“ประสิทธิภาพของหินย้อนเวลาใช้ได้ทีเดียว แต่คิดว่าในตอนเริ่มต้องสูญเสียอะไรกระมัง” ของที่ขัดลิขิตฟ้าเช่นนี้ ย่อมต้องแลกเปลี่ยนกับอะไรบางอย่าง
“อืม ถามอาเหยาแล้ว ถึงแม้นังหนูจะแยกมิติจากหนึ่งให้กลายเป็นห้า คืนให้กับทั้งห้าสกุล ทำให้พวกเขาได้รับบุญบารมีในครั้งนี้ แต่ฟ้าดินไม่ได้ตาบอด รู้ว่าใครเป็นผู้ที่อุทิศตนมากที่สุด การจะใช้หินย้อนเวลานี้คือใช้แสงแห่งบารมีของนังหนู แสงแห่งบารมีของนังหนูเปล่งกระกายมาก ส่องสว่างจนจะเป็นนักบวชแล้ว” นังหนูเอาแต่กอบกู้โลก แสงแห่งบารมีบนตัวนางเปล่งประกาย ทำให้นักบวชทุกคนที่พบเห็นต่างอิจฉา ได้ยินมาว่ามีชาวบ้านนับถือนางขนานนามนางว่า ‘เทพธิดาหลิวหลี’ ด้วยซ้ำ แต่เรื่องที่ทำให้คนพูดไม่ออกก็คือหิวหลียังคงเป็นคนใจมารตามฉายาของการจัดอันดับผู้โหดร้าย เป็นตัวเลือกแรกๆที่พวกชาวบ้านไว้ใช้หลอกเด็กๆ
“นี่ อิงเสวี่ย เจ้าถูกไล่ออกมาหรือ?” เอ๋าเลี่ยมองเฟิ่งอิงเสวี่ยที่พูดจาด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก
“อืม ทั้งสองคนกำลังอยู่ในช่วงรักกันหวานซึ้ง คู่พันธสัญญาอย่างข้าก็เป็นแค่ส่วนเกินเท่านั้น” เฟิ่งอิงเสวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย แต่เอ๋าเลี่ยก็จับร่องรอยของอารมณ์และตัดพ้อที่อยู่ลึกๆในนั้น
“เหลืออีกไม่กี่ปีพวกเราก็จะบรรลุเป็นเซียนกันแล้ว” เอ๋าเลี่ยลองคำนวนเวลาแล้วพูดขึ้น
“ใช่สิ แต่สองคนนั้น คนหนึ่งก็เป็นห่วงเรื่องผมขาวของอีกฝ่าย ส่วนอีกคนก็เป็นห่วงที่อีกฝ่ายไม่รู้จักรักตัวเอง อาหารที่นังหนูทำช่วงนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยบำรุงเส้นผม” เอ๋าเลี่ยนึกถึงนังหนูที่รักสามีจนเข้ากระดูก นี่ยังไม่ทันแต่งงานเลยด้วยซ้ำ
“ไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนเตรียมที่จะแต่งงานกันเมื่อไหร่?” เฟิ่งอิงเสวี่ยกล่าวถาม ทั้งสองคนขาดก็เพียงแค่จัดงานแต่งกันเท่านั้น
“ปัญหานี้น่ะหรือ ข้าตอบพวกเจ้าได้” หลิวหลีในชุดผู้หญิงปรากฏกายขึ้นพร้อมหนานกงเวิ่นเทียน หวานเลี่ยนจนเอ๋าเลี่ยที่เป็นมังกรโสดรู้สึกว่าตาทั้งสองข้างจะลุกเป็นไฟ จะรังแกคนโสดไปถึงไหน เอ๋าเลี่ยกุมอก ทำไมก่อนนี้ถึงรู้สึกว่าเป็นโสดช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน ผลคือพวกนังหนูเอาแต่หวานกันทุกวัน พอดูไปมากๆ เขาก็เริ่มหัวเสียที่ตนเองไร้คู่ อึดอัดใจเหลือเกิน
“พูดมาเถอะ จะแต่งงานเมื่อไหร่ แล้วพวกเราช่วยอะไรบ้าง” ถึงเอ๋าเลี่ยจะปวดใจ แต่งานก็ยังต้องทำ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเห็นนังหนูมาตั้งแต่เด็ก แต่ก่อนใส่แต่ชุดผู้ชายก็เลยไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้เปลี่ยนเป็นชุดผู้หญิง จึงได้เห็นว่านางเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง
“งานแต่งงานของพวกเราจะจัดขึ้นได้อีกสามปีข้างหน้า ในระหว่างนี้ข้าต้องปรุงยา ส่วนเสี่ยวเทียนต้องดูดซึมไข่มุกหยิน สามปีหลังจากนี้กำลังพอดีถือเป็นเรื่องมงคลหลังจากที่โลกบำเพ็ญได้ผ่านวิบากกรรมครั้งใหญ่พอดี” หลิวหลีกล่าว ซึ่งก็จริงคนจำนวนไม่น้อยยังจมอยู่กับความโศกเศร้า มีเรื่องมงคลช่วยเรียกขวัญกำลังใจทุกคน งานแต่งงานของคนดังอย่างหลิวหลีน่าจะเหมาะสมที่สุด
“นังหนู เจ้ายังใจกว้างเหมือนเดิมเลย” เอ๋าเลี่ยกล่าวขณะมองหลิวหลีที่มีสีหน้าจริงจัง
“เปล่า คนที่มางานคงจะพกเงินมาบ้าง ข้าสูญเสียมิติไปแล้ว ที่เก็บของส่วนตัวไม่มีแล้ว ตอนนี้ข้าคงจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่จนที่สุดแล้ว” หลิวหลีแสดงออกว่าตัวเองจนมากจริง ๆ
“พอเถอะ พอเถอะ หากว่าเจ้าจนจริงๆ แล้วใช้อะไรมาปรุงยา อีกอย่างใกล้จะบรรลุเป็นเซียนแล้ว เอาของเยอะแยะขนาดนั้นไปที่โลกเซียนก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก” เอ๋าเลี่ยบ่นคนบางคนที่ตาลุกวาวเมื่อเห็นเงินอย่างไม่เกรงใจ
“แน่นอนว่าเป็นเพราะคำสัญญาท่ีให้ไว้ตอนขอให้โลกพุทธะกับโลกอสูรมาช่วย พวกเขาต้องการยาศักดิ์สิทธิ์อะไร ก็ให้เตรียมพืชศักดิ์สิทธิ์ไว้ ข้าก็จะปรุงยาให้พวกเขาฟรี ๆ” หลิวหลีย้ำอยู่เสมอว่าตนเองเป็นคนที่รักษาคำพูด
“เวิ่นเทียน เจ้าจะเดินเข้าสุสานของการแต่งงานจริง ๆหรือ” เมื่ออีกฝ่ายต้องแต่งงานจริงๆ เฟิ่งอิงเสวี่ยเริ่มรู้สึกทำใจไม่ได้ เด็กชายที่นางเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโตจะแต่งงาน ชวนรู้สึกแปลกๆบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนเด็กที่ตัวเองเลี้ยงจนโตมาถูกคนแย่งไป ทำไมรู้สึกกังวลใจขนาดนี้
“อืม หลิวหลีดีที่สุดแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนรู้ว่าเฟิงอิงเสวี่ยคงจะรู้สีกแปลก ๆ แต่นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นเอามากขนาดนี้
“เฮ้อ พอเถอะ อิงเสวี่ย ไป พวกเรามาทำใจกว้างเหมือนคนเป็นพ่อเป็นแม่กัน แล้วไปปรึกษากับจื่อฉีด้วย งานแต่งงานของทั้งสองคนนี้จะจัดอย่างไรให้ยิ่งใหญ่ดี” เอ๋าเลี่ยลากเฟิ่งอิงเสวี่ยที่ผิดปกติออกไป
“ท่านอาเอ๋าเลี่ย อะไรคือความใจกว้างของแม่ อย่าพูดอะไรเหลวไหล” น้ำเสียงของเฟิงอิงเสวี่ยแฝงไปด้วยความโมโห
“ใช่ ใช่ ใช่” เอ๋าเลี่ยตอบตามน้ำ
“ดูท่าแล้ว อาเลี่ยกว่าจะประสบความสำเร็จคงจะยากไม่น้อย” หลิวหลีมองดูแผ่นหลังของทั้งสองคนแล้วพูดขึ้น
“นังหนู พวกเรากลับไปเยี่ยมท่านพ่อท่านแม่กันดีไหม ว่าแต่กำหนดวันไว้วันนั้นจะดีหรือ วันถัดไปเราต้องรับวิบากอัสนีบาตแล้วนะ” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“ไม่ดีตรงไหน วันนั้นแหละดีแล้ว” วันนั้นเป็นวันที่ดีที่สุด เห็นได้ชัดว่าหลิวหลีไม่เคยคิดว่าการแต่งงานนั้นจะเปลืองเวลาและพลังชีวิตมากขนาดไหน
“เจ้าว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น” หนานกงเวิ่นเทียนก็รีบพยักหน้าในทันที ฮูหยินของเขาว่าอะไร ก็ให้เป็นไปตามนั้น
“พวกเรากลับไปดูก่อนแล้วกัน น้องสาวของข้าคลอดทารกอ้วนท้วมสมบูรณ์ออกมา ข้าที่เป็นป้ายังไม่ได้เจอหลานเลย” หลิวหลีเอ่ย ตนเองลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท จนไม่ได้ทำหน้าที่ของพี่สาว เวลานี้หลานคงจะไม่ใช่ทารกแล้ว จนหลิวหลีได้เจอคุณชายผู้สง่างาม ภาพสีหน้านั้นทำให้คนจะต้องหัวเราะไปอีกนาน
“ก็ดีเหมือนกัน”
“โม่หลี เจ้าจะบอกว่านี่คือหลานของข้า” หลิวหลีมองดูเด็กที่นางนึกมาตลอดว่าเป็นเด็กอ้วนท้วมสมบูรณ์ แต่คนตรงหน้าโตจนเกือบจะเป็นชายหนุ่มแล้ว เด็กอ้วนที่พูดถึง ทำไมถึงโตเร็วขนาดนี้
“หลานชายปู้หลี คารวะท่านป้า ท่านลุง” ฮัวปู้หลีรู้สึกตื่นเต้น ป้าของเขาเป็นคนที่เขานับถือมาโดยตลอด เขาได้ยินเรื่องราวของท่านป้ามาตั้งแต่เด็กจนโต เขาบอกท่านแม่เสมอว่าอยากจะเจอท่านป้า วันนี้ได้เจอนาง ท่านป้างดงามมากจริง ๆ ทำให้คนรู้สึกเคารพนับถือ ท่านลุงก็ไม่เลว เพียงแต่ว่าแววตาที่ท่านป้ามองตนเองทำไมดูเศร้าขนาดนั้นได้
“ท่านพี่ ท่านดูผิดหวังไม่น้อยเลย” โม่หลีจะไม่เห็นสายตาของพี่สาวของนางได้อย่างไร อยู่กับท่านพี่มา 60 ปี นางย่อมรู้ดีว่าพี่สาวคิดอะไร นางก็อยากให้ท่านพี่ของนางได้อุ้มเด็กอ้วนท้วม แต่เด็กอ้วนก็ต้องโตอยู่ดีนี่นา
“ใช่ แล้วเรื่องเด็กอ้วนที่บอกไว้ล่ะ ข้าเตรียมมาอุ้มเด็กจ้ำม่ำเลยนะ” เด็กอ้วนกลายมาเป็นเด็กหนุ่มแล้ว ไม่น่าสนใจเลย เฮ้อ ยังดีที่โตมาดูท่าทางฉลาดเหมือนแม่
“พี่สาว เด็กจ้ำม่ำที่ข้าคลอดออกมาเป็นเรื่องตั้งกี่ปีมาแล้ว พี่เพิ่งจะได้เห็น พูดตรงๆ พี่ยังติดค้างของขวัญหลายอย่างกับลูกชายข้าด้วยซ้ำเลย” โม่หลีกลอกตาใส่หลิวหลี โรคขี้ลืมของพี่สาวนางยังคงกำเริบในบางครั้งเหมือนเดิม
“ก็จริง ปู้หลีใช่ไหม ของพวกนี้ให้เจ้าเก็บไว้เล่น แล้วก็ใช้ป้องกันตัว” หลิวหลีนำถุงเก็บของออกมายัดใส่มือฮัวปู้หลี
“ขอบคุณขอรับ ท่านป้า” ฮัวปู้หลีมองท่านพ่อท่านแม่แวบหนึ่งแล้วจึงรับของมา
“เด็กดีจริงๆ ไหนให้ป้าดูหน่อย พื้นฐานมั่นคง จำไว้ จะบำเพ็ญเพียรต้องมีพื้นฐานทีมั่นคง อย่าใช้ยามั่วๆ พลังบำเพ็ญพวกนั้นเป็นของปลอม ไม่มีประโยชน์อะไร” หลิวหลีพูดกำชับหลานชาย
“หลานจะจำไว้”
“แกนวิญญาณคู่ธาตุอัสนีอัคคี แกนวิญญาณก็ไม่เลว บริสุทธิ์ มีพลังทำลายล้างใช้ได้เลย” หลิวหลีค่อนข้างพอใจในตัวหลานชายตัวเอง เด็กที่คาบช้อนทองออกมาเกิด น้องสาวเลี้ยงออกมาได้ไม่เลว
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าเลี้ยงดูเขาแบบเดียวกับที่ท่านเลี้ยงข้ากับจิงหู่ ท่านปู่กับท่านย่าสกุลฮัวเคยอยากเข้ามามีส่วนร่วม แต่ข้าใช้ความจริงพูดตอกกลับไป ลูกชายของข้าจะเลี้ยงดูอย่างไร ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนแก่พวกนั้นจะเข้ามายุ่ง” โม่หลีพูดอย่างไม่เกรงใจ รู้สึกหัวเสียเมื่อนึกถึงกลุ่มคนแก่ที่ใช้ความแก่มาเป็นข้ออ้าง ไม่พูดอ้อมค้อมเพื่อขอยาของท่านพี่ ก็มาขอยาจากนางตรงๆ จนถูกนางตอกกลับไปหลายที ยาของท่านพี่ไม่ใช่สายลมที่พัดพามาให้พวกเขา
“เจ้าเนี่ยนะ ทำเช่นนี้อาจจะทำให้เสี่ยวหู่อาจลำบากใจได้” ถึงหลิวหลีจะพูดเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีโมโห กล้ารังแกน้องสาวของนางคงไม่รักชีวิตแล้วใช่ไหม ดูท่าทางก่อนจะรับวิบากสวรรค์ คงจะต้องไปเดินเล่นที่สกุลฮัวเสียหน่อย
“เสี่ยวหู่เข้าข้างข้า ข้าไม่กลัวหรอก พวกเขาไม่เคยเลี้ยงเสี่ยวหู่ด้วยซ้ำ แต่ได้เป็นผู้อาวุโสของเสี่ยวหู่ ก็ถือว่าข้าให้เกียรติพวกเขาแล้ว” จ้านโม่หลีไม่ได้มีท่าทีหลวาดกลัวแม้แต่น้อย
“แล้วไม่กลัวจะสอนปู้หลีให้เสียคนหรือ”
“ไม่กลัวเจ้าค่ะ ท่านผู้นำสกุลยังบอกเลยว่าข้าเลี้ยงลูกออกมาได้ดีที่สุด” จ้านโม่หลีบอกพี่สาวให้รู้ว่าแม้แต่ผู้นำสกุลยังเห็นด้วยกับวิธีที่นางใช้เลี้ยงลูก และความจริงก็แสดงให้เห็นว่าปู้หลีทิ้งห่างเด็กในรุ่นเดียวกันไปไกลแล้ว ผู้นำสกุลฮัวยังอยากได้วิธีการเลี้ยงเช่นนี้ แต่ถูกจ้านโม่หลีปฏิเสธไปด้วยเหตุผลที่ว่านี่คือวิธีของพี่สาวนาง นางไม่สามารถตัดสินใจแทนได้
“ใช่ใช่ โม่หลีของข้าเก่งที่สุด” หลิวหลีพยักหน้าเห็นด้วย น้องสาวของนางเก่งจริงๆ
“แน่นอนอยู่แล้ว ท่านพี่ ท่านกับพี่เขยจะจัดงานแต่งงานกันเมื่อไหร่” พวกพี่ๆคบหากันมานานเหลือเกิน
“อีกสามปีข้างหน้า ครั้งนี้กลับมา หนึ่งคือเพื่อมาดูเด็กจ้ำม่ำ” หลิวหลีเหลือบมองเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอย่างผิดหวังอีกครั้ง
“สองคือข้ากับพี่เขยของเจ้าจะจัดงานแต่งงาน ข้ากับเสี่ยวเทียนรอมานานมากแล้ว” รอมาจนเป็นร้อยปีแล้วก็ยังไม่ได้แต่ง หากเป็นคนอื่นคงจะเปลี่ยนคู่ไปนานแล้ว
“ดีเหลือเกิน ท่านพี่ ข้ายินดีด้วยเจ้าค่ะ พี่เขย” โม่หลีดีใจเป็นอย่างมาก ในที่สุดเทพแห่งสงครามบ้านนางก็จะแต่งงานเสียที ท่านแม่จะได้ไม่ปวดหัวอีก
“ขอบคุณโม่หลี เห็นว่าเจ้าสุขสบาย ข้าก็วางใจ เดี๋ยวข้าจะกลับบ้านสกุลหลงไปหาท่านตากับท่านพ่อท่านแม่ เพื่อบอกข่าวนี้แก่พวกท่าน” เชื่อว่าพวกท่านตาก็คงรอจนร้อนใจกันไปหมดแล้วแน่ๆ