ส่วนที่ 11 ลอยนวล ตอนที่ 5 ลอยนวล (5)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

คืนแรกที่กลับมาถึงคอนโด ซูหว่านก็ทำการรื้อค้นตรวจสอบทั้งบ้านอย่างละเอียด เมื่อมั่นใจแล้วว่าทุกซอกทุกมุมนั้นปลอดภัยดี และทำความคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้ดีแล้ว ซูหว่านจึงอาบน้ำอย่างสบายใจได้ 

 

 

สายน้ำอุ่นไหลรดลงมาตามผิวขาวเรียบเนียน ซูหว่านเหม่อมองดูลวดลายรอยสักสีทองจาง ๆ ที่อยู่บนแขนของตัวเอง 

 

 

มันคือสร้อยข้อมือที่เหลากุ่ยเคยให้เธอไว้ แต่มายังโลกใบนี้ มันกลับกลายเป็นรอยสักติดอยู่บนผิวกาย 

 

 

ทำไม… 

 

 

สิ่งของที่เหลากุ่ยให้มาถึงได้ติดตามเธอมายังช่องว่างแห่งกาลเวลาได้ อีกทั้งยังสามารถติดตามเธอไปยังโลกอื่น ๆ ได้อีก 

 

 

เหลากุ่ย เป็นใคร…กันแน่? 

 

 

แล้วจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ภายในสร้อยข้อมือเส้นนี้บ้างนะ? 

 

 

ซูหว่านหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งลงไปกับสายน้ำ 

 

 

เธอคิดไม่ออก เธอไม่มีเวลาให้มาคิดเรื่องเหลวไหล เธอแค่อยากจะช่วยซูรุ่ยออกมา 

 

 

ซูรุ่ย นายรอฉันก่อนนะ 

 

 

นายจะต้องรอฉัน ฉันทำได้ ฉันจะไม่ทำให้นายผิดหวัง… 

 

 

ตลอดทั้งคืนซูหว่านหลับไม่สนิทนัก เธอฝันตลอดทั้งคืน ในฝันอันแสนวุ่นวายนั้นเธอเห็นซย่าอวี่ซานกับสวีจื่อหมิง และยังมีผู้คนมากมายที่เธอไม่ค่อยคุ้นเคยนัก ทุกคนต่างมายืนล้อมรอบตัวเธอและกล่าวแสดงความยินดีกับเธอ 

 

 

สวีจื่อหมิงหยิบแหวนเพชรออกมาจากช่อกุหลาบช่อใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะสวมแหวนนั้นลงบนนิ้วของเธอ เขาบอกว่า “อวี่ซาน แต่งงานกับผมนะ คุณคือฤดูร้อนของผม” 

 

 

…… 

 

 

ซูหว่านสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝัน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาการปวดหัวของเธอแย่ขึ้นอีกครั้ง 

 

 

ฤดูร้อน… 

 

 

ฤดูร้อนในความฝัน เป็นบทเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้กับซย่าอวี่ซาน 

 

 

ทำไมถึงได้ฝันแบบนี้ล่ะ? 

 

 

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”  

 

 

เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะความคิดอันสับสนวุ่นวายของซูหว่าน  

 

 

ซูหว่านหันไปดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงกว่าแล้ว หรือว่าจะเป็นพี่เฉิง? ไม่สิ พี่เฉิงมีกุญแจห้องนี้ 

 

 

ซูหว่านลงมาจากเตียงนอน เปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างหน้าอย่างลวก ๆ  

 

 

เสียงเคาะประตูยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เคาะอย่างสม่ำเสมอและแรงพอสมควร 

 

 

ซูหว่านยืนอยู่หน้าบานประตู อดไม่ได้ที่จะลอบดูผ่านช่องตาแมว แว็บแรกที่เธอมองเห็นคือแสงสะท้อนจากตราสัญลักษณ์ของตำรวจ 

 

 

ตำรวจงั้นหรอ? 

 

 

ซูหว่านจัดผมของตัวเองให้เข้าที่ แล้วจึงค่อย ๆ เปิดประตูห้อง 

 

 

“คุณซย่าใช่ไหมครับ?” 

 

 

ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าทีมส่งยิ้มมาให้ซูหว่าน จากนั้นจึงแสดงบัตรประจำตัวเพื่อยืนยันตัวตน “หัวหน้าทีมตำรวจทีมที่หนึ่ง ฝานเคอ” 

 

 

“ฝานเคอ?” 

 

 

ซูหว่านเบิกตาโตมองดูผู้ชายแปลกหน้าผิวค่อนข้างคล้ำที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความตกใจ เธอจึงรีบแย่งบัตรประจำตัวของเขามาดู บนบัตรมีรูปภาพของเขาติดอยู่อย่างชัดเจน แล้วยังมีหมายเลขประจำตัวตำรวจด้วย 

 

 

“ฝานเคอ” คำนี้ถูกพิมพ์อยู่บนบัตรอย่างชัดเจน 

 

 

“ฝานเคอ นี่มัน…” 

 

 

ตำรวจหญิงที่ยืนอยู่ด้านข้างมองดูซูหว่านอย่างงุนงง จากนั้นจึงหันไปมองหน้าหัวหน้าทีมของตัวเองอย่างสงสัย 

 

 

“อะแฮ่ม” 

 

 

ฝานเคอเกาหัวตัวเองอย่างทำตัวไม่ถูก “เอ่อ คือ ผมดูไม่เหมือนตำรวจหรอครับ? คุณซย่าถึง…” 

 

 

“คุณคือฝานเคอ คุณคือฝานเคอจริง ๆ ใช่ไหมคะ? แล้ว…ฝานเคอคนนั้นคือใคร? ไม่ ฉันหมายถึงว่ามีคนอีกคนหนึ่งบอกฉันว่าเขาคือฝานเคอ” 

 

 

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้นซูหว่านก็รีบวิ่งกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือในห้อง เธอรีบหาเบอร์โทรศัพท์ของ “เจ้าหน้าที่ฝาน” แล้วกดโทรออกทันที 

 

 

“ขออภัยค่ะ เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” 

 

 

ซูหว่านกำโทรศัพท์ในมือของตัวเองแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน 

 

 

“มีคนปลอมตัวเป็นผมไปพบคุณ เขาพูดอะไรกับคุณบ้างครับ? คุณซย่า คุณซย่าครับ?” 

 

 

ฝานเคอเดินเข้าไปในห้องนอนของซูหว่าน เมื่อเห็นว่าเธอกำลังยืนเหม่อลอยอยู่จึงยื่นมือไปสกิดแขนเธอเบา ๆ  

 

 

“เอ่อ” 

 

 

ซูหว่านดึงสติกลับมาและจ้องมองไปที่ฝานเคออย่างจริงจัง “คุณ เป็นตำรวจจริง ๆ หรอคะ?” 

 

 

“ถ้าปลอมให้เปลี่ยนตัวได้เลยครับ” 

 

 

ฝานเคอขยับปลายเสื้อที่สวมใส่อยู่ เผยให้เห็นกุญแจมือและปืนตำรวจที่แนบอยู่ข้างเอวของเขา 

 

 

“คนคนนั้นเขาเคยไปหาฉันที่โรงพยาบาล เขาบอกว่า…เขาบอกว่าเขาชื่อฝานเคอ เขาดูเหมือนตำรวจมาก” 

 

 

ใช่แล้ว “ฝานเคอ” ทำให้ซูหว่านคิดว่าเขาเหมือนตำรวจมากจริง ๆ เขามีกลิ่นอายพิเศษที่จะมีเพียงตำรวจเท่านั้นที่จะมีได้ ดังนั้นซูหว่านจึงไม่เคยคิดระแวงเลยว่า “ฝานเคอ” คนนั้นจะเป็นตำรวจปลอมหรือไม่ 

 

 

เหมือนตำรวจมาก? 

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน ฝานเคอถึงกับขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ทางเราจะไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลเองครับ คุณซย่าครับ ที่พวกเรามาในวันนี้เพราะอยากจะขอให้คุณช่วยให้ความร่วมมือในการตรวจสอบคดีหนึ่ง” 

 

 

“คดีของหลินลู่ลู่กับถงซินเหยาใช่ไหมคะ?” 

 

 

ซูหว่านได้ยินคำพูดฝานเคอก็อดไม่ได้ที่จะถามกลับไป 

 

 

“คุณรู้?” 

 

 

ตำรวจหญิงที่เดินตามฝานเคอเข้ามาได้ยินคำพูดของซูหว่าน จึงมองเธออย่างประหลาดใจ ในสายตาเต็มไปด้วยความสงสัย 

 

 

“ฝานเคอ ไม่สิ ฝานเคอตัวปลอมเป็นคนบอกฉัน เขาบอกฉันว่าหลินลู่ลู่กับถงซินเหยาตายไปแล้ว และฉัน…จะกลายเป็นเหยื่อรายที่สาม” 

 

 

“อ๊ะ!” 

 

 

ตำรวจหญิงคนนั้นถึงกับอ้ากปากค้างทันทีที่ได้ยินคำตอบของซูหว่าน “หัวหน้าฝาน หัวหน้าฝาน คนคนนั้นจะใช่คนร้ายหรือเปล่า? เขาจะต้องเป็นคนร้ายแน่ ๆ ! คนร้ายปรากฏตัวออกมาแล้วหรอ?” 

 

 

“หลิวอวี่ ใจเย็น ๆ ก่อน” 

 

 

ฝานเคอตบไหล่ของหลิวอวี่หลายทีด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจ จากนั้นก็หันไปส่งยิ้มปลอบใจให้กับซูหว่าน “เธอเป็นตำรวจฝึกหัดน่ะครับ เพิ่งจบมาใหม่ ๆ ดูพวกหนังจับโจรผู้ร้ายเยอะไปหน่อยก็เลยพูดไปเรื่อย คุณซย่าอย่าถือสาเลยนะครับ” 

 

 

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็…เตรียมรับมือไว้แล้ว” 

 

 

ซูหว่านตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไร และหันไปยิ้มให้กับฝานเคอ “ทั้งสองท่านเชิญไปนั่งเล่นที่ห้องรับแขกก่อนสิคะ จะรับเครื่องดื่มอะไรดี เดี๋ยวฉันจะไปหยิบในครัวให้” 

 

 

“ไม่ต้องยุ่งยากอะไรหรอกครับ ที่พวกเรามาครั้งนี้ หลัก ๆ แล้วก็อยากจะสอบถามคุณซย่าเกี่ยวกับเรื่องราวและข้อมูลของ…สวีจื่อหมิง” 

 

 

หลินลู่ลู่และถงซินเหยาถูกฆาตรกรรมทีละคน เหยื่อทั้งสองรายต่างก็ถูกกรีดที่ใบหน้าจนเสียหาย บนร่างกายก็มีร่องรอยถูกแทงด้วยมีดหลายครั้ง ลักษณะการตายของทั้งสองนั้นมีความคล้ายคลึงกันมาก จากการสันนิษฐานเบื้องต้นคาดว่าเป็นฝีมือของคนร้ายคนเดียวกัน 

 

 

ทำไมคนร้ายถึงต้องฆ่าทั้งสองคน? หากไม่นับที่หลินลู่ลู่และถงซินเหยาเป็นดาราสาวเหมือนกันแล้ว สังคมการใช้ชีวิตของทั้งคู่นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  

 

 

ถ้าจะต้องหาจุดที่เหมือนกันของทั้งคู่แล้วล่ะก็ นั่นก็คือทั้งคู่ต่างเคยได้รับการยกย่องจากสวีจื่อหมิงมาก่อน นอกจากนี้ฝานเคอยังพบเจอสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับสวีจื่อหมิงในบ้านของทั้งสองคน จากบันทึกคำให้การของผู้จัดการส่วนตัวและผู้ช่วยของทั้งสองคนแล้ว ยืนยันได้ว่าทั้งคู่ต่างเคยคบหาดูใจกับสวีจื่อหมิงมาก่อน เป็นความสัมพันธ์แบบลับ ๆ ที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ 

 

 

บางทีนี่อาจจะเป็นเบาะแสหนึ่งก็เป็นได้ 

 

 

ฝานเคอติดต่อไปยังครอบครัวตระกูลสวีทันที คนในตระกูลสวีไม่มีใครยอมปริปากพูดเรื่องส่วนตัวของสวีจื่อหมิง สุดท้ายฝานเคอจึงต้องหันไปหาอดีตผู้ช่วยส่วนตัวของสวีจื่อหมิง หยางอี้ ฝานเคอจึงได้ข้อมูลส่วนตัวบางอย่างที่คนภายนอกไม่รู้มาจากหยางอี้ด้วย 

 

 

อันที่จริงแล้ว คนที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับดาราในวงการบันเทิงอย่างสวีจื่อหมิง ไม่เพียงแต่เคยคบหากับดาราสาวถึงสามคนเท่านั้น แต่เขายังมีแผนจะแต่งงานกับนักร้องอย่างซย่าอวี่ซานอีกด้วย แน่นอนว่าการแต่งงานในครั้งนี้ได้รับการคัดค้านอย่างรุนแรงจากพ่อแม่ของเขา 

 

 

หลังจากที่ได้ข้อมูลในส่วนนี้มาแล้ว ฝานเคอก็ไม่ได้มาหาซย่าอวี่ซานในทันทีเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขาทำคดีโดยยึดหลักฐานเป็นหลัก ในตอนนี้เขาเพียงสงสัยว่าคดีนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของสวีจื่อหมิงเมื่อครึ่งปีก่อน แต่ก็ไม่ได้มีหลักฐานใดสนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้ของเขาเลย 

 

 

ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ฝานเคอได้ส่งคนไปเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับเหยื่อทั้งสองรายอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันเขาเองก็เปิดดูสำนวนคดีอุบัติเหตุของสวีจื่อหมิงเมื่อครึ่งปีก่อนไปพร้อมกันด้วย 

 

 

การตายของสวีจื่อหมิง ในตอนนั้นถูกตัดสินว่าเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ รถยนต์ของเขาถูกนำไปตรวจสอบอย่างละเอียดซึ่งไม่พบร่องรอยของบุคคลอื่นแต่อย่างใด ดังนั้นข้อสันนิษฐานที่ว่าเขาอาจถูกลอบฆ่าจึงถูกตัดออกไป 

 

 

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ฝานเคอก็ยังคงรู้สึกว่าการตายของสวีจื่อหมิงกับคดีฆาตกรรมเหยื่อสองรายนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน ในตอนนี้คดีฆาตกรรมในมือของเขายังไม่คืบหน้าและไม่มีทีท่าว่าจะหาเบาะแสหาตัวคนร้ายได้เลย ทำให้กลายเป็นคดีที่ถูกแขวนอยู่ในทางตัน และตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงลองค้นหาเบาะแสจากตัวของซย่าอวี่ซานเท่านั้น 

 

 

ถ้าหากว่าเป้าหมายรายต่อไปของฆาตกรคือเธอล่ะก็ 

 

 

…… 

 

 

บรรยากาศภายในห้องรับแขกค่อนข้างอึมครึม 

 

 

หลิวอวี่มองไปรอบ ๆ ห้องของซูหว่านอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ฝานเคอกลับนั่งยิ้มให้กับซูหว่านอยู่บนโซฟา “คุณซย่าครับ คุณอย่าตื่นตระหนกไปเลยนะครับ พวกเราก็แค่ลองถามไถ่ดูเท่านั้น คำพูดของหลิวอวี่ก็อย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะครับ พวกเรากำลังตรวจสอบการตายของหลินลู่ลู่และถงซินเหยากันอยู่ เบื้องต้นหลักฐานที่ได้มายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าการตายของพวกเธอจะเกี่ยวข้องกับสวีจื่อหมิงหรือไม่ แต่ผมอยากจะขออนุญาตล่วงเกินสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวความสัมพันธ์ของคุณกับสวีจื่อหมิง คุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ?” 

 

 

“ฉันไม่ถือสาหรอกค่ะ จื่อหมิงเขาก็ไม่อยู่แล้ว ฉันจะยังถือสาอะไรได้อีกล่ะคะ?” 

 

 

ซูหว่านหลับตาลง น้ำเสียงฟังดูเศร้าสร้อย “จริง ๆ แล้ว ฉันกับเขาคบกันได้ไม่นาน จื่อหมิงเองก็ไม่ค่อยเล่าเรื่องที่บ้านกับที่ทำงานให้ฉันฟัง เขาชอบฟังฉันร้องเพลง ตอนนั้นเขาไปเช่าสตูดิโออัดเสียงที่หนึ่งเอาไว้โดยเฉพาะ พวกเราไปเดทกันที่นั่นบ่อย ๆ เขาเล่นเปียโน ฉันร้องเพลง มันเป็น…เรื่องราวที่สวยงามที่สุดแล้วล่ะมั้ง” 

 

 

เอาเถอะ ซูหว่านยอมรับว่านี่เป็นเรื่องราวที่ซย่าอวี่ซานเขียนไว้ในไดอารี่ ตอนนี้เธอก็เป็นแค่คนเล่าเรื่องคนหนึ่งเท่านั้น 

 

 

เรื่องราวของชายหนุ่มและสาวสวย ช่างเป็นเรื่องที่โรแมนติกเสียจริง แต่น่าเสียดายที่ตอนจบก็เป็นได้แค่เรื่องน่าเศร้าอย่างเรื่องทั่ว ๆ ไปเท่านั้น 

 

 

ขณะที่ฟังซูหว่านเล่าเรื่องราว ฝานเคอก็เผลอพยักหน้าตามอย่างไม่รู้ตัว เขาได้รู้เรื่องของสวีจื่อหมิงกับซย่าอวี่ซานมาบ้างแล้วจากปากของหยางอี้ สิ่งที่เธอเล่าในตอนนี้กับสิ่งที่ได้ฟังมาจากหยางอี้นั้นค่อนข้างจะตรงกัน 

 

 

ฝานเคอคิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายใหญ่แห่งไป๋ชวน จะเป็นคนที่มีอารมณ์ศิลปินถึงขนาดนี้ 

 

 

“คุณซย่าครับ สวีจื่อหมิงเขาเคยพูดถึงประสบการณ์ด้านความรักของเขาให้ฟังบ้างไหมครับ อย่างเช่นเรื่องราวของเขากับหลินลู่ลู่ หรือว่า ตอนที่คุณอยู่กับเขามีใครมาหาเขาบ่อย ๆ หรือระรานเขาบ้างไหมครับ?” 

 

 

“ไม่มีค่ะ” 

 

 

ซูหว่านส่ายหัวช้า ๆ “ปีนี้ฉันงานยุ่งมาก ทุกครั้งที่อยู่กับเขาก็แค่เวลาสั้น ๆ อีกอย่าง จื่อหมิงเขาไม่อยากให้ใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเราด้วย” 

 

 

“เอ๊ะ?” 

 

 

ได้ฟังคำพูดของซูหว่าน ฝานเคอก็ยกมือขึ้นมาลูบคางของเขาด้วยความเคยชิน ในเมื่อตกลงปลงใจที่จะใช้ชีวิตคู่กับคนรักคนนี้แล้ว ทำไมเขายังจะต้องกลัวว่าคนอื่นจะรู้เรื่องราวของพวกเขาอีกล่ะ?” 

 

 

ใครกันคือคนที่เขากลัวและพยายามหลบเลี่ยง? 

 

 

สวีจื่อหมิงซ่อนความลับอะไรเอาไว้กันแน่? 

 

 

แล้วความลับนี้จะถูกฝังกลบไปพร้อมกับการตายของเขาจริง ๆ อย่างนั้นน่ะหรอ?