บทที่ 197 เย่เทียนเฉินเป็นผู้มีพลังพิเศษห้าสาย?

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

ผู้มีพลังพิเศษนั้นถึงแม้ว่าจะมีสายย่อยที่แตกต่างกันอีกมากมายหลายสาย เช่นผู้มีพลังในสายพิเศษ แต่ว่าโดยพื้นฐานแล้วก็แบ่งออกเป็นห้าเส้นทาง ทุกสิ่งทุกอย่างมักจะหนีไม่พ้นเส้นทางทั้งห้านี้ แม้จะเปลี่ยนแปลงไปมากมายก็ไม่อาจหนีพ้นรากเหง้าได้ นี่เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินเข้าปะทะกับมังกรสองตัวของมีดเจ็ดดาวที่ระเบิดออกอย่างรุนแรง สุดท้ายก็สามารถใช้พลังพิเศษในสายวารีทำให้พ้นจากอันตรายโดยไม่บาดเจ็บได้ คนที่ตื่นตะลึงไม่ได้มีแค่หลินตวนคนเดียว แต่ยังมีฉินเหยาเยว่ที่ยืนอยู่บนตึกภาควิชาโบราณคดีมาโดยตลอด และคอยสังเกตเย่เทียนเฉินมาตั้งแต่ต้นอีกด้วย

ในตอนที่หลินตวนฟาดฟันมีดเจ็ดดาวออกไปจนเกิดเป็นกระบวนท่าโจมตีอันยิ่งใหญ่ของมีดเจ็ดดาวนั้น ฉินเหยาเยว่ก็ตื่นตะลึงมากแล้ว คำเล่าลือที่เกี่ยวกับมีดเจ็ดดาวนั้นเธอเองก็รู้ มีดเล่มนี้ดูเหมือนว่าจะสามารถช่วงชิงอันดับสองจากสุดยอดอาวุธในสามลำดับแรกของพรรควรยุทธโบราณได้ มีผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยพ่ายแพ้ภายใต้คมมีดเล่มนี้ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้ยินว่ามีคนใช้หมัดทั้งสองเข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาวมาก่อน เกรงว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคนแรก และยังเป็นคนแรกที่ใช้หมัดเข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาวแล้วยังไม่ตาย

สิ่งที่ทำให้ฉินเหยาเยว่ต้องตื่นตะลึงมากที่สุดก็คือ ในขณะที่เย่เทียนเฉินประมือกับหลินตวนในครั้งนี้ เขาถึงกับใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายวารีออกมา ทำให้เธอรู้สึกเหนือคาดมาก

ฉินเหยาเยว่รู้มาว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้แข็งแกร่งจากช่วงยุคสิ้นโลกที่มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ จึงรีบทำการตรวจสอบพัฒนาการของเย่เทียนเฉินในทันที คอยสังเกตการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างของเย่เทียนเฉินอยู่ในความมืดมาโดยตลอด เธอรู้ว่าในตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ที่ประเทศ M ตอนที่สู้กับโทมัสซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศ M นั้น เขาได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายอัสนีและเคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายพระสุธา ตอนนั้นกระทั่งโทมัสเองก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ผู้มีพลังพิเศษที่สามารถใช้เคล็ดวิชาในสายที่แตกต่างกันได้นั้นจะแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก เมื่อเติบโตขึ้นมาก็สามารถพลิกฟ้าได้เลยทีเดียว

เนื่องจากการจะใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันนั้น ในร่างกายจำเป็นต้องมีพลังพิเศษที่แตกต่างกันอยู่ แต่พลังพิเศษทั้งห้าสายมีการกดข่มกัน ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเด็ดขาด หากสัมผัสถูกกันจะเกิดผลร้ายที่สาหัสมาก เคยมีผู้มีพลังพิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องการจะแข็งแกร่งมากขึ้น จึงได้ฝึกฝนพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไป สุดท้ายร่างกายระเบิดจนตาย ทำให้ตนเองตายโดยที่ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก นี่ก็คือผลลัพธ์

ตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่เคยใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายอัสนีและเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธา ในตอนนี้ยังถึงกับใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายวารีด้วย นี่ทำให้ฉินเหยาเยว่ตื่นตะลึงจนต้องอ้าปากอันเซ็กซี่ของเธอ ไม่อยากจะเชื่อโดยสิ้นเชิงว่า บนโลกใบนี้จะมีตัวตนเช่นนี้อยู่ด้วย สามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันได้ คนคนนี้ก็คือเย่เทียนเฉิน ทำให้ฉินเหยาเยว่ต้องเกิดความสงสัยว่า เย่เทียนเฉินก็คือผู้มีพลังในคำเล่าลือที่ร่อยปีก็ยังไม่สามารถหาออกมาได้สักคนเดียว ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษห้าสายที่มีตัวตนอยู่ในคำเล่าลือเท่านั้น

“ไม่เป็นไร มีดเจ็ดดาวของนายแข็งแกร่งมาก เพียงแต่ดูเหมือนว่านายจะไม่ได้ใช้พลังอำนาจของมันออกมาทั้งหมด ยังขาดไปนิดหน่อยนะ!” เย่เทียนเฉินยิ้มพูดกับหลินตวนพลางตบไหล่เขา

“นาย…นายไม่เป็นไรจริงๆเหรอ? นายเป็นคนแรกที่กล้าใช้หมัดเปล่าๆ เข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาว หากว่าเรื่องนี้แพร่ออกไปเกรงว่าจะมีกลุ่มอำนาจจำนวนไม่น้อยที่ต้องสั่นไหว และแย่งชิงตัวนาย!” หลินตวนพูดอย่างตะกุกตะกักอยู่บ้าง

เมื่อปีนั้น ในตอนที่หลินตวนออกมาจากพรรควรยุทธโบราณ อาจารย์ก็ได้มอบมีดเจ็ดดาวให้แก่เขา และยังบอกเขาว่า พลังอำนาจของมีดเจ็ดดาวยิ่งใหญ่มาก บนถนนในเมืองคงจะไม่ได้พบกับยอดฝีมืออะไรหรืออย่างน้อยก็คงไม่พบกับยอดฝีมือที่จำเป็นต้องใช้มีดดเจ็ดดาวในการเอาชนะ และให้เขาอย่าได้ใช้ออกมาเป็นอันขาด เนื่องจากพลังอำนาจของมีดเจ็ดดาวนั้นยิ่งใหญ่เกินไป เป็นการทำเพื่อป้องกันการสูญเสียของผู้บริสุทธิ์ ไหนเลยจะรู้ว่าหลินตวนจะใช้มีดเจ็ดดาวออกมาโดยไม่เสียดายเพียงเพื่อที่จะดึงเย่เทียนเฉินเข้าเป็นพวก ส่วนเย่เทียนเฉินก็ถึงกับสามารถใช้หมัดเปล่าๆ เข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาวได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลย

คำพูดของหลินตวนกล่าวได้ไม่ผิด ในโลกปัจจุบันนี้ ความจริงแล้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้นพรรควรยุทธโบราณและกลุ่มองค์กรของผู้มีพลังพิเศษเหล่านั้น พวกเขาเป็นดั่งจักรพรรดิที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด การต่อสู้และฆ่าฟันกันของแต่ละขั้วอำนาจ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ต้องทราบว่าเย่เทียนเฉินมีความสามารถถึงขั้นนี้ จะต้องมีกลุ่มอำนาจใหญ่ต้องการดึงตัวเขาอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกันกลุ่มอำนาจใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งก็จะคิดทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเย่เทียนเฉินเพราะถ้าไม่สามารถดึงตัวเขามาได้ พวกเขาจะไม่ปล่อยให้เย่เทียนเฉินมีชีวิตอยู่ เพราะถ้ามีชีวิตอยู่ก็จะมาเป็นศัตรูกับกลุ่มอำนาจของพวกเขา และกลายเป็นเสี้ยนหนามชิ้นใหญ่

“นายมองฉันแบบนี้หมายความว่ายังไง? แต่ว่าท่าทางฉันจะไม่สามารถเข้าร่วมกับสำนักงานเทียนหลินของนายได้แล้ว เป็นเพื่อนกันไปก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินพูดกับหลินตวนด้วยรอยยิ้ม

เดิมทีเย่เทียนเฉินก็รู้สึกชื่นชมหลินตวนมาก รวมกับที่ความสามารถของหลินตวนไม่อ่อนแอเลย อาศัยเพียงมีดเจ็ดดาวในมือเล่มนั้นก็เพียงพอที่จะบุกตะลุยไปทั่วแล้ว หากว่าสามารถเข้าร่วมกับการสร้างอำนาจของตนเองได้ จะต้องเป็นการเพิ่มพลังการต่อสู้ให้มากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

ในเมื่อเย่เทียนเฉินตัดสินใจที่จะสร้างฐานอำนาจของตน เช่นนั้นก็ไม่อาจอดทนรอได้อีกต่อไป เขาพบว่าถ้าไม่มีพลังอำนาจเป็นของตนเอง เช่นนั้นขั้วอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ต่างๆ ที่ยโสโอหังและใช้อำนาจบาตรใหญ่ ก็จะคอยหาเรื่องอยู่ตลอด โอหังอยู่ตลอดเวลา และจะคิดว่าคุณสามารถถูกรังแกได้ง่ายๆ สิ่งเดียวที่จะทำให้พวกเขาหยุดความคิดนี้ก็คือ ทำให้พวกเขาไม่กล้ามีปากมีเสียงอีก ไม่มีหนทางอื่นใด หากจะรับมือกับคนเหล่านี้ก็มีเพียงต้องทำเช่นนี้เท่านั้น

“ฉัน…” หลินตวนมองเย่เทียนเฉิน พูดอะไรไม่ออกอยู่ครึ่งวัน ความสามารถของเย่เทียนเฉินทำให้เขาต้องสั่นสะท้านจริงๆ ใช้หมัดเดียวเข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาวได้ นี่เป็นพลังอำนาจและความบ้าระห่ำระดับไหนกัน ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะมีท่าทางยิ้มแย้มอยู่ตลอด แต่กลับไม่สามารถปิดบังความแข็งแกร่งของเขาไว้ได้เลยแม้แต่น้อย

“ไปเถอะ หิวแล้ว ฉันเลี้ยงข้าวนายแล้วกัน แต่ว่าฉันไม่ได้เอาตังค์มา…” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินหมุนตัวเดินไป หลินตวนก็กำมีดเจ็ดดาวในมือของตน ในใจกำลังทำการตัดสินใจอันสำคัญ เขาปักมีดในมือลงกับพื้น คุกเข่าขวาลง พูดอย่างจริงจังว่า “ผมแพ้แล้ว จากการเดิมพันของพวกเรา ผมจะเข้าร่วมกับคุณ…พี่ใหญ่!”

“คนที่อยู่กับฉันต่างก็เป็นพี่น้องที่จริงใจ ถ้าหากนายตัดสินใจแบบนี้เพียงเพราะสู้แพ้ ฉันก็จะไม่รับนายเอาไว้หรอก!” เย่เทียนเฉินมองไปยังหลินตวนแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ไม่ ผมเองก็มีความคิดของตัวเอง ผมเชื่อว่าหากอยู่กับคุณจะสามารถทำเรื่องดีๆ ได้ เมื่อถึงตอนนั้นผมยังสามารถทำให้สำนักงานเทียนหลินของผมมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ได้!” หลินตวนพูดอย่างจริงใจ

“ถ้าพูดแบบนั้นก็ได้!”

ความจริงแล้ว เมื่อเห็นหลินตวนต้องการพึ่งพาตนเอง ในใจของเย่เทียนเฉินก็ยินดีมาก เพียงแต่เพื่อลดทอนความสงสัยในใจของหลินตวน และสามารถกลายเป็นพี่น้องที่จริงใจต่อกันได้ เย่เทียนเฉินจึงต้องพูดออกมาอย่างชัดเจน

“พี่ใหญ่!” หลินตวนประสานหมัดคารวะ

“ดี!” เย่เทียนเฉินยิ้มแล้วดึงหลินตวนให้ลุกขึ้น

อู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวน อย่างน้อยตอนนี้เย่เทียนเฉินก็มีสมาชิกเป็นสามขุนพลใหญ่แล้ว อำนาจค่อยๆ ถูกสร้างและขยายใหญ่ขึ้นทีละก้าว ส่วนขั้วอำนาจใหญ่ที่คอยจับตามองเย่เทียนเฉินอยู่ในมุมมืดเหล่านั้น ก็เตรียมที่จะชักชวนเขาแล้วเช่นกัน แต่หากว่าชักชวนไม่สำเร็จก็จะฆ่า

“ไปเถอะ ฉันเลี้ยงข้าวนายเอง!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“กินข้าว? พี่ใหญ่ ตอนนี้เพิ่งจะสี่โมง…” น้องหลิงพูดขึ้นด้วยความระอา

“สี่โมงก็กินข้าวได้แล้ว นี่เป็นโอกาสที่พี่ใหญ่จะเลี้ยงข้าวนายเชียวนะ นายจะต้องคว้าเอาไว้ให้ดี!” เย่เทียนเฉินพูดกับหลินตวนราวกลับเป็นผู้อาวุโสสอนผู้น้อย

หลินตวนรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้จริงๆ กำลังคิดว่าตนเองยอมรับเย่เทียนเฉินเป็นพี่ใหญ่เป็นเรื่องถูกหรือผิดกันแน่? เพราะว่านิสัยของพี่ใหญ่คนนี้คาดเดาได้ยากจริงๆ มักจะมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอยู่ตลอดเวลา มีท่าทางไม่มีพิษภัย แต่เมื่อลงมือกับสามารถสั่นสะท้านจิตวิญญาณของผู้คนได้ แข็งแกร่งถึงขีดสุด

ฉินเหยาเยว่ยืนอยู่บนตึกภาควิชาโบราณคดีตั้งแต่ต้นจนจบ จนกระทั่งเย่เทียนเฉินและหลินตวนจากไป เธอมองไปยังแผ่นหลังของเย่เทียนเฉิน มีความประหลาดใจอยู่บ้าง มุมปากมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และเซ็กซี่อยู่ ความแปลกประหลาดใจย่อมต้องเป็นความสามารถอันยิ่งใหญ่เหนือระดับของเย่เทียนเฉิน ในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะยังไม่มั่นใจว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้มีพลังพิเศษห้าสายในคำเล่าลือหรือไม่ แต่เขาก็ได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายอัสนี พสุธา และวารีไปแล้วสาสาย ช่างทำให้ผู้อื่นต้องสงสัยจริงๆ…

“เย่เทียนเฉิน ดูท่าหากต้องการคาดเดาถึงความสามารถที่แท้จริงของนาย และต้องการจะดูว่านายเป็นผู้มีพลังพิเศษห้าสายหรือไม่ คงจะต้องให้ขั้วอำนาจใหญ่อื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วมซะแล้ว…” ฉินเหยาเยว่พูดด้วยรอยยิ้มน่ารัก

นอกมหาวิทยาลัยหลงเถิง เวลาบ่ายสี่โมง เย่เทียนเฉินโทรหาหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยา บอกพวกเธอว่าหลังจากเลิกเรียนแล้วให้มาเจอกันที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย ส่วนเย่เทียนเฉินและหลินตวนก็ได้ไปที่ร้านอาหารเสฉวนแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล หลังจากที่เย่เทียนเฉินได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ก็พบว่าอาหารเสฉวนไม่เลวเลยจริงๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะไป “ตูเฉิง” ที่ว่ากันว่าเป็นแดนสวรรค์ในโลกมนุษย์ ไปกินอาหารเสฉวนดั้งเดิมสักหน่อย

พริบตาเดียวก็สั่งอาหารไปแล้วแปดอย่าง หลินตวนมองจนตาค้าง เมื่อเย่เทียนเฉินส่งเมนูอาหารไปให้พนักงานยังถือโอกาสพูดไปอีกประโยคหนึ่งว่า “จำไว้ว่าจะต้องเพิ่มซุปสามเซียนดั้งเดิมมาหนึ่งที่ จะต้องเป็นอาหารเสฉวนดั้งเดิมนะ!”

“พี่ใหญ่…ยัง ยังมีคนอื่นอีกหรือเปล่าครับ?” หลินตวนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ไม่มีแล้ว!” เย่เทียนเฉินเองก็เอ่ยตอบพลางมองไปยังหลินตวนแปลกๆ

“อาหารแปดอย่างกับซุปหนึ่งอย่าง พวกเราสองคนกินกันหมดเหรอ?”

“อ้อใช่แล้ว ลืมบอกกับนายไปเลย อาหารเหล่านี้สั่งมาให้ฉันกินคนเดียว นายอยากกินอะไรก็สั่งเองเลย…” เย่เทียนเฉินมองไปยังหลินตวนแล้วพูดราวกับว่ามันเป็นสัจธรรม แต่กลับไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าหลินตวนแทบจะหมดอาลัยตายอยากอยู่แล้ว

หลินตวนเต็มไปด้วยความเอือมระอา จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่มีความสามารถแข็งแกร่งเหนือระดับ กระทั่งไม่อาจคาดเดาได้คนนี้ จะไม่เพียงแต่มีนิสัยเหมือนอันธพาล แต่ยังเป็นตัวตะกละตะกรามอีกด้วย

เย่เทียนเฉินดื่มน้ำชาไปอึกหนึ่ง มองไปยังหลินตวนแล้วถามว่า “เมื่อกี้นี้ตอนที่สู้กับนาย พบว่านายใช้มีดเจ็ดดาวออกมา ถึงแม้จะมีพลังอำนาจมาก แต่ก็ไม่มีการสั่นไหวของพลังภายในเลยแม้แต่นิดเดียว ในเมื่อนายเป็นศิษย์ของพรรควรยุทธโบราณ คงไม่มีทางไม่ฝึกฝนพลังภายในหรอกใช่ไหม?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หลินตวนก็มองไป จากนั้นจึงทอดถอนใจออกมา ยกมือขวาขึ้นและพับแขนเสื้อบริเวณมือ ในตอนที่เย่เทียนเฉินเห็นแขนขวาของหลินตวนก็ตกตะลึงไปทั้งร่าง พบว่าบนมือขวาของหลินตวนมีเส้นขีดสีดำเส้นหนึ่ง ดูจากสภาพแล้วควรจะมาจากตำแหน่งหัวใจ ไล่มาจนถึงกลางฝ่ามือ เป็นอะไรที่พิเศษและประหลาดมาก

“นายคงจะได้รับบาดเจ็บภายในมาสินะ…หรือว่า…ถูกตัดทอนชีพจรลมปราณ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงถามออกไปด้วยความประหลาดใจ

“ครับ พี่ใหญ่ร้ายกาจจริงๆ มองแวบเดียวก็ดูออกแล้ว ไม่ผิด นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่สามารถฝึกฝนพลังภายในได้!” หลินตวนส่ายศีรษะแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น

……………………………….