง มีอาคันตุกะมาจากโลกภายนอก อาคันตุกะที่เหมือนกับเจ้าผู้ที่สามารถมองเห็นพวกเรา ได้ยินพวกเรา และสัมผัสพวกเรา เขาถึงกับสามารถทำร้ายพวกเราได้”

เขาหัวเราะในคอและกล่าว “พวกเราร่วมมือกับอาคันตุกะจากภายนอก และดังนั้น พวกเราก็กินเทพีหยินสวรรค์ได้ในที่สุด หลังจากที่พวกเรากินนางไปแล้ว ก็ไม่มีอย่างอื่นเหลือให้กินอีกในโลกหยินสวรรค์ แต่ทว่า พวกเราก็ยังหิวโหย…”

เขาเม้มปากราวกับว่ากำลังจินตนาการถึงสิ่งเอร็ดอร่อย

“กินเทพีหยินสวรรค์?”

ฉินมุ่ตัวสั่นเทา และหรี่ตาพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หรือว่าอาคันตุกะผู้นี้จะเป็นจักรพรรดิดำแดนบาดาล”

“พวกเจ้าเรียกเขาว่าจักรพรรดิดำแดนบาดาลหรือ?”

เทพผู้เฒ่าส่ายหัวและกล่าว “ที่นี่ พวกเราไม่เรียกเขาอย่างนั้น พวกเราเรียกเขาว่าโอรสหยินสวรรค์”

ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย “โอรสหยินสวรรค์? โอรสสวรรค์แห่งโลกหยินสวรรค์?”

ผู้เฒ่าผงกหัวและกล่าว “แม้ว่าเทพีหยินสวรรค์จะเป็นเทพบรรพกาลที่ถือกำเนิดมาจากโลกหยินสวรรค์ พวกนางก็กำราบพวกเราไม่ได้เพราะข้อจำกัดเหนี่ยวรั้งของเต๋าอันยิ่งใหญ่ ในอีกฟากนั้น โอรสหยินสวรรค์มีเวทมนตร์แปลกประหลาดที่สามารถกำราบพวกเรา และดังนั้นพวกเราจึงติดตามเขาไปสู้ศึกทุกสารทิศ ได้ผ่านพ้นยุคสมัยแต่ละยุคสมัย หลังจากนั้น เขาก็สร้างแดนบาดาล และบันทึกเป็นตายในมือของเจ้าก็คือสมบัติวิเศษของเขา ดังนั้นเจ้าจึงมีความสามารถที่จะตอบโต้พวกเราได้ ในเมื่อเจ้าเป็นหนึ่งในพวกเรา…”

“หนึ่งในพวกเจ้า?”

ฉินมู่หัวเราะเบาๆ และยกบันทึกเป็นตายส่องไปที่เขา

สีหน้าของเทพผู้เฒ่าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง หวีดร้องเสียงแหลมเมื่อควันดำพวยพุ่งออกจากทวารทั้งห้าของเขา ทำให้เขาเหี่ยวแฟบลงไปอย่างรวดเร็ว

ฉินมู่นั่งลงกับบัลลังก์และเอนกายไปข้างหน้าด้วยแขนหนึ่งที่เท้าคางของตนเอาไว้ เขาจมลงไปในความคิด

จักรพรรดิดำแดนบาดาลและโอรสหยินสวรรค์ การรุกรานแห่งความมืดมาจากทรายดำที่เกิดขึ้นมาจากดวงวิญญาณแตกสลาย สัตว์ประหลาดในความมืดที่แท้ก็คือหนังมนุษย์ และในหนังมนุษย์คือดวงวิญญาณแตกสลายของผีสาง

โอรสหยินสวรรค์ได้เชื่อมต่อโลกหยินสวรรค์และแดนโบราณวินาศ ทำให้ทรายดำแห่งโลกหยินสวรรค์รุกรานเข้ามาในแดนโบราณวินาศ สัตว์ประหลาดในทรายพวกนี้ รวมทั้งทรายดำด้วย ต่างก็หวาดกลัวแสงจากเทพเจ้า ดังนั้นเมื่อเทพเจ้าเข้ามาในแดนโบราณวินาศ ความมืดก็ไม่กล้ากล้ำกราย

แต่ทว่า ยังมีบางอย่างที่ผิดไปอยู่ มันคือใบหน้าในความมืด ครั้งหนึ่งข้าเคยเห็นใบหน้าของมารเทวะรุกรานเข้ามาพร้อมกับความมืดในด่านเทพธิดา และพวกมันก็ถูกขัดขวางเอาไว้โดยเทพศาสตราของเทพธิดาทั้งหลายที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งในแดนโบราณวินาศ งั้นมารเทวะในความมืดพวกนั้นมันมาจากที่ไหน

เขามองไปยังเมืองอันเต็มไปด้วยผืนหนัง แม้ว่าเปรตเหล่านี้จะสามารถเคลื่อนที่ไปได้เร็วปานสายฟ้าในความมืด แต่กำลังฝีมือของพวกมันไม่ลึกล้ำ เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่ใช่มารเทวะในความมืด

ที่น่าแปลกก็คือ มารเทวะในความมืดพวกนั้นก็ไปและมาพร้อมกับความมืด เมื่อฟ้าสว่างขึ้นมา ก็ไม่มีร่องรอยหลงเหลือ

เทพผู้เฒ่ามิได้ตอบปัญหานี้แก่เขา

ฉินมู่นั่งบนบัลลังก์ ศักดิ์ฐานะของเทพผู้เฒ่าในโลกหยินสวรรค์คงไม่ต่ำต้อย และในเมื่อเขาสามารถอธิบายประวัติศาสตร์ของโลกหยินสวรรค์ได้ นั่นก็หมายความว่าเขาได้ร่วมศึกการต่อสู้ระหว่างโอรสหยินสวรรค์และเทพีหยินสวรรค์

และจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่เคยถูกฉีกทำลายมาก่อน ดังนั้นจึงยังคงรักษาความทรงจำเอาไว้ได้

หลังจากที่ฉินมู่ใช้บันทึกเป็นตาย ก็พบว่าแม้เขาจะก่อขึ้นมาจากอนุภาควิญญาณนับไม่ถ้วน แต่ผืนหนังของเขาก็ยังคงมีชื่ออยู่ อนุภาควิญญาณเหล่านั้นมิได้เป็นของผืนหนัง และพวกมันก็ย่อมถูกขับไล่ออกไปหลังจากถูกบันทึกเป็นตายฉายส่อง

มันเท่ากับว่าฉินมู่ได้สังหารพวกเขาไปอีกครั้ง

แม้ว่าทรายดำจะไหลกลับเข้าไปในผืนหนังอีกครั้ง พวกเขาก็ไม่รู้ตัวว่าพวกเขาคือใครอีกต่อไป

ฤทธิ์เดชของบันทึกเป็นตายนี้น่าแตกตื่นจริงๆ จักรพรรดิดำแดนบาดาล ใช่สิ โอรสหยินสวรรค์แดนบาดาล เขาจะต้องเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานอย่างแน่นอน ถึงสามารถสร้างสมบัติวิเศษเช่นนี้ขึ้นมาได้

ขณะที่เขาคิดอยู่ถึงตรงนี้ เสียงแสกสากก็ดังมา และฉินมู่ก็สะท้านใจเล็กน้อย ฉินมู่เงยศีรษะและเห็นเทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งที่ได้นำทางเขามาที่นี่ เขากำลังยืนอยู่บนสะพานและกวักมือเรียกเขา

ฉินมู่สะท้านใจเล็กน้อย และเขาหวนระลึกรายละเอียด เทพตนนี้มิได้อยู่ท่ามกลางเทพทั้งหลายที่โหวกเหวกจะกินเขา

หรือว่าเขายังมีความทรงจำอยู่ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรกัน

ฉินมู่รีบลุกขึ้น และด้วยก้าวไปไม่กี่ก้าว เขาก็ไปถึงสะพาน ข้างใต้สะพานยาวนั้นเป็นน้ำที่กำลังกระเพื่อมและเหยียดยาวออกไปจากเมืองน้อย สะพานนี้พาดข้ามแม่น้ำ และอีกฟากของสะพานได้หายลับไปในสีเทาอันไพศาลอีกฝั่งหนึ่ง

เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งเห็นเขาเดินตามมา ก็เลยเดินต่อไปข้างหน้า ฉินมู่รีบติดตามเขาไปบนสะพาน

เมื่อพวกเขาจากไป ทรายดำก็รวบรวมกลับเข้ามาในเมือง และพวกมันก็มุดเข้าไปในทวารทั้งหลายของผืนหนังบนพื้น ไม่นาน เทพเจ้ามากมายก็ลุกขึ้นยืน พวกเขาดูแจ่มชัดมีชีวิตชีวา เดินไปมาในเมืองน้อยโดยที่จดจำไม่ได้ว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น

ความยาวของสะพานนี้ทำให้ฉินมู่ประหวั่นพรั่นพรึง สะพานยาวเคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ และแม้แต่หลังเข้าไปในความมืดแล้ว มันก็ยังไม่ขาดออกไป และยังเหยียดยาวทอดเหนือทะเลสาบ

ทะเลสาบข้างล่างไม่น่าจะเรียกทะเลสาบ มันเหมาะจะเรียกว่ามหาสมุทรเสียมากกว่า มันก็มีสีสันอันมืดทึบขมุกขมัวด้วยเช่นกัน

ฉินมู่วิ่งตะบึงตามเขาไปเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไปไม่ถึงปลายทางเสียที เขาพลันหยุดลงและกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ผู้อาวุโส ทำไมท่านถึงนำทางข้ามา ทำไมท่านไม่พูดออกมาตรงๆ เลยล่ะ เมื่อครู่เทพผู้เฒ่ายังพูดจาได้เลย ท่านก็น่าจะพูดได้เช่นกัน ใช่หรือไม่”

ในโลกสีเทา เทพเจ้านั้นหยุดและหันกลับมามองเขาด้วยดวงตาอันว่างเปล่า อีกอึดใจถัดมา เขาก็ถอดเสื้อผ้าบนร่างกาย

ฉินมู่ตกตะลึงและก้าวเข้าไปเพื่อตรวจตราดูหน้าอกของเขา เขาเห็นรอยอักษรรูนแปลกประหลาดที่ประทับตราอยู่บนร่างของเทพเจ้า

อักษรรูนอันซับซ้อนและเล็กละเอียดอย่างที่ถึงที่สุดก่อขึ้นมาเป็นวงจร และวงจรเหล่านั้นก็ก่อขึ้นมาเป็นถ้อยคำ

คำว่า ‘ปิด’

ตรงหน้าอกของเขาและที่หลัง ล้วนแต่เต็มไปด้วยคำว่า ‘ปิด’!

วิชามารฟ้าเสกสรร นี่เป็นฝีมือของนักบุญคนตัดไม้

ฉินมู่ตกตะลึง และพลันหลั่งน้ำตา เขาเผยยิ้มและกล่าว “ผู้อาวุโส นั่นเพียงพอแล้ว พวกเราไปต่อกันเถอะ”

เทพสมัยจักรพรรดิก่อตั้งสวมใส่เสื้อผ้ากลับ และเดินต่อไปข้างหน้า

คำว่า ‘ปิด’ เป็นร่องรอยที่เหลือจากวิชามารฟ้าเสกสรร และนักบุญคนตัดไม้ได้ใช้วิชามารฟ้าเสกสรรเพื่อตรึงดวงวิญญาณของเขาเอาไว้ในผืนหนัง เปรตทั้งหลายไม่กินหนัง ดังนั้นเขาจึงสามารถรักษาดวงวิญญาณและความทรงจำเดิมเอาไว้ได้

แต่ทว่ากายเนื้อของเขาย่อมไม่อาจรอดไป เขาจึงถูกผีเปรตกินไปจนหมด

สาเหตุที่ฉินมู่หลั่งน้ำตานั้นก็ด้วยความยกย่องนับถือ มันทำให้เขาสะเทือนใจ และเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ

เทพยุคจักรพรรดิก่อตั้งผู้นี้รู้ว่าเมื่อเขาเข้ามาในโลกหยินสวรรค์ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่เขาก็ยังคงตระเวนเข้ามาโดยไม่มีความคิดเป็นอื่น เพื่อแสวงหาความจริงเกี่ยวกับความมืด