บทที่ 797 ความทะเยอทะยานของค่ายอันลึกลับ

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 797 ความทะเยอทะยานของค่ายอันลึกลับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ในวินาทีนั้น เธอยื่นหน้ามาใกล้ฉัน แล้วจู่ๆ ก็อ้าปากกว้าง…ฉันเห็นข้างในปากเธอเต็มๆ ตาเลย ด้านหลังซี่ฟันแหลมคมมากมายพวกนั้น มีลิ้นที่เหลือครึ่งเดียวกำลังขยับไปมาอยู่ตรงนั้น…และในลำคอของเธอ ก็มีใบหน้าหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะเป็นใบหน้าของมนุษย์ผู้ชายที่สวมมงกุฎไว้…ผู้ชายคนนั้นก็อ้าปากถามฉันว่า เขาเป็นใคร?!”

เล่ามาถึงตรงนี้ จู่ๆ สวี่ซูหานก็ชะงักหยุด จากนั้นก็สูดปากอยากหวาดกลัว…

“พอจะเข้าใจแล้วล่ะ…ถ้าอย่างนั้น คนที่ตั้งคำถามก็เป็นหวังหลิ่นสินะ? หลังจากที่เธอล่อสวี่ซูหานมาถึงชั้น 5 ตัวเธอก็เข้าไปในห้องเก็บเสบียงที่ชายขอบตาคล้ำอยู่ แล้วบอกให้ชายขอบตาคล้ำดึงสวี่ซูหานเข้าไปในโลกมายา…ทว่าเด็กสาวที่ปรากฏตัวเป็นคนแรกถามเพียงชื่อแซ่ แต่กลับไม่สามารถมั่นใจได้ว่า ‘หลิงม่อ’ คนนั้นจะใช่เราหรือไม่ ดังนั้นพวกเขาก็เลยดำเนินการแผนต่อ และเปลี่ยนวิธีการล้วงข้อมูลจากสวี่ซูหาน…”

หลิงม่อคิดในใน ขณะเดียวก็ถามว่า “แล้วเธอตอบไปว่ายังไง?”

“ตอนนั้นเธออยู่ใกล้ฉันมากจริงๆ แถมปากของเธอก็น่ากลัวมากด้วย…พอถูกพวกเขาสองคนตะคอกใส่อย่างนั้น หัวใจของฉันก็แทบจะหลุดออกมา…” พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ สวี่ซูหานก็ทำหน้าเหมือนอายๆ “ไม่รู้เพราะอะไร ฉันยื่นมือไปดึงผมเธอ แล้วกระชากเข้ามาเฉยเลย…”

“เอิ่ม…เธอหมายถึง เธอโจมตีนางเงือก?” หลิงม่อถามอย่างตกตะลึง

สวี่ซูหานพยักหน้า แล้วบอกว่า “ใช่แล้ว…ฉันกระชากเธอให้เข้ามาในตะกร้า เธอกรีดร้องเสียงแหลมพร้อมกับดิ้นขัดขืน ฉันก็เลยกัดหางของเธอซะ…เพราะถึงอย่างไรร่างกายท่อนล่างของเธอก็เป็นปลา ฉันก็เลยคิดว่ามันน่าจะกินได้…”

“ตามทฤษฎีมันก็อย่างนั้นแหละ แต่ว่า…”

หลิงม่ออดยกมือขึ้นปาดเหงื่อไม่ได้ ความคิดอย่างนี้…คงจะมีแต่ซอมบี้เท่านั้นแหละที่คิดได้…

ถึงแม้นางเงือกจะเป็นร่างมายา แต่เนื่องจากสวี่ซูหานได้คิดว่ามันเป็นของจริง ดังนั้นเมื่อเธอโจมตี เธอก็จะสัมผัสถูกร่างของอีกฝ่ายจริงๆ และนั่นก็ทำให้เธอเกิดความรู้สึกเหมือนกัดโดนแล้วจริงๆ และความรู้สึกสมจริงนี้ ก็ไปกระตุ้นความคลุ้มคลั่งและความโหดร้ายตามสัญชาตญาณของเธอเข้า เหตุการณ์ต่อจากนั้นคงไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง…

ตามคาด สวี่ซูหานเล่าต่อว่า “พอฉันกัดครั้งต่อไป ก็เหมือนจะมีเลือดไหลออกมาด้วยนะ ฉันก็เลยคิดว่ากินหางปลาของเธอเพื่อแก้ขัดไปก่อนแล้วกัน…แต่เธอขัดขืนรุนแรงมาก จนทำให้ตะกร้าพลิกคว่ำ แล้วพวกเราก็ตกลงไปในน้ำด้วยกัน…”

“เจ้าขอบตาคล้ำนั่นคงไม่คิดว่าเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้สินะ…ที่นางเงือกน่ากลัวขนาดนั้น เป็นเพราะความล้มเหลวของเด็กสาวคนแรก เขาต้องไม่เชื่อแน่ว่าสวี่ซูหานจะบอกรูปร่างหน้าตาของเราออกมาไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนั้น เขาจึงคิดว่าสาเหตุที่สวี่ซูหานปิดปากเงียบ เป็นเพราะเด็กสาวน่ากลัวไม่พอ…และการทำให้เธอตกน้ำก็เป็นกลยุทธ์รับมืออย่างหนึ่ง คนทั่วไปเมื่อตกลงไปในน้ำมักจะลนลานขาดสติ ยิ่งเมื่อตกลงในบึงน้ำแห่งความตายอย่างนั้นด้วยแล้ว ยิ่งทำให้จิตตกกว่าเก่า จึงทำให้หลอกถามข้อมูลได้ง่ายขึ้น…” หลิงม่อลอบวิเคราะห์ในใจ

ต้องบอกว่า สิ่งที่เขาคิดนั้นตรงจุดมาก…

แต่ชายขอบต่ำคล้ำก็ยังคงประเมินซอมบี้ที่คลุ้มคลั่งต่ำไปอยู่ดี ถึงแม้จะถูกโยนลงน้ำ แต่ความกลัวกลับเป็นสิ่งกระตุ้นความสามารถที่แฝงอยู่ในตัวของสวี่ซูหานให้ตื่นขึ้น เธอลากตัวนางเงือกและพยายามว่ายเข้าฝั่งอย่างต่อเนื่อง ชั่วขณะนั้น ได้เกิดการต่อสู้ระยะประชิดอันดุเดือดขึ้นในบึงน้ำแห่งความตาย…

และในระหว่างที่พวกเธอกำลังต่อสู้กันนี้ ก็เป็นช่วงที่หลิงม่อสัมผัสได้ถึงสวี่ซูหานพอดี…

“ไม่น่าล่ะฉันถึงสัมผัสได้ว่าเธอกำลังอยู่ในระหว่างเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง แถมคลื่นดวงจิตก็ไม่มั่นคงมากด้วย ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง…”

หลิงม่อรู้สึกหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่อออกขึ้นมาทันที นี่มันต่างจากสิ่งที่เขาคาดเดาไว้มากเลยนี่!

ถ้าอย่างนั้น ก็แสดงว่าชายขอบตาคล้ำไม่ได้โกหกอะไรเลย อย่างมากสุดเขาก็แค่ทำให้สวี่ซูหานตกใจ แต่กลับเป็นซอมบี้สาวตัวนี้ที่ทำให้เขาสูญเสียพลังจิตไปไม่น้อยแทน…

นอกจากนี้ สำหรับสวี่ซูหาน การท่องโลกมายาครั้งนี้ได้กระตุ้นคลื่นดวงจิตของเธอ และช่วยให้เธอมั่นคงขึ้น

“จากนั้นล่ะ?” หลิงม่อถามต่อ

สวี่ซูหานตอบว่า “จากนั้นบึงน้ำนั่นก็เริ่มเดือดปุดๆ ขึ้นมา นางเงือกตัวนั้นก็หายตัวไป…พอระดับน้ำลดลง ฉันก็เลยรีบปีนขึ้นไปบนฝั่ง…แต่บรรดาต้นไม้ใหญ่ในป่ากลับพากันล้มตาย ฉันตกใจมากเลยรีบวิ่งพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต…แล้วจากนั้น ฉันก็เห็นนาย…”

หลังเล่าจบ เธอก็ถามอย่างสับสนว่า “เรื่องทั้งหมดนี้…เป็นภาพลวงตาจริงๆ หรอ? ฉันรู้สึกว่ามันเหมือนจริงมากเลยนะ…”

“ใช่แล้ว เดี๋ยวฉันพาเธอไปเจอคนที่สร้างโลกมายานี้ขึ้นมา” หลิงม่อบอก จากนั้นก็หยิบหมวกแก๊ปที่ม้วนเก็บไว้ออกมา

เขาจ้องสวี่ซูหานอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดึงผมหน้าม้าเธอลงมาเล็กน้อย

ตอนแรกสวี่ซูหานยังเอียงหัวหลบ สายตาดูเลิ่กลั่ก เหมือนไม่ค่อยชินกับการสัมผัสที่สนิทสนมใกล้ชิดนี้นัก

“อย่าขยับ” หลิงม่อพูดเสียงเบา

สวี่ซูหานเงยหน้ามองเขา แล้วเธอก็ยอมนั่งนิ่งๆ แต่โดยดี

“โชคดีที่รุ่นพี่ตัดผมให้เธอแล้ว ไม่อย่างนั้นตอนนี้ฉันคงต้องลงมือเอง” หลิงม่อจัดผมให้เธอ พลางตรวจสอบไปด้วย หลังจากคิดว่าเรียบร้อยแล้วเขาจึงสวมหมวกให้เธอ จากนั้นก็ดึงปีกหมวกให้ต่ำลง “อีกเดี๋ยวเธอจำไว้นะว่าห้ามเงยหน้า มีปีกหมวกกับผมหน้าคอยบังไว้ แถมฟ้ายังมืดแล้วด้วย น่าจะดูอะไรไม่ออก หลังจากกลับไป เธอต้องระวังตัวด้วย ห้ามให้ใครดูออกเด็ดขาด เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะคิดหาทางช่วยเธออีกที”

“อื่ม…” สวี่ซูหานพยักหน้า

เธอมองหลิงม่อครู่หนึ่ง เหมือนมีอะไรจะพูด แต่สุดท้ายกลับเลือกที่จะเงียบแทน

“ไปกันเถอะ”

ตอนที่หลิงมอพาเธอเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย เขาก็ได้รับสัญญาณที่ถูกส่งมาจากเฮยซือพอดี

“สองคนนั้นกลับมาแล้ว!”

“ทำไมเร็วอย่างนี้ล่ะ?” หลิงม่อขมวดคิ้ว

เฮยซืออธิบาย “พวกเขาระวังตัวมาก หลังจากถูกฉันล่อออกไปหลายครั้งติดกัน พวกนั้นก็ไม่ยอมติดกับและตามฉันไปอีก ตรงกันข้าม สองคนนั้นกลับรีบย้อนกลับไปอย่างรวดเร็ว…เอาไงดีล่ะ ให้ฉันลงมือโจมตีพวกนั้นไหม?”

“ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องยังไงกับหวังหลิ่น…”

หลิงม่อใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ปฏิเสธข้อเสนอแนะของเฮยซือ แล้วถามว่า “อีกนานไหม กว่าพวกนั้นจะมาถึงที่นี่?”

“อันนี้ไม่แน่ใจ…น่าจะสามนาทีมั้ง…” เฮยซือบอก

“สามนาทีงั้นหรอ…”

ขณะที่พูด หลิงม่อได้พาสวี่ซูหานให้เดินไปทางห้องเก็บเสบียงไปด้วย

ตอนนี้หวังหลิ่นขยับตัวได้แล้ว เธอกำลังยืนพิงประตูห้องเก็บเสบียงอยู่

พอเห็นหลิงม่อจับแขนสวี่ซุหาน เธอก็แค่นเสียงไม่พอใจออกมาทันที

“มาทำความรู้จักกันหน่อย นี่เพื่อนฉัน ชื่อสวี่ซูหาน คนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของซย่าน่า…”

หลิงม่อยังพูไม่ทันตบ หวังหลิ่นก็เดินเข้ามา และจ้องพิจารณาสวี่ซูหาน บอกว่า “ฉันชื่อหวังหลิ่น ยินดีที่ได้รู้จัก”

จู่ๆ ก็ต้องเข้าใกล้มนุษย์คนอื่นขนาดนี้ ร่างกายของสวี่ซูหานแข็งทื่อไปชั่วขณะอย่างเห็นได้ชัด

เธอก้มหน้า แล้วตอบเสียงเบา “สะ…สวัสดี…”

“ทำไม? ดูเหมือนเธอจะกลัวฉันมากนะ? หึหึ เธอเป็นเพื่อนของพี่เขยฉันไม่ใช่หรอ ทำไมถึงได้ดูเหมือนกลัวความผิดอะไรอย่างนั้นแหละ…โอ๊ย!” หวังหลิ่นเพิ่งจะพูดหาเรื่องได้สองประโยค ก็โดนหลิงม่อดีดหน้าผากทันที

“เด็กน้อยทำไมไม่มีมารยามเลย เรียกพี่สวี่สิ” หลิงม่อพูดเสียงราบเรียบ

หวังหลิ่นเม้มปาก แล้วมองหลิงม่อด้วยสายตาน้อยใจ แต่สุดท้ายเธอก็ยอมเรียกอย่างไม่เต็มใจ “พะ…พี่สวี่…”

“คือว่า…”

หลิงม่อหันไปมองชายขอบตาคล้ำ แต่อีกฝ่ายชิ่งเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนว่า “ฉันชื่อเจิ้งเสี่ยวจื้อ ถ้าไม่รังเกียจจะเรียกว่าพี่จื้อก็ได้ แต่ถ้าไม่สะดวกก็เรียกเหล่าเจิ้ง”

“เหล่าเจิ้ง…”

“สวัสดี…”

พอได้ยินการตอบรับจากทั้งสอง เหล่าเจิ้งกลับรู้สึกปวดใจเล็กน้อย

นั่นเขาพูดเป็นมารยาทต่างหากเล่า! ช่างไม่ไว้หน้ากันเลย! ทำร้ายจิตใจกันสุดๆ!

กลับเป็นหวังหลิ่นที่ทำลายบรรยากาศอึดอัดนี้ลง เธอมองเหล่าเจิ้งตาขวางเล็กน้อย แล้วพูดอย่างโมโหว่า “นายกล้าให้พี่เขยฉันเรียกนายว่าพี่ชาย? นายคงอยากตายมากสินะ…” พูดไป เธอยังทำท่าเหวี่ยงหมัดประกอบด้วย ท่าทางเธอตอนนี้ต่างจากเวลาอยู่ต่อหน้าหลิงม่อ ราวกับเป็นคนละคน…

แต่เหล่าเจิ้งดันกลัวเธอมาก พอได้ยินจึงรีบยิ้มแหยๆ “ไม่กล้า ไม่กล้า…”

“ที่จริงฉันควรเริ่มถามถึงเรื่องเมื่อครึ่งปีที่แล้วก่อน…แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่อำนวย ฉันจะถามคำถามสำคัญเลยก็แล้วกันนะ”

จู่ๆ น้ำเสียงของหลิงม่อก็เปลี่ยนไป เขามองหวังหลิ่นและเหล่าเจิ้งแล้วถามว่า “พวกเธอ เกี่ยวข้องยังไงกับนิพพาน?”

“นิพพาน?”

“เกี่ยวข้อง?”

หวังหลิ่นอึ้งไป เธออ้าปากหมายจะตอบ แต่กลับถูกเหล่าเจิ้งชิงพูดตัดหน้าก่อน

เขากระแอมเบาๆ แล้วบอกว่า “ก่อนที่จะตอบคำถามนาย ฉันมีเรื่องอยากจะพูดก่อน จากข่าวที่พวกเรารู้มา นายน่าจะรู้จักกับอวี่เหวินซวนแห่งฟอลคอนที่ 2 ดีใช่ไหม?”

“อะไรกัน แม้แต่เรื่องนี้พวกนายก็รู้ด้วย?” หลิงม่อไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับกระดกคิ้วขึ้น แล้วถามย้อน

เหล่าเจิ้งมองหลิงม่ออย่างผิดคาดเล็กน้อย เขาดับบุหรี่ในมือ แล้วตอบว่า “ในเมื่อนายตรงไปตรงมาอย่างนี้ ฉันก็จะพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ความจริงแล้วคนที่ต้องการตามหานายไม่ได้มีแค่หวังหลิ่นคนเดียว แต่ค่ายที่พวกเราอยู่ก็ต้องการตามหานายเหมือนกัน”

“ค่าย? ถ้าอย่างนั้น พวกนายก็ไม่ใช่คนของนิพพาน?” หลิงม่อแปลกใจเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็ลอบถอนหายใจเบาๆ ด้วยเช่นกัน

ขอเพียงหวังหลิ่นไม่ใช่คนของนิพพาน ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นมาก…

“ใช่ ค่ายที่พวกเราอยู่ไม่ได้ตั้งอยู่ที่นี่ และในค่ายพวกเราก็มีคนที่ออกมาเชื่อมสัมพันธ์กับค่ายอื่นๆ เหมือนฉันกับหวังหลิ่นอยู่ไม่น้อย…” จู่ๆ สายตาของก็ฉายแววร้อนรุ่มขึ้นมา น้ำเสียงก็ฟังดูตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเหมือนร่างมายาพยาบาลสาวที่คลุ้มคลั่งในตอนนั้นเล็กน้อย “ฉันคิดว่านายคงเดาได้แล้ว เป้าหมายของพวกเรา ก็คือการเชื่อมสัมพันธ์กับผู้รอดชีวิตทั้งหมดที่กระจายตัวอยู่ในบรรดาจังหวัดเล็กๆ เหล่านี้ เพื่อร่วมมือกันต่อต้านซอมบี้! และขับไล่สัตว์ประหลาดพวกนั้นออกไปจากเมืองให้หมด!”

อารมณ์พลุ่งพล่านของเขาทำให้สวี่ซูหานสะดุ้งไปชั่วขณะ พออีกฝ่ายพูดถึง “ซอมบี้” เธอก็เริ่มลนลานขึ้นมา…

หลิงม่อออกแรงบีบที่มือเล็กน้อย เป็นเชิงบอกเธอว่า “ไม่ต้องกลัว”…

“ถ้าอย่างนั้น พวกนายก็ไปหาอวี่เหวินซวนมากแล้วสินะ แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับที่พวกนายมาตามหาฉันล่ะ?” หลิงม่อชี้ถามถึงประเด็นสำคัญ

ทว่าถึงแม้สีหน้าของเขาจะเรียบเฉย แต่ในใจกลับกำลังตื่นตะลึง ข้อแรกคือเขาไม่คิดว่าหวังหลิ่นจะไปได้ไกลถึงขนาดนั้น ข้อสองคือเขาตกตะลึงกับความทะเยอทะยานของค่ายผู้รอดชีวิตแห่งนี้…หรือจะบอกว่า ตกตะลึงกับความฝันของพวกเขาก็ได้มั้ง…

ขับไล่ซอมบี้ออกจากเมือง เกรงว่าทุกคนก็อยากทำอย่างนี้เหมือนกัน

แต่ในทางกลับกัน ทุกคนล้วนรู้ดีแก่ใจ ในสถานการณ์ที่ซอมบี้ได้เปรียบเรื่องจำนวน และมีพละกำลังเหนือกว่าผู้รอดชีวิตมนุษย์นั้น เรื่องนี้แทบไม่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจริงเลย…

ทว่าถึงจะเป็นพละกำลังที่เล็กน้อยแค่ไหน แต่เมื่อใดที่รวมตัวกัน ก็ย่อมกลายเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่ไม่อาจมองข้ามได้

เพียงแต่โลกนี้กว่างใหญ่เกินไป แต่ผู้รอดชีวิตกลับมีน้อยเหลือเกิน และพวกเขาก็กระจายตัวกันอยู่ตามซอกหลืบของแต่ละเมือง การจะตามหาตัวพวกเขาจึงเป็นเรื่องที่ยาก และเสี่ยงอันตรายมาก…

ค่ายผู้รอดชีวิตแบบไหนกัน ที่จะสามารถทำเรื่องนี้ให้เป็นจริงขึ้นมาได้?

—————————————————————————–