บทที่ 226 ขีดจำกัดและกฎเกณฑ์ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 226 ขีดจำกัดและกฎเกณฑ์ (2)

ทั้งสามคนนี้เป็นยอดฝีมือที่ล้มเหลวในการชิงเป็นผู้ถืออาวุธ และเป็นคนที่เข้าร่วมการช่วงชิงตำแหน่งผู้ถืออาวุธ ทุกคนต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับสุดยอด เป็นอัจฉริยะตระกูลขุนนางที่เลิศล้ำ ภายใต้ผลชะลอความชราของพลังแห่งอาวุธศักดิ์สิทธิ์ อัจฉริยะเหล่านี้มีอายุมากสุดคือหลายร้อยปี ภายหลังจึงกลายเป็นผู้ถืออาวุธนี่ยังแค่ตระกูลซูเท่านั้น

จ่านข่งหนิงกล่าวอย่างจนปัญญา “อาณาเขตของจงหยวนใหญ่กว่าแดนเหนือสิบกว่าเท่า ทั้งยังเชื่อมกับมหาสมุทรด้านทักษิณ มีพื้นที่มากกว่า พลังของตระกูลซูตระกูลเดียว บดขยี้แดนเหนือได้นับครั้งไม่ถ้วน ดินแดนและเมืองที่ยึดครองยังอุดมสมบูรณ์กว่าแดนเหนือไม่รู้เท่าไหร่”

“แต่สุดท้ายคนก็เยอะเกินไป ทำไมพวกเขาไม่ไปอาณาเขตอื่นเช่นแดนเหนือ กลับอัดกันอยู่ในจงหยวน” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงสัย

“เพื่อสะกด” พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของจ่านข่งหนิงก็เคร่งขรึมลงอย่างรวดเร็ว “ข้าได้ทราบจากน้องชายของข้าคนนั้นว่า เก้าตระกูลจงหยวนไม่ใช่ได้คำเรียกมาเฉยๆ พวกเขาทุกตระกูลต่างก็รับภารกิจสะกดอาวุธศักดิ์สิทธิ์ศัสตรามารคลั่ง”

“อาวุธศักดิ์สิทธิ์ศัสตรามารคลั่งหรือ” ลู่เซิ่งเพิ่งได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก

“ใช่” จ่านข่งหนิงพยักหน้า “ความจริงผู้อาวุโสลิ่วซานจื่อทราบสิ่งเหล่านี้ดี เพียงแต่ก่อนหน้านี้สหายลู่ไม่ถามเขา ดังนั้นจึงไม่รู้ ข้าจะอธิบายให้ท่านฟังคร่าวๆ”

“ขอบคุณสหายจ่านมาก” ลู่เซิ่งพยักหน้า กล่าวขอบคุณ

“ไม่ต้องเกรงใจ” จ่านข่งหนิงสงบจิตใจ “พูดถึงอาวุธเทพศัสตรามารคลั่งที่ต้องสะกด ต้องพูดถึงนิยามอย่างหนึ่งก่อน อาวุธเทพศัสตรามารที่ได้รับผลกระทบจากคน และได้รับการควบคุมเล็กน้อยจากตระกูลขุนนาง เรียกว่าสงบ ที่ไม่ถูกควบคุมเรียกว่าคลั่ง สหายลู่คิดดู อาวุธเทพศัสตรามารที่ไม่มีผู้ถืออาวุธ ไม่มีพิธีกฎเกณฑ์คงสภาพ เพื่อรักษาพลังของตัวเอง สิ่งที่ทำได้เพียงหนึ่งเดียวคืออะไร”

ลู่เซิ่งหยีตา

“ทำพิธีกฎเกณฑ์เองใช่หรือไม่”

“พวกเราเรียกว่าพิธีโลหิต” จ่านข่งหนิงกล่าวเสียงทุ้ม “เข่นฆ่าไปทั่ว ไม่มีคนขวางได้ หนำซ้ำพลังแห่งอาวุธเทพศัสตรามารยังเป็นพลังของกฎเกณฑ์ อย่าว่าแต่คนธรรมดา ต่อให้เป็นประมุขตระกูลระดับอสรพิษก็สู้ไม่ได้ นั่นไม่ใช่พลังที่มนุษย์จะต้านทานได้”

“สุสานอาวุธเก้าแห่งที่ตระกูลจงหยวนสะกดไว้ แต่ละแห่งสะกดอาวุธเทพศัสตรามารไม่ต่ำกว่าหนึ่งชิ้น พวกเขาสะกดไปพลาง ใช้พลังของอาวุธเทพศัสตรามาร กลืนกินอาวุธเทพชิ้นอื่นไปพลาง แต่ว่าการกลืนกินนี้ยังไม่เร็วเท่าพลังของสุสานอาวุธ ชิ้นส่วนอาวุธเทพเหล่านั้นมีที่มาแบบนี้” จ่านข่งหนิงอธิบาย “เก้าตระกูลกลืนกินบ่มเพาะมาปีแล้วปีเล่าวันแล้ววันเล่า อาวุธเทพของตัวเองเหนือกว่าและสมบูรณ์กว่าอาวุธเทพชิ้นอื่นๆ นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เก้าตระกูลเช่นพวกเขามั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ข้ารู้แค่นี้ อย่างอื่นเป็นการคาดเดา ไม่รับประกันความจริง เล่าไปก็ไร้ความหมาย”

“ถือว่ามากแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ขอบคุณสหายจ่านที่ไขข้อสงสัย”

“ยินดี เรื่องเหล่านี้สหายลู่ไปถามผู้อาวุโสลิ่วซานจื่อ จะรู้ละเอียดกว่าเดิม” จ่านข่งหนิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ดังนั้นขุมพลังระดับสูงที่แท้จริงของเก้าตระกูลจงหยวนจึงไม่สนใจร้อยเส้นสาย พวกเขาเพียงแค่คร้านจะสนใจ เทียบกับพวกเขาแล้ว พวกเราเหมือนกับค่ายพรรคเล็กๆ ในยุทธภพเผชิญกองทัพราชวงศ์ กล่าวให้น่าฟังคือผู้กล้าก่อการใหญ่ พูดให้แย่ก็คือนกฝูงหนึ่ง เพียงแต่คร้านจะสนใจเท่านั้น”

“จะว่าไป กลายเป็นคนในตระกูลขุนนางที่เยาว์วัยหน่อยให้ความสนใจร้อยเส้นสายเพราะต้องการสร้างขุมกำลังในสังกัดส่วนตัว ทว่านั่นก็แค่ชั่วคราว ซั่งหยางเฟยและหลินเป่ยไค ก็เป็นคนโดดเด่นในนี้”

เรื่องของจ่านข่งหนิงทำให้ลู่เซิ่งมีความรู้จักโดยรวมต่อสำนักและตระกูลขุนนางเป็นครั้งแรก

เก้าตระกูลจงหยวนที่มีผู้ถืออาวุธสะกดอยู่สูงส่ง ก้มมองทุกสิ่ง สำนักร้อยเส้นสายไม่มีความสำคัญใดสำหรับพวกเขา พลิกมือทำลายล้างได้ตลอดเวลา

กระนั้นเทียบกับความคิดของจ่านข่งหนิงแล้ว ลู่เซิ่งค่อนข้างเชื่อว่า ร้อยเส้นสายมีเหตุผลบางอย่าง เหตุผลที่ทำให้ตระกูลขุนนางไม่ทำลายพวกเขาได้ง่ายๆ

หลังสนทนากับจ่านข่งหนิงพักหนึ่ง ลู่เซิ่งก็ปิดหนังสืออย่างแผ่วเบา ตัดสินใจไปหาอาจารย์ หรือก็คือผู้อาวุโสใหญ่ลิ่วซานจื่อเพื่อพูดคุย

เกี่ยวกับว่าจะรักษาสำนักในงานชุมนุมได้อย่างไร

“รักษาสำนักมารกำเนิดความจริงไม่ยาก คู่ต่อสู้ที่พวกเราต้องเผชิญอย่างแท้จริงมีแต่สำนักเก้ากระดิ่ง แต่ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินข่าวมาว่าหงชิงเจ้าสำนักเก้ากระดิ่งหายตัวไปอย่างกะทันหัน ตอนนี้ไม่รู้อยู่ไหน เดิมงานชุมนุมในครั้งนี้หลักๆ แล้วพวกเขาจะให้คนตำหนิพวกเรา ตอนนี้หงชิงหายตัวไปแล้ว ดังนั้นงานชุมนุมครั้งนี้ไม่น่ามีปัญหา”

ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวเสียงต่ำ “สิ่งที่ต้องกังวลเป็นหลักก็คือคนชุดดำเหล่านั้น พวกเขาเรียกตัวเองว่าเทพสัญจร คล้ายทำงานให้ขุมกำลังกลุ่มหนึ่ง ในเมื่อลงมือกับพวกเราครั้งหนึ่ง ก็มีความเป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะลงมือเป็นครั้งที่สอง”

ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเขา กลับจนปัญญา

ไม่ใช่อาจจะ แต่ว่าแน่นอน

ระดับอสรพิษสามคนกับสัตตะลักษณ์หนึ่งคนตายติดต่อกัน การสูญเสียอันใหญ่หลวงแบบนี้ อีกฝ่ายไม่มีทางยอมเลิกรา

กลุ่มที่ใช้ขุมกำลังแบบนี้มายังสถานที่อย่างสำนักมารกำเนิด ต้องไม่ใช่กลุ่มก้อนเล็กๆ แน่

“แต่ในเมื่อพวกเขารู้แล้วว่าสำนักมารกำเนิดของพวกเรามีคนคุ้มครอง หลังถูกโจมตีจนถอยไป ก็ไม่น่าจะลงมือเร็วนัก” ผู้อาวุโสเหมือนมองโลกในแง่ดี “เพียงแต่ทวนวงเดือนนั่น ข้าจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยเห็นในสำนักสามขั้นล่างสักแห่ง”

“อาจารย์ ผู้สั่งการที่ใช้ยอดฝีมือระดับอสรพิษลงมือได้เป็นระดับไหนกันแน่ ร้อยเส้นสายเผชิญการลอบจู่โจมแบบนี้ มีวิธีป้องกันหรือไม่” ลู่เซิ่งถามตรงๆ

“มีนั้นมี แต่ว่าไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไหร่ สำนักใบไม้กับสำนักโลหิตต่อให้เป็นภายในสำนักของพวกเขา ก็มีการแบ่งกลุ่ม ข้าสงสัยว่าเทพสัญจรเหล่านั้นเป็นคนของสำนักโลหิตในร้อยเส้นสาย” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวเบาๆ “เกิดพัวพันถึงการต่อสู้ด้านแนวคิดภายใน ระดับความรุนแรงไม่มีทางน้อยกว่าเผชิญกับมาร”

“จะพัวพันถึงเก้าตระกูลจงหยวนไหมขอรับ” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม

“อาจจะ” ผู้อาวุโสเงียบขรึม

ขุมพลังที่ยิ่งใหญ่อย่างเก้าตระกูลจงหยวนเป็นสิ่งต้องห้ามที่ไม่มีใครอยากพูดถึง

สักพักหนึ่ง ลู่เซิ่งก็พูดว่า

“อาจารย์ ท่านเคยเห็นผู้ถืออาวุธหรือไม่ พวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหน”

ขุมกำลังที่ใช้ยอดฝีมือระดับอสรพิษได้ มีความเป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะมีผู้ถืออาวุธอยู่ เขาจำเป็นต้องล้อมคอกก่อนวัวหาย เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ

ผู้อาวุโสใคร่ครวญ

“ข้าไม่รู้ว่าผู้ถืออาวุธแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ข้ารู้จักอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ความแข็งแกร่งของอาวุธศักดิ์สิทธิ์โดยพื้นฐานแล้วสร้างเลียนแบบกฎเกณฑ์ของผู้ถืออาวุธ อานุภาพของมันเป็นหนึ่งในร้อยของอาวุธเทพศัสตรามาร แม้สำนักมารกำเนิดของพวกเราจะไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังมีชิ้นส่วน พาเจ้าไปดูได้ เมื่อเจ้าได้สัมผัสก็จะเข้าใจเอง”

“ชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์หรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย

“แม้ชิ้นส่วนที่หลงเหลือหลังจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของสำนักมารกำเนิดแตกสลายจะมีไม่มาก แต่อย่างไรก็ทำให้เจ้าสัมผัสถึงอานุภาพของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในตอนแรกได้” ผู้อาวุโสใหญ่ค่อยๆ ยันตัวขึ้น “ไปเถอะ ข้าพาเจ้าไปเปิดประสบการณ์”

เขายึดถือลู่เซิ่งเป็นผู้สืบทอดหลักโดยสมบูรณ์แล้ว จึงไม่มีอะไรต้องปิดบังอีก

ทั้งสองคนออกจากถ้ำ มุดเข้าถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ข้างผนัง เดินไปตามอุโมงค์ที่เหมือนกับลำไส้ หลายสิบอึดใจ ไม่นานนัก ตรงหน้าก็ส่องแสงสีน้ำเงินอ่อนๆ

ทั้งสองมาถึงปากถ้ำแห่งหนึ่ง มองเข้าไป เห็นโถงใหญ่ซึ่งป็นโพรงที่โล่งเตียนโอ่อ่า

ฟิ้ว

ผู้อาวุโสใหญ่กระโดดนำหน้า ลู่เซิ่งตามติดด้านหลัง พวกเขาทิ้งตัวลงบนผนังถ้ำอย่างแผ่วเบา เสียงตุบๆ เมื่อยืนบนแท่นเรียบแทนหนึ่งในโพรงถ้ำอย่างมั่นคง

“ที่นี่เอง” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวเสียงทุ้ม กวาดตามองรอบๆ “ไม่ได้มานานแล้ว”

ลู่เซิ่งพิจารณาสภาพรอบๆ อย่างละเอียดเช่นกัน

โพรงถ้ำใหญ่มาก สูงหลายสิบหมี่ บนผนังถ้ำสีน้ำตาลอมดำรอบๆ มีอักขระที่แกะสลักด้วยเลือดสดส่วนหนึ่ง ยังมีซากศพที่ถูกหินซึ่งนูนขึ้นมาเสียบอยู่ โดนลมพัดจนแห้งกรัง

ในถ้ำมืดมิด ส่วนยอดมีแสงสีน้ำเงินรางๆ ไม่ทราบแหล่งกำเนิดแสงคืออะไร แต่หลังคาถ้ำกลับเรืองแสงส่องสว่าง

ตรงกลางด้านล่างเป็นค่ายกลรูปถาดวงกลมขนาดใหญ่ ไข่ใบหนึ่งวางอยู่ตรงกลาง

ไข่ยักษ์ที่สูงเท่าคนหนึ่งคน เปลือกเป็นสีขาวซีด

ทั้งสองข้างของไข่มีสองมือสองขาเหมือนมนุษย์ ตอนนี้ไม่ขยับเขยื้อน ไม่ทราบตายแล้วหรือว่าหลับอยู่

“มันชื่อว่าเจ้ากลม มีพลังชีวิตที่แข็งกล้ายิ่ง ความเป็นมาข้าเองก็ไม่รู้ ถึงอย่างไรก็มีมาตั้งแต่บูรพาจารย์ของข้ายังเด็กแล้ว” ผู้อาวุโสใหญ่อธิบายคร่าวๆ “หลักๆ แล้วพวกเราอาศัยของเหลวของมันมาแช่ชิ้นส่วนอาวุธเทพ เพื่อป้องกันเรื่องเหนือความคาดหมาย”

ลู่เซิ่งอดมองไข่ยักษ์ใบนี้ไม่ได้ เขาเห็นไข่มามาก แต่ไข่ที่มีแขนมีขาเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก

ไข่ยักษ์ดูสะอาดยิ่ง คล้ายกับไม่มีของสกปรกหรือกรวดหินดินทราย

“ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง มันจะทำความสะอาดตัวเอง ทางที่ดีอย่าเข้าใกล้เกินไป” ผู้อาวุโสใหญ่กำชับ

“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า จากนั้นก็ติดตามผู้อาวุโสใหญ่เดินไปยังบ่อเล็กๆ ด้านข้างค่ายกล

บ่อเป็นทรงรี ด้านในบรรจุของเหลวเหนียวหนืดที่โปร่งแสงเอาไว้ ในบ่อมีชิ้นส่วนโลหะเหมือนอัญมณี กำลังเปล่งแสงสีน้ำเงินระยิบระยับ

ลู่เซิ่งจึงทราบว่าแสงสีน้ำเงินบนยอดถ้ำมาจากไหน

บ่อเล็กยิ่ง กว้างยาวเพียงไม่กี่หมี่ ทว่าด้านในมีชิ้นส่วนยัดกันอยู่ มีสิบกว่าชิ้น ขนาดแตกต่างกัน ราวกับเป็นเศษกระจก

“ถ้าอยากจะสัมผัสพลังของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็เข้าใกล้ได้นิดหน่อย อย่าแตะน้ำในบ่อ ค่อยๆ เข้าไปก่อน” ผู้อาวุโสหยุดลงโดยห่างจากบ่อราวห้าหมี่กว่าๆ ก่อนกล่าวเสียงแผ่วต่ำ

“ขอรับ” ลู่เซิ่งฉงนฉงายและคาดหวังรอคอย อยากจะรู้ว่าพลังในตอนนี้ มีความแตกต่างกับอาวุธเทพศัสตรามารและผู้ถืออาวุธขนาดไหน

จะได้ทดสอบที่นี่พอดี

สะกดอารมณ์ในใจ ลู่เซิ่งปรับจิตใจ เดินเข้าหาบ่อน้ำ

“ขอบเขตรังสีของบ่ออยู่ในระยะสองก้าว เจ้ายื่นมือเข้าไปทดลองดูได้ว่าอะไรคือพลังแห่งกฎเกณฑ์” เสียงของผู้อาวุโสใหญ่ดังมาจากด้านหลังเขา

ลู่เซิ่งเพ่งมองบ่อน้ำพลางเดินเข้าหาทีละก้าวๆ…

ทันใดนั้น เขาก็หยุดลงโดยห่างจากบ่อน้ำเพียงสองก้าว ไม่ใช่เขาคิดหยุด แต่ว่าเขาขนลุกขึ้นมา

การสัมผัสอันกล้าแข็งของร่างกาย ทำให้เขารู้สึกเหมือนตนกำลังเดินเข้าหาภูเขาไฟ

ความรู้สึกหนังศีรษะชาที่มีแต่ตอนเผชิญวิกฤติเป็นตายจึงค่อยโผล่มา ถูกกระตุ้นไม่หยุด ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าบนร่างตนเกิดหนังไก่นับไม่ถ้วนโผล่ออกมา

จุดที่เหมือนไร้รูปร่างและโปร่งแสง มีพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวและยิ่งใหญ่จนยากจินตนาการสายหนึ่งเคลื่อนไหวในอากาศบริเวณเล็กๆ ตรงหน้าเขา

เขากลืนน้ำลาย ยกมือยื่นเข้าไปสัมผัสอากาศตรงหน้า

ยื่นนิ้วชี้เข้าไปอย่างเนิบนาบ

ด้วยความแข็งแกร่งของกายเนื้อในปัจจุบัน ต่อให้เป็นสภาพหยินโชติช่วงและอยู่ในระดับอสรพิษ บวกกับปราณภายในปกคลุมและกระตุ้น อานุภาพที่แท้จริงทำให้แม้แต่ระดับอสรพิษทั่วไปยังทำลายผิวแข็งสำหรับใช้ป้องกันไม่ได้ ยิ่งอย่าว่าแต่จะทำร้ายเขา

……………………………………….